18 ตุลาคม 2558 “ผามออีแดง ความงามท่ามกลางความขัดแย้งไทย-กัมพูชา”
เช้านี้ในเมืองอุบลราชธานี หลังจากอาบน้ำ เก็บสัมภาระ(เนื่องจากคิดว่าไปนอนข้างหน้า หากเที่ยวเพลิน) เราลงมารับประทานอาหารเช้าของโรงแรม (กินนิดหน่อย) จากนั้นก็จับรถตุ๊กๆเพื่อจะออกไปเที่ยวตลาดริมมูล (ตลาดเช้าที่ใหญ่มากๆในเมืองอุบล) ตกลงราคากับคุณพี่เจ้าของรถ ซึ่งบอกราคา 60 บาท ต่อรองกันได้ 50 บาทขาดตัว บรรยากาศยามเช้าในเมืองอุบล ลมหนาวเริ่มมาเยือนแล้ว อากาศเริ่มเย็น พอถึงตลาดล้วงกระเป๋าหยิบเงินจะจ่าย ดันมีเงินใบละ 20 บาท 3 ใบ คุณพี่เค้าก็ไม่มีเงินทอน ก็ต้องตามน้ำล่ะทีนี้ (เสียเวลาต่อรองตั้งนานน้ำตาแทบไหล อุตส่าห์ต่อรองราคา) ภายในตลาดก็เหมือนตลาดเช้าทั่วไป มีผักสด อาหารสด โดยเฉพาะปลาจากลำนำมูล ขนมที่ขายก็เหมือนตลาดทั่วไปเช่นกัน เดินไปเดินมา ได้ข้าวจี่ร้อนๆมาสองชิ้น ข้าวเหนียวสังขยา วันนี้เราเสียเงินกับค่าขนมไม่มากนัก อาจเป็นเพราะเรามีเนื้อที่ว่างในท้องไม่มากนัก เดินหาร้านขายเครื่องดื่ม นั่งดื่มกาแฟ ชาร้อนกับขนม แล้วทอดสายตาดูลำนำมูลที่ไหลเอือยๆ ดูวิถีชีวิตของคนพื้นถิ่น ช่างมีความสุขจริงๆ และแล้วเราก็นั่งรถตุ๊กๆกลับไปยังโรงแรมในราคาเดิม เพื่อไปนั่งรอน้องอ๋อยไปส่งที่สนามบินอุบล ยังค่ะ ยังไม่กลับ วันนี้เราต้องไปสำรวจในเส้นทางอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีษะเกษ มุ่งหน้าสู่ผามออีแดง เรารบกวนไกด์มาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ลูกชายสุดหล่อก็ต้องไปโรงเรียนวันแรก ให้เวลาเค้าได้จัดการอะไรๆดีกว่า เราเลยติดต่อเช่ารถจากสนามบิน ติดต่ออยู่หลายบริษัท จนได้ตัดสินใจเลือกใช้บริการรถเช่าจากคุณยุวดี พาหนะในการเดินทางของเราในวันนี้ หมายเลข กต 3528 อุบลราชธานี น้องอ๋อยนำทางออกไปส่งเรานอกเมืองก่อน
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอกันทรลักษ์ทันที ระยะทางประมาณ 136 กิโลเมตร จากอุบลราชธานีกว่าจะถึงผามออีแดงก็ปาไปประมาณเที่ยง อากาศค่อนข้างร้อน วันนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา ระหว่างการเดินทางเราก็เจอขบวนนักปั่น ทราบว่าจุดหมายปลายทางของการปั่น คือ ผามออีแดง เหมือนกับเรา ถึงจะหิวเพียงไร ก็ต้องทนเมื่อเห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติ) งานนี้เรียกว่าสวยลืมหิวค่ะ)
จอดรถบริเวณลานรถแล้ว เราก็เดินเท้าอีกนิดหน่อยไปยังจุดชมวิว สถานที่นี้งดงาม เพราะการสรรค์สร้างจากธรรมชาติ เป็นหน้าผาสูงชัน ถัดจากหน้าผา ทราบว่าเป็นดินแดนของประเทศกัมพูชา และอีกฝั่งเราสามารถมองเห็นเขาพระวิหาร ที่เป็นบ่อเกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
ผามออีแดง หน้าผาชายแดนไทย-กัมพูชา นับว่าเป็นจุดชมวิวในมุมสูงที่สวยงามแห่งหนึ่งในภาคอีสานเลยทีเดียว ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีษะเกษ เป็นหน้าผาสูงชันกั้นเขตแดนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพของแผ่นดินประเทศกัมพูชาที่อยู่ต่ำลงไปเป็นมุมกว้าง
ก่อนอื่นขอเล่าประวัติคร่าวๆตามที่อ่านมาจากป้ายในบริเวณผามออีแดง เมื่อ ปี พ.ศ. 2504 คณะของคุณครูจากจังหวัดศรีษะเกษ ได้มาเยี่ยมชมปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้มีคุณครูชื่อแดงมาด้วย และขณะเดินทางกลับรถได้ประสบอุบัติเหตุที่เนิน 45 ครูแดงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และได้ไปปรากฏกายให้เจ้าหน้าที่พบเห็นบ่อยครั้ง บริเวณหน้าผาแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ผามออีแดง”
เราเดินชมวิวและถ่ายภาพมากมาย ขอบอกว่าสวยทุกจุด ผามออีแดงในวันนี้มีอากาศค่อนข้างร้อน การเดินเล่นชมวิวบริเวณหน้าผา ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง อย่าเดินชิดมากเกินไปนัก เพราะอาจจะเวียนศรีษะและอาจตกเหวลงไปได้ สภาพผามออีแดง ดูสงบ และสวยงามมาก
หลังจากที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ได้ปิดเส้นทางไม่ให้ขึ้นชมบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากสถานการณ์ตะเข็บชายแดนไม่ปลอดภัย ทั้งจากสงครามและกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา จนเป็นเรื่องเป็นความต้องขึ้นศาลโลก เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา
เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่สามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหาร จุดนั้นจะมีศาลาที่สามารถมองเห็นตัวปราสาทเขาพระวิหารด้วยตาเปล่า และหากต้องการดูอย่างชัดๆ บริเวณนี้มีการให้บริการกล้องส่องทางไกล เพื่อดูตัวปราสาท โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ เราก็คาดหวังว่าอีกไม่นานความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาคงคลี่คลาย และเมื่อนั้นเราก็คงได้มีโอกาสไปเยือน และเหยียบแผ่นดินเขาพระวิหารอย่างแน่นอน
เสร็จแล้วเราก็กลับมาเดินชมบริเวณร้านขายของที่ระลึก ก็จำหน่ายพวกเสื้อผ้า เหมือนแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปในเมืองไทย “ไปมาแย้ว” งานนี้ขอบายแล้วกัน เพราะเสื้อที่แสดงถึงการไปเยี่ยมเยือนแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเมืองไทยมีมากมายเต็มตู้แล้ว คิดว่าหากซื้อไปอีก อีกไม่นาน คงจะครบทั่วทุกจังหวัดในประเทศแน่ๆ
การท่องเที่ยวในทริปนี้ มื้อกลางวันมักจะเลยเวลาทุกมื้อ มื้อนี้อีกเช่นกัน บ่ายสองกว่าๆแล้ว ท้องเริ่มโอดครวญแล้วว่าถึงเวลาต้องหาอะไรมาบรรจุลงไปในท้อง เราขับรถออกมาจากผามออีแดง คิดว่าจะแวะระหว่างทาง ขับไปขับมาก็ผ่านอำเภอกันทรลักษ์ เหลือบไปเห็นทางขวามือ เห็นศาลหลักเมืองประจำอำเภอเล็กๆแห่งนี้ มีความสวยงาม เด่นเป็นสง่าราศี เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิจ เลยแวะเข้าไปสักหน่อย จากนั้นเราขับรถเข้าไปในตัวอำเภอเพื่อหาอะไรๆกิน ตัวอำเภอเป็นอำเภอเล็กๆ ผู้คนไม่มากมายนัก เจอข้างทางเป็นเพิงเล็กๆที่กำลังย่างไก่ ควันฉุย กลิ่นหอมเข้ามาในรถเชียวล่ะ ร่างกายพาลจะหมดเรี่ยวหมดแรงในทันที รีบบอกพลขับจอดโดยด่วน ตรงเข้าไปสั่งสั่งอาหารเมนูหลักประจำทริปนี้ ใช่ค่ะ ส้มตำ ไก่ย่าง เป็นอีกมื้อที่อร่อยมากๆ อิ่มท้องสบายใจ แล้วเราก็เดินทางกลับไปตัวเมืองอุบลราชธานี ทันที
คราวนี้เราใช้บริการ gps ซึ่งนำเราออกจากการจราจรที่แออัดในตัวอำเภอวาชินชำราบ ไปโผล่ที่สถานีรถไฟ ชอบมากค่ะ เพราะบ้านเราจังหวัดพังงา ไม่มีรถไฟ (เห็นรถไฟทีไร ตื่นเต้นทุกครั้ง) เรากลับไปพักที่เดิม ใช้เวลาพักผ่อนไม่นานนัก เจ้าของพื้นที่ ก็มารับเราออกไปสัมผัสบรรยากาศริมมูล ยามค่ำคืน
ร้านอาหารที่เราไปนั่งคืนนี้ อยู่ทางฝั่งอำเภอวารินชำราบ ก็แค่ขับรถข้ามสะพาน ครู่หนึ่งก็ถึงแล้ว เป็นร้านอาหารที่อยู่บนแพริมลำนำมูล เรานั่งชมแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองอุบลราชธานีซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำนี่เอง นั่งมองเครื่องบินที่ขึ้น-ลง อย่างใกล้ชิด และชมแสงไฟจากรถที่วิ่งไปมาบนสะพาน เป็นการรับประทานอาหารอีกมื้อที่อร่อย พร้อมกับชมบรรยากาศสวยงามยามค่ำคืน เมนูมื้อนี้ขอเป็นแบบธรรมดาบ้าง จำพวกปลาช่อนเป๊ะซะ ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียว กุ้งชุบแป้งทอด และยำรวมมิตร อิ่มหนำสำราญ แต่วันนี้ไกด์คนสวยเริ่มไม่สบายแล้ว เนื่องจากเจ็บคอ เสียงแห้งเชียว สำหรับเราหรือค่ะ อุตส่าห์มาตั้งไกล ขอบอกว่ายังสบายอยู่ สามารถเที่ยวต่อได้อีกหลายวัน พร้อมเดินทางเสมอ เพียงแต่ว่าพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว เพราะยาหมด (เกรงว่าอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 555+++) กินเสร็จน้องอ๋อยก็พาเราไปชมแสงไฟภายในเมืองอุบลราชธานี พร้อมทั้งบอกเส้นทางที่เราจะได้ไปซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน คืนนี้เราต้องรีบนอนค่ะ ยังมีอะไรๆต้องทำอีกเยอะก่อนบินกลับ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ......
ทริป พังงา- อุบล-จำปาสัก (สปป.ลาว) 15-19 ตุลาคม 2558 วันที่ 4
เช้านี้ในเมืองอุบลราชธานี หลังจากอาบน้ำ เก็บสัมภาระ(เนื่องจากคิดว่าไปนอนข้างหน้า หากเที่ยวเพลิน) เราลงมารับประทานอาหารเช้าของโรงแรม (กินนิดหน่อย) จากนั้นก็จับรถตุ๊กๆเพื่อจะออกไปเที่ยวตลาดริมมูล (ตลาดเช้าที่ใหญ่มากๆในเมืองอุบล) ตกลงราคากับคุณพี่เจ้าของรถ ซึ่งบอกราคา 60 บาท ต่อรองกันได้ 50 บาทขาดตัว บรรยากาศยามเช้าในเมืองอุบล ลมหนาวเริ่มมาเยือนแล้ว อากาศเริ่มเย็น พอถึงตลาดล้วงกระเป๋าหยิบเงินจะจ่าย ดันมีเงินใบละ 20 บาท 3 ใบ คุณพี่เค้าก็ไม่มีเงินทอน ก็ต้องตามน้ำล่ะทีนี้ (เสียเวลาต่อรองตั้งนานน้ำตาแทบไหล อุตส่าห์ต่อรองราคา) ภายในตลาดก็เหมือนตลาดเช้าทั่วไป มีผักสด อาหารสด โดยเฉพาะปลาจากลำนำมูล ขนมที่ขายก็เหมือนตลาดทั่วไปเช่นกัน เดินไปเดินมา ได้ข้าวจี่ร้อนๆมาสองชิ้น ข้าวเหนียวสังขยา วันนี้เราเสียเงินกับค่าขนมไม่มากนัก อาจเป็นเพราะเรามีเนื้อที่ว่างในท้องไม่มากนัก เดินหาร้านขายเครื่องดื่ม นั่งดื่มกาแฟ ชาร้อนกับขนม แล้วทอดสายตาดูลำนำมูลที่ไหลเอือยๆ ดูวิถีชีวิตของคนพื้นถิ่น ช่างมีความสุขจริงๆ และแล้วเราก็นั่งรถตุ๊กๆกลับไปยังโรงแรมในราคาเดิม เพื่อไปนั่งรอน้องอ๋อยไปส่งที่สนามบินอุบล ยังค่ะ ยังไม่กลับ วันนี้เราต้องไปสำรวจในเส้นทางอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีษะเกษ มุ่งหน้าสู่ผามออีแดง เรารบกวนไกด์มาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ลูกชายสุดหล่อก็ต้องไปโรงเรียนวันแรก ให้เวลาเค้าได้จัดการอะไรๆดีกว่า เราเลยติดต่อเช่ารถจากสนามบิน ติดต่ออยู่หลายบริษัท จนได้ตัดสินใจเลือกใช้บริการรถเช่าจากคุณยุวดี พาหนะในการเดินทางของเราในวันนี้ หมายเลข กต 3528 อุบลราชธานี น้องอ๋อยนำทางออกไปส่งเรานอกเมืองก่อน
จากนั้นเราก็มุ่งหน้าสู่อำเภอกันทรลักษ์ทันที ระยะทางประมาณ 136 กิโลเมตร จากอุบลราชธานีกว่าจะถึงผามออีแดงก็ปาไปประมาณเที่ยง อากาศค่อนข้างร้อน วันนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา ระหว่างการเดินทางเราก็เจอขบวนนักปั่น ทราบว่าจุดหมายปลายทางของการปั่น คือ ผามออีแดง เหมือนกับเรา ถึงจะหิวเพียงไร ก็ต้องทนเมื่อเห็นถึงความสวยงามของธรรมชาติ) งานนี้เรียกว่าสวยลืมหิวค่ะ)
จอดรถบริเวณลานรถแล้ว เราก็เดินเท้าอีกนิดหน่อยไปยังจุดชมวิว สถานที่นี้งดงาม เพราะการสรรค์สร้างจากธรรมชาติ เป็นหน้าผาสูงชัน ถัดจากหน้าผา ทราบว่าเป็นดินแดนของประเทศกัมพูชา และอีกฝั่งเราสามารถมองเห็นเขาพระวิหาร ที่เป็นบ่อเกิดความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
ผามออีแดง หน้าผาชายแดนไทย-กัมพูชา นับว่าเป็นจุดชมวิวในมุมสูงที่สวยงามแห่งหนึ่งในภาคอีสานเลยทีเดียว ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีษะเกษ เป็นหน้าผาสูงชันกั้นเขตแดนประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นทัศนียภาพของแผ่นดินประเทศกัมพูชาที่อยู่ต่ำลงไปเป็นมุมกว้าง
ก่อนอื่นขอเล่าประวัติคร่าวๆตามที่อ่านมาจากป้ายในบริเวณผามออีแดง เมื่อ ปี พ.ศ. 2504 คณะของคุณครูจากจังหวัดศรีษะเกษ ได้มาเยี่ยมชมปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งในการเดินทางครั้งนี้มีคุณครูชื่อแดงมาด้วย และขณะเดินทางกลับรถได้ประสบอุบัติเหตุที่เนิน 45 ครูแดงเสียชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งนี้ และได้ไปปรากฏกายให้เจ้าหน้าที่พบเห็นบ่อยครั้ง บริเวณหน้าผาแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อ “ผามออีแดง”
เราเดินชมวิวและถ่ายภาพมากมาย ขอบอกว่าสวยทุกจุด ผามออีแดงในวันนี้มีอากาศค่อนข้างร้อน การเดินเล่นชมวิวบริเวณหน้าผา ต้องเป็นไปอย่างระมัดระวัง อย่าเดินชิดมากเกินไปนัก เพราะอาจจะเวียนศรีษะและอาจตกเหวลงไปได้ สภาพผามออีแดง ดูสงบ และสวยงามมาก
หลังจากที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ได้ปิดเส้นทางไม่ให้ขึ้นชมบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากสถานการณ์ตะเข็บชายแดนไม่ปลอดภัย ทั้งจากสงครามและกรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชา จนเป็นเรื่องเป็นความต้องขึ้นศาลโลก เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้ที่นี่มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างบางตา
เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าไปยังบริเวณที่สามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหาร จุดนั้นจะมีศาลาที่สามารถมองเห็นตัวปราสาทเขาพระวิหารด้วยตาเปล่า และหากต้องการดูอย่างชัดๆ บริเวณนี้มีการให้บริการกล้องส่องทางไกล เพื่อดูตัวปราสาท โดยไม่ต้องเสียค่าบริการ เราก็คาดหวังว่าอีกไม่นานความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาคงคลี่คลาย และเมื่อนั้นเราก็คงได้มีโอกาสไปเยือน และเหยียบแผ่นดินเขาพระวิหารอย่างแน่นอน
เสร็จแล้วเราก็กลับมาเดินชมบริเวณร้านขายของที่ระลึก ก็จำหน่ายพวกเสื้อผ้า เหมือนแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปในเมืองไทย “ไปมาแย้ว” งานนี้ขอบายแล้วกัน เพราะเสื้อที่แสดงถึงการไปเยี่ยมเยือนแหล่งท่องเที่ยวต่างๆในเมืองไทยมีมากมายเต็มตู้แล้ว คิดว่าหากซื้อไปอีก อีกไม่นาน คงจะครบทั่วทุกจังหวัดในประเทศแน่ๆ
การท่องเที่ยวในทริปนี้ มื้อกลางวันมักจะเลยเวลาทุกมื้อ มื้อนี้อีกเช่นกัน บ่ายสองกว่าๆแล้ว ท้องเริ่มโอดครวญแล้วว่าถึงเวลาต้องหาอะไรมาบรรจุลงไปในท้อง เราขับรถออกมาจากผามออีแดง คิดว่าจะแวะระหว่างทาง ขับไปขับมาก็ผ่านอำเภอกันทรลักษ์ เหลือบไปเห็นทางขวามือ เห็นศาลหลักเมืองประจำอำเภอเล็กๆแห่งนี้ มีความสวยงาม เด่นเป็นสง่าราศี เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิจ เลยแวะเข้าไปสักหน่อย จากนั้นเราขับรถเข้าไปในตัวอำเภอเพื่อหาอะไรๆกิน ตัวอำเภอเป็นอำเภอเล็กๆ ผู้คนไม่มากมายนัก เจอข้างทางเป็นเพิงเล็กๆที่กำลังย่างไก่ ควันฉุย กลิ่นหอมเข้ามาในรถเชียวล่ะ ร่างกายพาลจะหมดเรี่ยวหมดแรงในทันที รีบบอกพลขับจอดโดยด่วน ตรงเข้าไปสั่งสั่งอาหารเมนูหลักประจำทริปนี้ ใช่ค่ะ ส้มตำ ไก่ย่าง เป็นอีกมื้อที่อร่อยมากๆ อิ่มท้องสบายใจ แล้วเราก็เดินทางกลับไปตัวเมืองอุบลราชธานี ทันที
คราวนี้เราใช้บริการ gps ซึ่งนำเราออกจากการจราจรที่แออัดในตัวอำเภอวาชินชำราบ ไปโผล่ที่สถานีรถไฟ ชอบมากค่ะ เพราะบ้านเราจังหวัดพังงา ไม่มีรถไฟ (เห็นรถไฟทีไร ตื่นเต้นทุกครั้ง) เรากลับไปพักที่เดิม ใช้เวลาพักผ่อนไม่นานนัก เจ้าของพื้นที่ ก็มารับเราออกไปสัมผัสบรรยากาศริมมูล ยามค่ำคืน
ร้านอาหารที่เราไปนั่งคืนนี้ อยู่ทางฝั่งอำเภอวารินชำราบ ก็แค่ขับรถข้ามสะพาน ครู่หนึ่งก็ถึงแล้ว เป็นร้านอาหารที่อยู่บนแพริมลำนำมูล เรานั่งชมแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองอุบลราชธานีซึ่งอยู่คนละฝั่งแม่น้ำนี่เอง นั่งมองเครื่องบินที่ขึ้น-ลง อย่างใกล้ชิด และชมแสงไฟจากรถที่วิ่งไปมาบนสะพาน เป็นการรับประทานอาหารอีกมื้อที่อร่อย พร้อมกับชมบรรยากาศสวยงามยามค่ำคืน เมนูมื้อนี้ขอเป็นแบบธรรมดาบ้าง จำพวกปลาช่อนเป๊ะซะ ผัดผักบุ้งไฟแดง ไข่เจียว กุ้งชุบแป้งทอด และยำรวมมิตร อิ่มหนำสำราญ แต่วันนี้ไกด์คนสวยเริ่มไม่สบายแล้ว เนื่องจากเจ็บคอ เสียงแห้งเชียว สำหรับเราหรือค่ะ อุตส่าห์มาตั้งไกล ขอบอกว่ายังสบายอยู่ สามารถเที่ยวต่อได้อีกหลายวัน พร้อมเดินทางเสมอ เพียงแต่ว่าพรุ่งนี้ต้องกลับแล้ว เพราะยาหมด (เกรงว่าอาจเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 555+++) กินเสร็จน้องอ๋อยก็พาเราไปชมแสงไฟภายในเมืองอุบลราชธานี พร้อมทั้งบอกเส้นทางที่เราจะได้ไปซื้อของฝากก่อนกลับบ้าน คืนนี้เราต้องรีบนอนค่ะ ยังมีอะไรๆต้องทำอีกเยอะก่อนบินกลับ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ......