สวัสดีค่ะ วันนี้เจ้าของกระทู้มาอัพเดทภาคต่อ "เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 5" แล้วนะคะ ขอบคุณจริงๆสำหรับกำลังใจให้มีแรงเขียนเล่าได้มาจนถึงภาคต่อนี้ ความทรงจำบางอย่างก็อาจต้องรื้อนานแต่ก็ตั้งใจจะเรียบเรียงมาให้หลายๆท่านได้เห็นแง่มุมที่ไม่ซ้ำในแต่ละตอนจนครบทุกประเด็น และขอให้ชื่อตอนนี้ว่า
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
"ได้เวลาลงไปรอรถตู้ไปสนามบิน ลากกระเป๋าใหญ่และเล็กด้วยมือทั้งซ้ายและขวา หน้าแน่น ปากแดง และสโม๊คกี้อายมาเต็ม!
แหม่.. กินกาแฟตอนท้องว่างนี่มันได้ผลจริงๆนะ
อยากวิ่ง อยากทำงานจุง ใจนี่เต้นผั่บๆๆ ถ้าไม่ติดใส่ยูนิฟอร์มอยู่นี่กะจะวิ่งเหยาะๆกับที่ซักนิดนะ เพื่อเป็นการวอร์มพละกำลัง
ว่าแต่ต้องสำรวมนิดเพราะแอร์สจ๊วตชาติอื่นๆอีก 3-4 คนที่นั่งรอรถเหมือนกันตรงนี้เค้าจะได้ไม่ตกใจกลัว แบบยูเป็นอะไรมากมั้ย
เมื่อเสียงแตรรถดัง "ปี๊น ปี๊น" คนที่ยืนหน้าตึกสุดก็เดินไปดู และตะโกนบอกทุกคน "Bus!" เป็นอันรู้กัน อ่ะ.. ลุกกก
เช่นเคย เราเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวอาบูดาบียามดึก แต่กระนั้น ใจเรากลับคิดมโนไปถึงเจนีวา โอ้ว.. สวิสเซอร์แลนด์ของพี่ ได้อยู่ตั้ง 36 ชั่วโมง เกือบ 2 วันเต็มๆ แลกเงินสวิสฟรังค์มาเต็มกระเป๋าเลย ดีนะ.. เกือบเผลอแลกยูโรมา ไม่งั้นเสร่อแน่นอน ต้องไปแลกอีกทีแล้วเสียเรตหมด ว่าแต่ เราจะทำอะไรที่เจนีวาดีน้าาา..
ว่าแล้วเราก็หยิบกล้อง Canon ตัวใหม่ที่พ่อกับแม่ซื้อมาให้ถ่ายภาพเพื่อส่งกลับบ้านขึ้นมาดู แหม่.. เท่ห์ซะไม่มี Laptop ก็เอามาแล้ว ทีนี้เราก็จะได้ถ่ายรูปเอารูปลงคอม ไรต์ลงซีดีไปอวดใครต่อใครที่บ้านแล้วสินะ ว่าแต่.. มาม่ากับพริกป่นเราเอามารึยัง? ที่ชาร์จกล้องล่ะ.. สายชาร์จด้วย กุกกักๆๆๆ ..ตลอดเวลา
..เชื่อว่าแอร์ฝรั่งที่กำลังนั่งติดกับเราในรถนั้นต้องอยากย้ายที่ไปไกลๆ เพราะนอกจากเราจะกึ่งพูดคนเดียวแล้ว เรายังเปิดปิดซิปกระเป๋า หยิบของ เหม่อมโน และคุ้ยกระเป๋าตัวเองไปมาในระหว่างทบทวนสิ่งของกันลืมในใจ พร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าของครบ
เดจาวูตลอดศก โหลดกระเป๋า-เข้าห้องประชุม-รับข้อมูลไฟลท์-ตอบคำถาม-ไฟลท์เต็ม
..ขายดีจริงๆตั๋วบริษัทเรา ทีเพื่อนมาเล่าไฟลท์มันคนโล่งต่ำกว่าร้อยตลอด ทำไมเราไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นเลย เอ๊ะ.. หรือดวงเราจะเป็นดวงนางกวัก เรียกคนตลอดเวลา
แต่ช่างเหอะ ไฟลท์นี้มีเพื่อนคนไทยบินด้วยนะ แจ่มจรัสสวัสดีมากก ต้องไปตีสนิท ต้องเป็นไฟลท์ที่ดีสิ
Boarding ~ เงียบบ.. อยากจิกราบเท้าผู้ที่ใส่ไฟลท์นี้มาในตาราง เพราะถ้าเทียบกับเดลฮี และโตรอนโต ตอนนี้เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งที่เรียกว่ายูโทเปีย มันช่างสงบสุข ไม่มีไฟเรียกลูกเรือ ไม่มีเดินสวนสนาม ไม่มีหิวน้ำ ไม่มีล้างขวดนม ทุกคนเดินเข้ามา ทักทายเรา เก็บของเบาๆและนั่งรัดเข็มขัด!
โอ้ว.. สุดยอด
ยิ่งตอนเครื่องเทคออฟ ไฟปิด ~ เห็นแต่แสงสีทองจากนอกหน้าต่างสะท้อนมาจากกรุงอาบูดาบีในยามค่ำคืน ไม่มีไฟสีทองอร่ามตระการเคบินแบบสวนลุมปีใหม่อย่างในไฟลท์โตรอนโตและเดลฮี คือดีจนงง!
เซอร์วิสแรก ~ เสิร์ฟแซนด์วิชและน้ำผลไม้ แทบไม่มีใครกิน ทุกคนหลับ ส่วนใหญ่จะขอน้ำเปล่าแก้วนึงเท่านั้น เหมือนจะกวนแต่เราไม่ได้กวนนะ ยิ่งเจอท่านผู้โดยสารมารยาทดีไม่ขออะไรอย่างนี้.. แล้วมันอยากให้ อยากแจกจนหงุดหงิดๆ
ต่อแต่นี้ เห็นทีชั้นจะขอไฟลท์นี้มันตะบี้ตะบันทุกเดือนแล้วล่ะ สุขภาพจิตชั้นดีมาก ชั้นเจอบ้านหลังที่สองแล้ว ..โอ้ว เจนีวา
เสิร์ฟเสร็จ ว่าง - ขอสวยแพรพ เข้าไปเติมเมคอัพในห้องน้ำตามกฎภาพลักษณ์แอร์ อุ้ย.. หน้าเด้งระดับโลก ไม่มันเลยเชียว ผมก็ไม่หลุด เพราะแทบไม่ได้ทำงาน มันช่างมีฟามสุขจัง
เลยออกมาจากห้องน้ำด้วยอารมณ์ดีๆ เหลือบไปเห็นเพื่อนชาวไทยกำลังเขียนเอกสารปิดบาร์เครื่องดื่ม เราเลยจึงเข้าไปช่วยปิด
"เธอๆ เธอเคยมาที่นี่ป้ะ? เที่ยวที่ไหนดีอ่ะ" เราเริ่มตีซี้
"เคย แต่ยังไม่ได้ไปไหนเลย เราเลยขอไฟลท์นี้มาล่ะเพื่อจะออกไปเที่ยว" อ่ะ.. เข้าทางชั้นล่ะสิ หาเพื่อนอยู่เบย
"เราไม่ได้ขอไฟลท์นี้มา แต่เราอยากไปเที่ยวมาก กะว่าถึงเมื่อไหร่ เราออกเลย.. เราจะไม่นอน เธอว่าไง.."
"ได้สิ งั้นเดี๋ยวออกด้วยกัน"
สำเร็จ! มีเพื่อนไปตะลุยเจนีวาแล้ว ดีใจ.. ว่าแต่เพื่อนใหม่ท่านนี้ช่างเรียบร้อยยิ่งนัก เราจึงรู้สึกเกรงใจเล็กๆ ไม่กล้าพูดคุยกระโตกกระตาก
ผ่านไป 3 ชั่วโมง เพื่อนแอร์บางนางเริ่มตาปรือ.. บ้างก็นั่งกอดขวดน้ำร้อนบ้าง บ้างก็ฟิตเดินเสิร์ฟน้ำในความมืดบ้าง และบ้างก็เริ่มเปิดตู้หาอะไรแทะกิน เอกสารบาร์เครื่องดื่มก็ปิดหมดแล้ว เลยไม่มีอะไรทำ
เราจึงนั่งแต่งหน้าให้หนาขึ้น เพราะกะว่าเครื่องลง เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกเลย.. ไม่ต้องแต่งหน้าใหม่ เพราะงวดนี้เราไม่ได้มาเล่นๆ เรากะเที่ยวคุ้ม
และแล้วก็ได้เวลาเสิร์ฟอาหารเช้าที่รอคอย เพิ่งจะรู้สึกเป็นแอร์จริงๆก็ไฟลท์นี้ล่ะ ไม่ต้องวิ่ง ไม่ต้องรีบ ได้พูดช้าๆ เก็กหน้าสวยๆหน่อย เหมือนในโฆษณาที่เคยดูมา
แล้วเราก็ไต่ระดับแลนด์ดิ้งสวยๆ ด้วยวิวภูเขา Mont Blanc ที่ด้านซ้ายของกระจกเครื่องบินยืนอู้งานมองพลางคิดในใจ ทำบุญมาด้วยอะไรวะเรา สวยจริงๆ
เครื่องลง เก็บของ ออกด่านตม. รับกระเป๋า เข้ารถตู้ ไปโรงแรม..
จุดหมายที่แรกเราคือ น้ำพุที่ใจกลางเมือง Jet D'Eau
ในระหว่างรอเพื่อนเราก็หยิบแผนที่มากางดูชื่อสถานี พร้อมหยิบตั๋วรถเมล์ฟรีที่โรงแรมแจกให้ทุกคนที่มาพัก ด้านข้างของแผนที่มีโปรโมชั่นเสริมมากมาย ทั้งเรือ รถราง และร้านอาหาร
เดี๋ยว.. เดี๋ยว ได้ทุกคน พี่เตรียมเงินเดือนทั้งเดือนนี้เพื่อมาผลาญในทริปนี้เลย จัดเต็ม!
ตามนี้ เริ่มที่น้ำพุ Jet D'Eau, ล่องเรือทะเลสาปเจนีวา 2 ชั่วโมง, ขึ้นภูเขาไป Old Town แวะกินอาหารไทยอร่อยๆเพราะกินอาหารฝรั่งไม่เป็น แวะไปดู Museum บนเขา ชมโบสต์ และ.. อ่ะ เพื่อนมาแล้ว ไปเลยละกัน
ถ่ายรูปมันตั้งแต่หน้าโรงแรม ป้ายรถเมล์ ขึ้นรถเมล์ และลงรถเมล์ เวลานี้สบายๆเกือบ 10 โมงเช้าเจนีวา ถึงจะอยู่ยาวมากว่า 13 ชั่วโมง แต่ร่างกายเราก็ยังฟิตเหลือคณา
น้ำพุ น้ำพุๆๆๆๆๆๆ เรากระโดดดีใจเมื่อลงรถเมล์จากป้ายที่เค้าแนะนำมาแล้วเดินมาเจอน้ำพุ Jet D'eau
สวิสสวยจริงๆ สวิสๆๆๆ สวิสเซอร์แลนด์ เฮ้!
ถ่ายรูปสิคะ.. รออะไร!
ถ่ายมันทุกมุมสลับกับเพื่อนไปมา นาฬิกาต้นไม้ ร้านขายของที่ระลึก สะพานข้าม มันกว้างมากอ่ะ รอบทะเลสาปว่ากว้างแล้ว ถัดจากทะเลสาปไปยังเป็นแหล่งช็อปปิ้งอีก จะเริ่มจากที่ไหนก่อนดี!
ในขณะที่เดินยิ้มแป้นวนไปได้ครึ่งรอบ เพื่อนก็สะกิด
"เธอๆ เราต้องกลับแล้วล่ะ"
................. ครืนนน!! เสียงความตั้งใจเราถล่ม
"ทำไมอ่ะ ไม่อยากนั่งเรือเหรอ นั่งแบบ 1 ชั่วโมงก็ได้นาา ถ้า 2 ชั่วโมงนานไป" เราลองเสนอไป
"ไม่อ่ะ เราไม่อยากนั่งเรือ"
"งั้นอยากกินข้าวมั้ย หิวเปล่า เที่ยงแล้วนี่เนอะ" อ่ะ.. ลองเปลี่ยนแผนเอาใจ หวังให้เพื่อนอยู่ต่อ
"ไม่อ่ะ เราเอาข้าวมาด้วย เรามีนัดคุยสไกป์กับแฟนตอนบ่าย"
........
"ได้ๆ กลับกัน"
บัดนั้น เสียงเพลงของพี่บอย พีซเมคเกอร์ก็ค่อยๆขึ้นอินโทรอยู่ในใจ ก่อนลามมาถึงท่อนฮุคอย่างรวดเร็ว ด้วยเพลง "เหงา" (จัง เลย.. T T)
ใช่สิ.. เรามันตัวคนเดียวนี่เนอะ
เดินไปรอรถเมล์กลับโรงแรมตามคำขอ เพิ่งเที่ยงกว่าๆ จึงเห็นคนกำลังทยอยมาที่ใจกลางเมืองแห่งนี้มากกว่า 2 ชั่วโมงก่อนที่เรามามากมายนัก
ใจคิดอยากอยู่ต่อ.. แต่ก็ไม่กล้าขัดใจหรือทิ้งให้เพื่อนกลับคนเดียว
เดินคอตกเข้าห้องพัก อาบน้ำ ล้างหน้า และต้มน้ำร้อนใส่มาม่ากิน
มันใช่มั้ยเนี่ย..??
นี่อยู่สวิสนะ.. ห่าน แต่ครั้นจะนั่งออกไปอีกทีก็คงกร่อยน่าดู
เปิดคอม พร้อมกับแผ่นซีดีละครเรื่องใหม่ที่เพิ่งจัดมาจากกทม. แล้วนั่งกินมาม่าไป ดูทีวีไป แอบคิดมุกเองคนเดียวแล้วขำเอง ถ้ามีคนเค้ารู้เบื้องหลังชีวิตแอร์เงินเดือนเรือนแสนบินมาสวิสมานั่งกอดเข่ากินมาม่างี้นะ อายเค้าตาย
คิดเองเออเองเสร็จ ก็เผลอหลับไป..
มืดจัง! ลืมตาตกใจรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟมันทุกดวงที่มี เพราะเราเป็นคนกลัวผี กลัวความมืด ปกติต้องนอนเปิดไฟ
ดูนาฬิกาก็หายกลัว เพิ่ง 6 โมงเย็นเองเหอะ ที่นี่อะไรก็ปิดทุ่มนึง แล้วชั้นจะทำอะไรต่อดี ออกก็ไม่ได้ มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นมีคนเดิน
..ได้คุยกับใครสักคนแก้เหงาก็คงดี พ่อกับแม่ต่อคอมไม่เป็น เล่น MSN กับเราไม่ได้ แล้วเราจะไปหาใคร
คุยกับน้องละกัน กับเพื่อนก็ได้ กะจะลองทักไปดู.. เห็นมีหลายคนออนไลน์อยู่
ตึ๊ง ตึ่ง .. เพื่อนตอบมาแล้ว
บทสนทนาที่ 1 :
"แก เป็นไงบ้าง"
"กรี๊ดด แก ไม่บินเหรอ ทำไมออนได้"
"ไม่บิน ตอนนี้อยู่โรงแรม"
"อยู่โรงแรมด้วย ไฮโซว่ะ อยู่ประเทศอะไรอ่ะ"
"อยู่เจนีวาว่ะแก เหงามากเลย ออกไปไหนก็ไม่ได้"
"เจนีวาที่ไหนอ่ะ สวิสเซอร์แลนด์เหรอ เป็นไง? สวยมั้ย? ไฮโซว่ะ ได้บินไปสวิสด้วย แกได้ไปยุโรปบ่อยไหม ได้อยู่กี่วัน ชั้นอยากไปมั่งว่ะ อิจฉา เหงาเหงิวอะไร อย่ามา ได้ไปสวิสทั้งที ไฮโซ ฯลฯ"
.........................
บทสนทนาที่ 2 :
"แก จะนอนยัง?"
"ยัง แกออนด้วยเหรอ ไม่ค่อยเห็นแกออนเลย"
"เออ ปกติบินไปบินมาน่ะ วันนี้ผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย เหงาๆเลยมาออน คิดถึงบ้านมาก"
"เหงาอะไร อย่างแกอ่ะนะเหงา ไม่เชื่อ! แกเก่งจะตาย เรารู้แกอยู่ได้ เดี๋ยวแกก็ชิน"
.…….................
ปิดคอมเถอะ..
ความรู้สึกจุดนั้นมันหนาวเหมือนอยู่บนยอดเขามงบลองค์ หนาวแบบสะท้านๆทรวง หันไปรอบๆก็ไม่เห็นใคร เหมือนเพลงพี่บอยจะดังขึ้นมาอีกรอบนะ
ถ้ามันจะไม่มีใครเข้าใจเราขนาดนี้.. ก็ช่างเถอะ ถ้าคิดว่าแกร่งดุจหินผาขนาดนั้น ชีวิตดี๊ดี แล้วจะส่งไปบ่นทำด๊วกอะไร..
เราเองยังไม่ทันได้เล่าอะไร เราก็เลือกจะเงียบไปเอง ด้วยเหตุ "ขอนอน"
นอนเถอะ..
ไม่โกรธเพื่อนนะที่ไม่เข้าใจ ไม่ดรามาเลย เพราะภาพลักษณ์อาชีพเราเองแหละที่ดูหรูหรา และน่าจะมีความสุข แต่จริงๆแล้ว การบินกับคนไม่รู้จักสลับสับเปลี่ยนไปทุกไฟลท์ ไม่มีคนที่รู้ใจ ไม่มีเพื่อนเที่ยว และไม่รู้จะเจอใครในแต่ละทริปเลย มันก็ว่างเปล่าจริงๆ แม้จะมาอยู่ในที่ที่สวยที่สุดในโลกก็ตาม
ทำได้สิ่งเดียวในตอนนี้ก็คือ ไม่แคร์ใคร เข้มแข็งเอาไว้ แล้วเราจะอยู่รอด
เดี๋ยวพรุ่งนี้แต่เช้า เราจะออกไปล่องเรือ 2 ชั่วโมงเต็ม เดินขึ้นเขา นั่งรถราง กินอาหารอร่อยๆ ทำทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ คนเดียว! ไม่ยึดติดกับใครอีก..
Goodnight World 🌙"
ส่วนใครที่อยากอ่านงานเขียนเรื่องเล่าของเจ้าของกระทู้ย้อนหลัง เราลงลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนี่เลยนะคะ :
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3 : นี่หรือ.. ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34568986
"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨"
http://www.ppantip.com/topic/34635697?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 5 : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ "
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง : สวิสในฝัน ฉันมาถึงแล้ว✈️✨ " ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ
"ได้เวลาลงไปรอรถตู้ไปสนามบิน ลากกระเป๋าใหญ่และเล็กด้วยมือทั้งซ้ายและขวา หน้าแน่น ปากแดง และสโม๊คกี้อายมาเต็ม!
แหม่.. กินกาแฟตอนท้องว่างนี่มันได้ผลจริงๆนะ
อยากวิ่ง อยากทำงานจุง ใจนี่เต้นผั่บๆๆ ถ้าไม่ติดใส่ยูนิฟอร์มอยู่นี่กะจะวิ่งเหยาะๆกับที่ซักนิดนะ เพื่อเป็นการวอร์มพละกำลัง
ว่าแต่ต้องสำรวมนิดเพราะแอร์สจ๊วตชาติอื่นๆอีก 3-4 คนที่นั่งรอรถเหมือนกันตรงนี้เค้าจะได้ไม่ตกใจกลัว แบบยูเป็นอะไรมากมั้ย
เมื่อเสียงแตรรถดัง "ปี๊น ปี๊น" คนที่ยืนหน้าตึกสุดก็เดินไปดู และตะโกนบอกทุกคน "Bus!" เป็นอันรู้กัน อ่ะ.. ลุกกก
เช่นเคย เราเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวอาบูดาบียามดึก แต่กระนั้น ใจเรากลับคิดมโนไปถึงเจนีวา โอ้ว.. สวิสเซอร์แลนด์ของพี่ ได้อยู่ตั้ง 36 ชั่วโมง เกือบ 2 วันเต็มๆ แลกเงินสวิสฟรังค์มาเต็มกระเป๋าเลย ดีนะ.. เกือบเผลอแลกยูโรมา ไม่งั้นเสร่อแน่นอน ต้องไปแลกอีกทีแล้วเสียเรตหมด ว่าแต่ เราจะทำอะไรที่เจนีวาดีน้าาา..
ว่าแล้วเราก็หยิบกล้อง Canon ตัวใหม่ที่พ่อกับแม่ซื้อมาให้ถ่ายภาพเพื่อส่งกลับบ้านขึ้นมาดู แหม่.. เท่ห์ซะไม่มี Laptop ก็เอามาแล้ว ทีนี้เราก็จะได้ถ่ายรูปเอารูปลงคอม ไรต์ลงซีดีไปอวดใครต่อใครที่บ้านแล้วสินะ ว่าแต่.. มาม่ากับพริกป่นเราเอามารึยัง? ที่ชาร์จกล้องล่ะ.. สายชาร์จด้วย กุกกักๆๆๆ ..ตลอดเวลา
..เชื่อว่าแอร์ฝรั่งที่กำลังนั่งติดกับเราในรถนั้นต้องอยากย้ายที่ไปไกลๆ เพราะนอกจากเราจะกึ่งพูดคนเดียวแล้ว เรายังเปิดปิดซิปกระเป๋า หยิบของ เหม่อมโน และคุ้ยกระเป๋าตัวเองไปมาในระหว่างทบทวนสิ่งของกันลืมในใจ พร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อรู้ว่าของครบ
เดจาวูตลอดศก โหลดกระเป๋า-เข้าห้องประชุม-รับข้อมูลไฟลท์-ตอบคำถาม-ไฟลท์เต็ม
..ขายดีจริงๆตั๋วบริษัทเรา ทีเพื่อนมาเล่าไฟลท์มันคนโล่งต่ำกว่าร้อยตลอด ทำไมเราไม่เคยมีประสบการณ์แบบนั้นเลย เอ๊ะ.. หรือดวงเราจะเป็นดวงนางกวัก เรียกคนตลอดเวลา
แต่ช่างเหอะ ไฟลท์นี้มีเพื่อนคนไทยบินด้วยนะ แจ่มจรัสสวัสดีมากก ต้องไปตีสนิท ต้องเป็นไฟลท์ที่ดีสิ
Boarding ~ เงียบบ.. อยากจิกราบเท้าผู้ที่ใส่ไฟลท์นี้มาในตาราง เพราะถ้าเทียบกับเดลฮี และโตรอนโต ตอนนี้เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งที่เรียกว่ายูโทเปีย มันช่างสงบสุข ไม่มีไฟเรียกลูกเรือ ไม่มีเดินสวนสนาม ไม่มีหิวน้ำ ไม่มีล้างขวดนม ทุกคนเดินเข้ามา ทักทายเรา เก็บของเบาๆและนั่งรัดเข็มขัด!
โอ้ว.. สุดยอด
ยิ่งตอนเครื่องเทคออฟ ไฟปิด ~ เห็นแต่แสงสีทองจากนอกหน้าต่างสะท้อนมาจากกรุงอาบูดาบีในยามค่ำคืน ไม่มีไฟสีทองอร่ามตระการเคบินแบบสวนลุมปีใหม่อย่างในไฟลท์โตรอนโตและเดลฮี คือดีจนงง!
เซอร์วิสแรก ~ เสิร์ฟแซนด์วิชและน้ำผลไม้ แทบไม่มีใครกิน ทุกคนหลับ ส่วนใหญ่จะขอน้ำเปล่าแก้วนึงเท่านั้น เหมือนจะกวนแต่เราไม่ได้กวนนะ ยิ่งเจอท่านผู้โดยสารมารยาทดีไม่ขออะไรอย่างนี้.. แล้วมันอยากให้ อยากแจกจนหงุดหงิดๆ
ต่อแต่นี้ เห็นทีชั้นจะขอไฟลท์นี้มันตะบี้ตะบันทุกเดือนแล้วล่ะ สุขภาพจิตชั้นดีมาก ชั้นเจอบ้านหลังที่สองแล้ว ..โอ้ว เจนีวา
เสิร์ฟเสร็จ ว่าง - ขอสวยแพรพ เข้าไปเติมเมคอัพในห้องน้ำตามกฎภาพลักษณ์แอร์ อุ้ย.. หน้าเด้งระดับโลก ไม่มันเลยเชียว ผมก็ไม่หลุด เพราะแทบไม่ได้ทำงาน มันช่างมีฟามสุขจัง
เลยออกมาจากห้องน้ำด้วยอารมณ์ดีๆ เหลือบไปเห็นเพื่อนชาวไทยกำลังเขียนเอกสารปิดบาร์เครื่องดื่ม เราเลยจึงเข้าไปช่วยปิด
"เธอๆ เธอเคยมาที่นี่ป้ะ? เที่ยวที่ไหนดีอ่ะ" เราเริ่มตีซี้
"เคย แต่ยังไม่ได้ไปไหนเลย เราเลยขอไฟลท์นี้มาล่ะเพื่อจะออกไปเที่ยว" อ่ะ.. เข้าทางชั้นล่ะสิ หาเพื่อนอยู่เบย
"เราไม่ได้ขอไฟลท์นี้มา แต่เราอยากไปเที่ยวมาก กะว่าถึงเมื่อไหร่ เราออกเลย.. เราจะไม่นอน เธอว่าไง.."
"ได้สิ งั้นเดี๋ยวออกด้วยกัน"
สำเร็จ! มีเพื่อนไปตะลุยเจนีวาแล้ว ดีใจ.. ว่าแต่เพื่อนใหม่ท่านนี้ช่างเรียบร้อยยิ่งนัก เราจึงรู้สึกเกรงใจเล็กๆ ไม่กล้าพูดคุยกระโตกกระตาก
ผ่านไป 3 ชั่วโมง เพื่อนแอร์บางนางเริ่มตาปรือ.. บ้างก็นั่งกอดขวดน้ำร้อนบ้าง บ้างก็ฟิตเดินเสิร์ฟน้ำในความมืดบ้าง และบ้างก็เริ่มเปิดตู้หาอะไรแทะกิน เอกสารบาร์เครื่องดื่มก็ปิดหมดแล้ว เลยไม่มีอะไรทำ
เราจึงนั่งแต่งหน้าให้หนาขึ้น เพราะกะว่าเครื่องลง เปลี่ยนเสื้อผ้า ออกเลย.. ไม่ต้องแต่งหน้าใหม่ เพราะงวดนี้เราไม่ได้มาเล่นๆ เรากะเที่ยวคุ้ม
และแล้วก็ได้เวลาเสิร์ฟอาหารเช้าที่รอคอย เพิ่งจะรู้สึกเป็นแอร์จริงๆก็ไฟลท์นี้ล่ะ ไม่ต้องวิ่ง ไม่ต้องรีบ ได้พูดช้าๆ เก็กหน้าสวยๆหน่อย เหมือนในโฆษณาที่เคยดูมา
แล้วเราก็ไต่ระดับแลนด์ดิ้งสวยๆ ด้วยวิวภูเขา Mont Blanc ที่ด้านซ้ายของกระจกเครื่องบินยืนอู้งานมองพลางคิดในใจ ทำบุญมาด้วยอะไรวะเรา สวยจริงๆ
เครื่องลง เก็บของ ออกด่านตม. รับกระเป๋า เข้ารถตู้ ไปโรงแรม..
จุดหมายที่แรกเราคือ น้ำพุที่ใจกลางเมือง Jet D'Eau
ในระหว่างรอเพื่อนเราก็หยิบแผนที่มากางดูชื่อสถานี พร้อมหยิบตั๋วรถเมล์ฟรีที่โรงแรมแจกให้ทุกคนที่มาพัก ด้านข้างของแผนที่มีโปรโมชั่นเสริมมากมาย ทั้งเรือ รถราง และร้านอาหาร
เดี๋ยว.. เดี๋ยว ได้ทุกคน พี่เตรียมเงินเดือนทั้งเดือนนี้เพื่อมาผลาญในทริปนี้เลย จัดเต็ม!
ตามนี้ เริ่มที่น้ำพุ Jet D'Eau, ล่องเรือทะเลสาปเจนีวา 2 ชั่วโมง, ขึ้นภูเขาไป Old Town แวะกินอาหารไทยอร่อยๆเพราะกินอาหารฝรั่งไม่เป็น แวะไปดู Museum บนเขา ชมโบสต์ และ.. อ่ะ เพื่อนมาแล้ว ไปเลยละกัน
ถ่ายรูปมันตั้งแต่หน้าโรงแรม ป้ายรถเมล์ ขึ้นรถเมล์ และลงรถเมล์ เวลานี้สบายๆเกือบ 10 โมงเช้าเจนีวา ถึงจะอยู่ยาวมากว่า 13 ชั่วโมง แต่ร่างกายเราก็ยังฟิตเหลือคณา
น้ำพุ น้ำพุๆๆๆๆๆๆ เรากระโดดดีใจเมื่อลงรถเมล์จากป้ายที่เค้าแนะนำมาแล้วเดินมาเจอน้ำพุ Jet D'eau
สวิสสวยจริงๆ สวิสๆๆๆ สวิสเซอร์แลนด์ เฮ้!
ถ่ายรูปสิคะ.. รออะไร!
ถ่ายมันทุกมุมสลับกับเพื่อนไปมา นาฬิกาต้นไม้ ร้านขายของที่ระลึก สะพานข้าม มันกว้างมากอ่ะ รอบทะเลสาปว่ากว้างแล้ว ถัดจากทะเลสาปไปยังเป็นแหล่งช็อปปิ้งอีก จะเริ่มจากที่ไหนก่อนดี!
ในขณะที่เดินยิ้มแป้นวนไปได้ครึ่งรอบ เพื่อนก็สะกิด
"เธอๆ เราต้องกลับแล้วล่ะ"
................. ครืนนน!! เสียงความตั้งใจเราถล่ม
"ทำไมอ่ะ ไม่อยากนั่งเรือเหรอ นั่งแบบ 1 ชั่วโมงก็ได้นาา ถ้า 2 ชั่วโมงนานไป" เราลองเสนอไป
"ไม่อ่ะ เราไม่อยากนั่งเรือ"
"งั้นอยากกินข้าวมั้ย หิวเปล่า เที่ยงแล้วนี่เนอะ" อ่ะ.. ลองเปลี่ยนแผนเอาใจ หวังให้เพื่อนอยู่ต่อ
"ไม่อ่ะ เราเอาข้าวมาด้วย เรามีนัดคุยสไกป์กับแฟนตอนบ่าย"
........
"ได้ๆ กลับกัน"
บัดนั้น เสียงเพลงของพี่บอย พีซเมคเกอร์ก็ค่อยๆขึ้นอินโทรอยู่ในใจ ก่อนลามมาถึงท่อนฮุคอย่างรวดเร็ว ด้วยเพลง "เหงา" (จัง เลย.. T T)
ใช่สิ.. เรามันตัวคนเดียวนี่เนอะ
เดินไปรอรถเมล์กลับโรงแรมตามคำขอ เพิ่งเที่ยงกว่าๆ จึงเห็นคนกำลังทยอยมาที่ใจกลางเมืองแห่งนี้มากกว่า 2 ชั่วโมงก่อนที่เรามามากมายนัก
ใจคิดอยากอยู่ต่อ.. แต่ก็ไม่กล้าขัดใจหรือทิ้งให้เพื่อนกลับคนเดียว
เดินคอตกเข้าห้องพัก อาบน้ำ ล้างหน้า และต้มน้ำร้อนใส่มาม่ากิน
มันใช่มั้ยเนี่ย..??
นี่อยู่สวิสนะ.. ห่าน แต่ครั้นจะนั่งออกไปอีกทีก็คงกร่อยน่าดู
เปิดคอม พร้อมกับแผ่นซีดีละครเรื่องใหม่ที่เพิ่งจัดมาจากกทม. แล้วนั่งกินมาม่าไป ดูทีวีไป แอบคิดมุกเองคนเดียวแล้วขำเอง ถ้ามีคนเค้ารู้เบื้องหลังชีวิตแอร์เงินเดือนเรือนแสนบินมาสวิสมานั่งกอดเข่ากินมาม่างี้นะ อายเค้าตาย
คิดเองเออเองเสร็จ ก็เผลอหลับไป..
มืดจัง! ลืมตาตกใจรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟมันทุกดวงที่มี เพราะเราเป็นคนกลัวผี กลัวความมืด ปกติต้องนอนเปิดไฟ
ดูนาฬิกาก็หายกลัว เพิ่ง 6 โมงเย็นเองเหอะ ที่นี่อะไรก็ปิดทุ่มนึง แล้วชั้นจะทำอะไรต่อดี ออกก็ไม่ได้ มองออกไปนอกหน้าต่างก็ไม่เห็นมีคนเดิน
..ได้คุยกับใครสักคนแก้เหงาก็คงดี พ่อกับแม่ต่อคอมไม่เป็น เล่น MSN กับเราไม่ได้ แล้วเราจะไปหาใคร
คุยกับน้องละกัน กับเพื่อนก็ได้ กะจะลองทักไปดู.. เห็นมีหลายคนออนไลน์อยู่
ตึ๊ง ตึ่ง .. เพื่อนตอบมาแล้ว
บทสนทนาที่ 1 :
"แก เป็นไงบ้าง"
"กรี๊ดด แก ไม่บินเหรอ ทำไมออนได้"
"ไม่บิน ตอนนี้อยู่โรงแรม"
"อยู่โรงแรมด้วย ไฮโซว่ะ อยู่ประเทศอะไรอ่ะ"
"อยู่เจนีวาว่ะแก เหงามากเลย ออกไปไหนก็ไม่ได้"
"เจนีวาที่ไหนอ่ะ สวิสเซอร์แลนด์เหรอ เป็นไง? สวยมั้ย? ไฮโซว่ะ ได้บินไปสวิสด้วย แกได้ไปยุโรปบ่อยไหม ได้อยู่กี่วัน ชั้นอยากไปมั่งว่ะ อิจฉา เหงาเหงิวอะไร อย่ามา ได้ไปสวิสทั้งที ไฮโซ ฯลฯ"
.........................
บทสนทนาที่ 2 :
"แก จะนอนยัง?"
"ยัง แกออนด้วยเหรอ ไม่ค่อยเห็นแกออนเลย"
"เออ ปกติบินไปบินมาน่ะ วันนี้ผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย เหงาๆเลยมาออน คิดถึงบ้านมาก"
"เหงาอะไร อย่างแกอ่ะนะเหงา ไม่เชื่อ! แกเก่งจะตาย เรารู้แกอยู่ได้ เดี๋ยวแกก็ชิน"
.…….................
ปิดคอมเถอะ..
ความรู้สึกจุดนั้นมันหนาวเหมือนอยู่บนยอดเขามงบลองค์ หนาวแบบสะท้านๆทรวง หันไปรอบๆก็ไม่เห็นใคร เหมือนเพลงพี่บอยจะดังขึ้นมาอีกรอบนะ
ถ้ามันจะไม่มีใครเข้าใจเราขนาดนี้.. ก็ช่างเถอะ ถ้าคิดว่าแกร่งดุจหินผาขนาดนั้น ชีวิตดี๊ดี แล้วจะส่งไปบ่นทำด๊วกอะไร..
เราเองยังไม่ทันได้เล่าอะไร เราก็เลือกจะเงียบไปเอง ด้วยเหตุ "ขอนอน"
นอนเถอะ..
ไม่โกรธเพื่อนนะที่ไม่เข้าใจ ไม่ดรามาเลย เพราะภาพลักษณ์อาชีพเราเองแหละที่ดูหรูหรา และน่าจะมีความสุข แต่จริงๆแล้ว การบินกับคนไม่รู้จักสลับสับเปลี่ยนไปทุกไฟลท์ ไม่มีคนที่รู้ใจ ไม่มีเพื่อนเที่ยว และไม่รู้จะเจอใครในแต่ละทริปเลย มันก็ว่างเปล่าจริงๆ แม้จะมาอยู่ในที่ที่สวยที่สุดในโลกก็ตาม
ทำได้สิ่งเดียวในตอนนี้ก็คือ ไม่แคร์ใคร เข้มแข็งเอาไว้ แล้วเราจะอยู่รอด
เดี๋ยวพรุ่งนี้แต่เช้า เราจะออกไปล่องเรือ 2 ชั่วโมงเต็ม เดินขึ้นเขา นั่งรถราง กินอาหารอร่อยๆ ทำทุกอย่างที่ตั้งใจไว้ คนเดียว! ไม่ยึดติดกับใครอีก..
Goodnight World 🌙"
ส่วนใครที่อยากอ่านงานเขียนเรื่องเล่าของเจ้าของกระทู้ย้อนหลัง เราลงลิงค์ไว้ให้ด้านล่างนี่เลยนะคะ :
" แกคือคนสุดท้ายในรุ่นที่ชั้นจะคิดว่าได้เป็นแอร์ " ..จากคำสบประมาท สู่ฝันแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง
http://www.ppantip.com/topic/34273378
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 1 : ฝันที่เป็นจริงหรือภาพลวงตา ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34504171?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 2 : หรือฉันจะไม่ใช่นางฟ้า ?.. ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34536596?
" เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 3 : นี่หรือ.. ที่เขาเรียกกันว่า ชีวิตนางฟ้า ✈️✨ "
http://www.ppantip.com/topic/34568986
"เรื่องเล่าแอร์โฮสเตสตะวันออกกลาง ตอนที่ 4 : ใครๆก็บอกว่า.. เราบินได้ ✈️✨"
http://www.ppantip.com/topic/34635697?