สวัสดีชาวพันทิปครับ “ขอม” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เป็นคำนาม แปลว่า “เขมรโบราณ” ศิลปะแบบขอมพบในประเทศไทยมานานแล้วและเป็นศิลปะที่น่าศึกษาไม่น้อย จากการหาข้อมูลเบื้องต้นพบว่าปราสาทขอมในประเทศไทยมีประมาณ 200 กว่าแห่ง(เยอะเหมือนกันนะ) มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ปราสาทเก่าแก่ที่สุดคือปราสาทบ้านดงเมืองเตย จังหวัดยโสธร แต่เท่าที่เห็นจากภาพถ่ายใน Google คือเหลือแต่ฐานแล้ว และจากปราสาท 200 กว่าแห่ง จำนวนเกือบ 130 แห่งอยู่แถวๆอีสานใต้ เอาเป็นว่าตั้งต้นเดินทางย้อนอดีตปราสาทขอมกันแถวอีสานใต้นี้แล้วกัน
ทริปนี้ผมเดินทางไปตามหาปราสาทศิลปะแบบขอมในจังหวัดแถมอีสานใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่ศรีสะเกษ ถึงนครราชสีมาและแถมจังหวัดฝั่งตะวันออกอย่างสระแก้วอีก 1 จังหวัด
รีวิวนี้ผมรีวิวทีละจังหวัดนะครับแยกเป็นกระทู้ที่เน้นปราสาทไปเลย 1 กระทู้และกระทู้รวมที่พักที่กินอีก 1 กระทู้จะได้แยกกันชัดเจน แต่ละกระทู้น่าจะยาวเอาเรื่อง ไม่แนะนำให้อ่านก่อนนอนนะครับเพราะไม่เกิน 3 บรรทัด ท่านหลับแน่ๆครับ...และขออภัยล่วงหน้าสำหรับภาพบางภาพที่อาจไม่คมชัดนะครับ เป็นความผิดพลาดในการใช้ฟังค์ชันของกล้องถ่ายรูปของผมเอง
จังหวัดแรกในรีวิวนี้คือจังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่ภาคอีสานในปัจจุบันสันนิษฐานว่าเคยอยู่ภายใต้การปกครองของ “ละว้า” และ “ลาว” ภายหลัง “ละว้า” เสื่อมอำนาจ “ขอม” จึงเข้ามาแทนที่และ “ละว้า” ถอยร่นไปยังพื้นที่แถบภาคเหนือของประเทศไทย สมัย “ขอม” เรืองอำนาจศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ “ละโว้” หรือจังหวัดลพบุรีและ “พิมาย”หรือจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดสกลนคร
ปราสาทส่วนใหญ่ที่ผมไปในจังหวัดศรีสะเกษจะสร้างขึ้นประมาณช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18 หรือประมาณปี พ.ศ. 1500-1800 อายุนับพันปีเลยทีเดียว
ผามออีแดง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารซึ่งอาณาเขตติดชายแดนไทย กัมพูชา กินพื้นที่ยาวตั้งแต่จังหวัดศรีสะเกษไปถึงอุบลราชธานีแต่บริเวณผามออีแดงจะอยู่ฝั่งจังหวัดศรีสะเกษ ขับรถจากตัวเมืองศรีสะเกษประมาณชั่วโมงนิดๆก็ถึงที่ทำการแล้ว
หน้าผามออีแดงความยาวประมาณ 300 เมตร เป็นหน้าผาชันที่ฝั่งหนึ่งคือประเทศไทยส่วนอีกฝั่งคือจังหวัดพระวิหารของประเทศกัมพูชา เดิมผาแห่งนี้ชื่อ “เนิน45” ตามลักษณะทางกายภาพที่เป็นเนินความชันประมาณ 45 องศา แต่ชื่อ “ผามออีแดง” มาจากตำนานที่เล่ากันมาว่าประมาณปี พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม มีคณะครูเดินทางมาที่นี่เพื่อศึกษาปราสาทเขาพระวิหารหนึ่งในนั้นชื่อครูแดง เมื่อเดินทางมาถึง “เนิน45” รถของคณะครูเกิดอุบัติเหตุส่งผลให้ครูแดงเสียชีวิต ภายหลังเจ้าหน้าที่พบเห็นครูแดงบ่อยครั้งจึงเรียกที่นี่ว่า “ผามออีแดง” ซึ่ง "ผา" ก็คือหน้าผา "มอ" แปลว่าเนิน "อี" เป็นคำเรียกคนที่เปรียบเสมือนญาติ ส่วน"แดง"ก็คือครูแดงนั่นเอง ส่วนที่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด
จุดสำคัญจุดหนึ่งของผามออีแดงคือภาพสลักนูนต่ำที่อยู่ริมหน้าผา สามารถเดินไปชมได้แต่จะมีประตูปิดไว้มีช่องให้พอมองเห็นได้ จากลักษณะของเครื่องแต่งกายที่สลักไว้คาดว่าอยู่ในสมัย “เกาะแกร์” สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ประมาณปี พ.ศ. 928-944 ร่วมสมัยอยู่กับปราสาทพระวิหาร แต่ปราสาทพระวิหารทั้งหมดสร้างเสร็จหลังจากนั้นเป็นร้อยปี
เดินจากบริเวณหน้าผามออีแดงไปประมาณ 300 เมตรจะพบกับ “สถูปคู่” สูง 4.20 เมตร กว้าง 1.93 เมตรสร้างด้วยหินทรายแดงศิลปะแบบปาปวน พบฐานโยนีและศิวลึงค์ คาดว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่พบที่อื่น ช่องที่เห็นอยู่ด้านหน้าเป็นช่องที่ถูกเจาะภายหลังน่าจะถูกเจาะเพราะต้องการหาของมีค่า
จากผามออีแดงสามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหารได้ ปราสาทนี้ผ่านเรื่องราวทางการเมืองระหว่างประเทศและความขัดแย้งภายในประเทศหลายครั้งหลายคราว ในสมัยโบราณปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถบนี้มานับพันปี
ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ขึ้นในปี พ.ศ. 2451 เพื่อแบ่งพื้นที่สยามและกัมพูชา นำมาสู่เหตุขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในเวลาต่อมา ซึ่งต่างก็อ้างสิทธิในพื้นที่เขาพระวิหาร พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยทางดินแดนเหนือปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องข้อพิพาททางดินแดน
การเดินทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหารในอดีต ขึ้นจากฝั่งประเทศไทยจะสะดวกที่สุดเพราะฝั่งกัมพูชาเป็นหน้าผาสูงชัน พ.ศ. 2513 ไทยและกัมพูชาเปิดให้ประชาชนสามารถขึ้นไปชมปราสาทได้จากฝั่งไทย พ.ศ. 2518 เขมรแดงเข้ายึดพื้นที่ ปราสาทก็ต้องปิด พ.ศ. 2532 ปราสาทเปิดให้เข้าชมได้อีกครั้งแต่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะทหารรัฐบาลกัมพูชาเข้ายึดพื้นที่ พ.ศ. 2535 ปราสาทเปิดให้ชมอีกครั้งเพราะเขมรแดงยึดพื้นที่คืนได้ พ.ศ. 2541 ปราสาทกลับมาเปิดให้เข้าชมได้อีกครั้ง
เรื่องระหว่างไทยและกัมพูชามาประทุอีกครั้งเมื่อกัมพูชายื่นขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2551 ทำให้เกิดการปะทะตามแนวชายแดนอีกหลายครั้ง ระหว่างนั้นกัมพูชาสร้างถนนคอนกรีตยาว 3 กม.ขึ้นสู่ปราสาทพระวิหาร เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นจากฝั่งไทยอีกต่อไป แต่กัมพูชาก็ไม่อนุญาตให้นั่งท่องเที่ยวชาวไทยขึ้นชมปราสาท จนกระทั่ง พ.ศ. 2558 จึงอนุญาตให้นั่งท่องเที่ยวชาวไทยขึ้นชมปราสาทได้จากฝั่งกัมพูชา และแน่นอนว่าไม่ใช่การข้ามแดนจากตรงที่ผมยืนอยู่ ณ. ตอนนี้แน่ๆ เอาเป็นว่าดูจากแบบจำลองในห้องจัดแสดงไปก่อนแล้วกัน
ก่อนไปทริปนี้ผมหาข้อมูลพบว่ามีอีกปราสาทที่อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร แต่จาก Google map ดันไปอยู่ฝั่งกัมพูชา แต่ในเวปหลายเวปก็บอกว่าอยู่ฝั่งไทย เลยถามจากพี่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงผามออีแดง พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าไปเที่ยวได้แต่อย่าเดินสะเปะสะปะออกนอกเส้นทางเพราะ “ระเบิดเยอะ” อืม...เที่ยวได้แต่ระเบิดเยอะ
ขับรถย้อนกลับมาทางทางเข้าอุทยานประมาณครึ่งทาง เลี้ยวขวาไปจนสุดทางจะเจอค่ายทหาร ที่นี่มีปราสาทโดนตวล ปราสาทขนาดเล็กที่สร้างจากศิลาแลงคาดว่าสร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 อายุใกล้เคียงกับปราสาทพระวิหาร แน่นอนว่ามีส้มตำเสริฟช้า...อะไร...อ่อ ตำนาน
ตำนานเล่าว่า มีสัตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่อาภัพนักหน้าอกใหญ่จนต้องเอาสายสร้อยทองคำทำเป็นสาแหรกรองรับไว้ เมื่อกษัตริย์ขอมรู้เรื่องจึงรับสั่งให้อำมาตย์มารับนางไปเข้าเฝ้า ระหว่างเดินทางอยู่นั้น “ตาเล็ง” ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับสัตรีสูงศักดิ์นางนั้นมาตามนางกลับ แต่เหล่าอำมาตย์ไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กัน “ตาเล็ง” ถูกฆ่าตายและทิ้งศพไว้ในป่าบริเวณที่สร้างปราสาทนี่แหละ...พอรู้ตำนานก็เกาหัวแกรกๆว่ามันเกี่ยวกันยังไง
จอดรถเสร็จนั่งคิดว่าจะลงดีหรือเปล่า...เพราะเงียบเหลือเกินไม่มีใครเลย นักท่องเที่ยวก็ไม่มี ทหารก็ไม่มี แต่ระเบิดน่ะไม่รู้ น่าจะมี...แต่ไหนๆก็มาแล้วลงไปดูเสียหน่อย
ตัวปราสาทเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ หันหน้าไปทิศตะวันออก หน้าปราสาทมีทางเดินปูด้วยหินเข้าสู่ตัวปรางค์ ดูปราสาทเสร็จก็เดินไปชมวิวฝั่งกัมพูชาเสียหน่อย ใช้เวลาตรงนี้ไม่นานนักเพราะวังเวงเหลือเกิน
v
v
v
v
v
v
v
หากชอบการรีวิวของผม ไปดูรีวิวที่ผมทำไว้ในช่องทางอื่นๆได้นะครับ แนะนำ คอมเม้นท์ตามสบายครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
Facebook:
https://www.facebook.com/followmeonearth/
Lemon8 Application: @Pratuneung
Blockdit page: Followmeonearth
Blockdit page: Story Behind
[CR] รีวิว...เยือนถิ่นอีสานใต้ ย้อนอดีตกับ "ปราสาทขอม" จังหวัดแรก "ศรีสะเกษ"
สวัสดีชาวพันทิปครับ “ขอม” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เป็นคำนาม แปลว่า “เขมรโบราณ” ศิลปะแบบขอมพบในประเทศไทยมานานแล้วและเป็นศิลปะที่น่าศึกษาไม่น้อย จากการหาข้อมูลเบื้องต้นพบว่าปราสาทขอมในประเทศไทยมีประมาณ 200 กว่าแห่ง(เยอะเหมือนกันนะ) มีอายุตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 12 จนถึงประมาณพุทธศตวรรษที่ 18 ปราสาทเก่าแก่ที่สุดคือปราสาทบ้านดงเมืองเตย จังหวัดยโสธร แต่เท่าที่เห็นจากภาพถ่ายใน Google คือเหลือแต่ฐานแล้ว และจากปราสาท 200 กว่าแห่ง จำนวนเกือบ 130 แห่งอยู่แถวๆอีสานใต้ เอาเป็นว่าตั้งต้นเดินทางย้อนอดีตปราสาทขอมกันแถวอีสานใต้นี้แล้วกัน
ทริปนี้ผมเดินทางไปตามหาปราสาทศิลปะแบบขอมในจังหวัดแถมอีสานใต้ของประเทศไทย ตั้งแต่ศรีสะเกษ ถึงนครราชสีมาและแถมจังหวัดฝั่งตะวันออกอย่างสระแก้วอีก 1 จังหวัด
รีวิวนี้ผมรีวิวทีละจังหวัดนะครับแยกเป็นกระทู้ที่เน้นปราสาทไปเลย 1 กระทู้และกระทู้รวมที่พักที่กินอีก 1 กระทู้จะได้แยกกันชัดเจน แต่ละกระทู้น่าจะยาวเอาเรื่อง ไม่แนะนำให้อ่านก่อนนอนนะครับเพราะไม่เกิน 3 บรรทัด ท่านหลับแน่ๆครับ...และขออภัยล่วงหน้าสำหรับภาพบางภาพที่อาจไม่คมชัดนะครับ เป็นความผิดพลาดในการใช้ฟังค์ชันของกล้องถ่ายรูปของผมเอง
จังหวัดแรกในรีวิวนี้คือจังหวัดศรีสะเกษ พื้นที่ภาคอีสานในปัจจุบันสันนิษฐานว่าเคยอยู่ภายใต้การปกครองของ “ละว้า” และ “ลาว” ภายหลัง “ละว้า” เสื่อมอำนาจ “ขอม” จึงเข้ามาแทนที่และ “ละว้า” ถอยร่นไปยังพื้นที่แถบภาคเหนือของประเทศไทย สมัย “ขอม” เรืองอำนาจศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ “ละโว้” หรือจังหวัดลพบุรีและ “พิมาย”หรือจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดสกลนคร
ปราสาทส่วนใหญ่ที่ผมไปในจังหวัดศรีสะเกษจะสร้างขึ้นประมาณช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18 หรือประมาณปี พ.ศ. 1500-1800 อายุนับพันปีเลยทีเดียว
ผามออีแดง เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารซึ่งอาณาเขตติดชายแดนไทย กัมพูชา กินพื้นที่ยาวตั้งแต่จังหวัดศรีสะเกษไปถึงอุบลราชธานีแต่บริเวณผามออีแดงจะอยู่ฝั่งจังหวัดศรีสะเกษ ขับรถจากตัวเมืองศรีสะเกษประมาณชั่วโมงนิดๆก็ถึงที่ทำการแล้ว
หน้าผามออีแดงความยาวประมาณ 300 เมตร เป็นหน้าผาชันที่ฝั่งหนึ่งคือประเทศไทยส่วนอีกฝั่งคือจังหวัดพระวิหารของประเทศกัมพูชา เดิมผาแห่งนี้ชื่อ “เนิน45” ตามลักษณะทางกายภาพที่เป็นเนินความชันประมาณ 45 องศา แต่ชื่อ “ผามออีแดง” มาจากตำนานที่เล่ากันมาว่าประมาณปี พ.ศ. 2504 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม มีคณะครูเดินทางมาที่นี่เพื่อศึกษาปราสาทเขาพระวิหารหนึ่งในนั้นชื่อครูแดง เมื่อเดินทางมาถึง “เนิน45” รถของคณะครูเกิดอุบัติเหตุส่งผลให้ครูแดงเสียชีวิต ภายหลังเจ้าหน้าที่พบเห็นครูแดงบ่อยครั้งจึงเรียกที่นี่ว่า “ผามออีแดง” ซึ่ง "ผา" ก็คือหน้าผา "มอ" แปลว่าเนิน "อี" เป็นคำเรียกคนที่เปรียบเสมือนญาติ ส่วน"แดง"ก็คือครูแดงนั่นเอง ส่วนที่ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุมไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด
จุดสำคัญจุดหนึ่งของผามออีแดงคือภาพสลักนูนต่ำที่อยู่ริมหน้าผา สามารถเดินไปชมได้แต่จะมีประตูปิดไว้มีช่องให้พอมองเห็นได้ จากลักษณะของเครื่องแต่งกายที่สลักไว้คาดว่าอยู่ในสมัย “เกาะแกร์” สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 4 ประมาณปี พ.ศ. 928-944 ร่วมสมัยอยู่กับปราสาทพระวิหาร แต่ปราสาทพระวิหารทั้งหมดสร้างเสร็จหลังจากนั้นเป็นร้อยปี
เดินจากบริเวณหน้าผามออีแดงไปประมาณ 300 เมตรจะพบกับ “สถูปคู่” สูง 4.20 เมตร กว้าง 1.93 เมตรสร้างด้วยหินทรายแดงศิลปะแบบปาปวน พบฐานโยนีและศิวลึงค์ คาดว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เป็นสิ่งก่อสร้างที่ไม่พบที่อื่น ช่องที่เห็นอยู่ด้านหน้าเป็นช่องที่ถูกเจาะภายหลังน่าจะถูกเจาะเพราะต้องการหาของมีค่า
จากผามออีแดงสามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหารได้ ปราสาทนี้ผ่านเรื่องราวทางการเมืองระหว่างประเทศและความขัดแย้งภายในประเทศหลายครั้งหลายคราว ในสมัยโบราณปราสาทพระวิหารเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เคารพของชาวบ้านแถบนี้มานับพันปี
ฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ขึ้นในปี พ.ศ. 2451 เพื่อแบ่งพื้นที่สยามและกัมพูชา นำมาสู่เหตุขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและกัมพูชาในเวลาต่อมา ซึ่งต่างก็อ้างสิทธิในพื้นที่เขาพระวิหาร พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยทางดินแดนเหนือปราสาทพระวิหาร แต่ไม่ได้ตัดสินเรื่องข้อพิพาททางดินแดน
การเดินทางขึ้นปราสาทเขาพระวิหารในอดีต ขึ้นจากฝั่งประเทศไทยจะสะดวกที่สุดเพราะฝั่งกัมพูชาเป็นหน้าผาสูงชัน พ.ศ. 2513 ไทยและกัมพูชาเปิดให้ประชาชนสามารถขึ้นไปชมปราสาทได้จากฝั่งไทย พ.ศ. 2518 เขมรแดงเข้ายึดพื้นที่ ปราสาทก็ต้องปิด พ.ศ. 2532 ปราสาทเปิดให้เข้าชมได้อีกครั้งแต่เป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะทหารรัฐบาลกัมพูชาเข้ายึดพื้นที่ พ.ศ. 2535 ปราสาทเปิดให้ชมอีกครั้งเพราะเขมรแดงยึดพื้นที่คืนได้ พ.ศ. 2541 ปราสาทกลับมาเปิดให้เข้าชมได้อีกครั้ง
เรื่องระหว่างไทยและกัมพูชามาประทุอีกครั้งเมื่อกัมพูชายื่นขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2551 ทำให้เกิดการปะทะตามแนวชายแดนอีกหลายครั้ง ระหว่างนั้นกัมพูชาสร้างถนนคอนกรีตยาว 3 กม.ขึ้นสู่ปราสาทพระวิหาร เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นจากฝั่งไทยอีกต่อไป แต่กัมพูชาก็ไม่อนุญาตให้นั่งท่องเที่ยวชาวไทยขึ้นชมปราสาท จนกระทั่ง พ.ศ. 2558 จึงอนุญาตให้นั่งท่องเที่ยวชาวไทยขึ้นชมปราสาทได้จากฝั่งกัมพูชา และแน่นอนว่าไม่ใช่การข้ามแดนจากตรงที่ผมยืนอยู่ ณ. ตอนนี้แน่ๆ เอาเป็นว่าดูจากแบบจำลองในห้องจัดแสดงไปก่อนแล้วกัน
ก่อนไปทริปนี้ผมหาข้อมูลพบว่ามีอีกปราสาทที่อยู่ในบริเวณอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร แต่จาก Google map ดันไปอยู่ฝั่งกัมพูชา แต่ในเวปหลายเวปก็บอกว่าอยู่ฝั่งไทย เลยถามจากพี่เจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงผามออีแดง พี่เจ้าหน้าที่บอกว่าไปเที่ยวได้แต่อย่าเดินสะเปะสะปะออกนอกเส้นทางเพราะ “ระเบิดเยอะ” อืม...เที่ยวได้แต่ระเบิดเยอะ
ขับรถย้อนกลับมาทางทางเข้าอุทยานประมาณครึ่งทาง เลี้ยวขวาไปจนสุดทางจะเจอค่ายทหาร ที่นี่มีปราสาทโดนตวล ปราสาทขนาดเล็กที่สร้างจากศิลาแลงคาดว่าสร้างประมาณพุทธศตวรรษที่ 15 อายุใกล้เคียงกับปราสาทพระวิหาร แน่นอนว่ามีส้มตำเสริฟช้า...อะไร...อ่อ ตำนาน
ตำนานเล่าว่า มีสัตรีสูงศักดิ์นางหนึ่งรูปร่างหน้าตาสวยงาม แต่อาภัพนักหน้าอกใหญ่จนต้องเอาสายสร้อยทองคำทำเป็นสาแหรกรองรับไว้ เมื่อกษัตริย์ขอมรู้เรื่องจึงรับสั่งให้อำมาตย์มารับนางไปเข้าเฝ้า ระหว่างเดินทางอยู่นั้น “ตาเล็ง” ซึ่งเป็นคนบ้านเดียวกับสัตรีสูงศักดิ์นางนั้นมาตามนางกลับ แต่เหล่าอำมาตย์ไม่ยอมจึงเกิดการต่อสู้กัน “ตาเล็ง” ถูกฆ่าตายและทิ้งศพไว้ในป่าบริเวณที่สร้างปราสาทนี่แหละ...พอรู้ตำนานก็เกาหัวแกรกๆว่ามันเกี่ยวกันยังไง
จอดรถเสร็จนั่งคิดว่าจะลงดีหรือเปล่า...เพราะเงียบเหลือเกินไม่มีใครเลย นักท่องเที่ยวก็ไม่มี ทหารก็ไม่มี แต่ระเบิดน่ะไม่รู้ น่าจะมี...แต่ไหนๆก็มาแล้วลงไปดูเสียหน่อย
ตัวปราสาทเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ หันหน้าไปทิศตะวันออก หน้าปราสาทมีทางเดินปูด้วยหินเข้าสู่ตัวปรางค์ ดูปราสาทเสร็จก็เดินไปชมวิวฝั่งกัมพูชาเสียหน่อย ใช้เวลาตรงนี้ไม่นานนักเพราะวังเวงเหลือเกิน
v
v
v
v
v
v
v
หากชอบการรีวิวของผม ไปดูรีวิวที่ผมทำไว้ในช่องทางอื่นๆได้นะครับ แนะนำ คอมเม้นท์ตามสบายครับ
------------------------------------------------------------------------------------------------------
Facebook: https://www.facebook.com/followmeonearth/
Lemon8 Application: @Pratuneung
Blockdit page: Followmeonearth
Blockdit page: Story Behind
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้