มอร์นิ่งสตาร์เผย 5 กองทุนหุ้นจีนผลตอบแทนติดลบ อ่วมปัจจัยลบอื้อ ผู้จัดการกองทุน ชี้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีวูบ 40% ชี้ 2 ทางออก "โยกซื้อกองทุนหุ้นไทยเน้นบิ๊กแคป-ถือกองทุนจีนต่อ 3-5 ปี"
นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มี 5 กองทุนที่ลงทุนหุ้นจีน ที่ผลตอบแทนติดลบสูงสุด ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮดจ์, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮดจ์ 2, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไซน่า H-Share อิคิวตี้ และกองทุนเปิดทหารไทย China Equtiy Index
โดยเป็นผลจากตลาดหุ้นจีนเผชิญกับแรงกดดันหลายประเด็น ยิ่งช่วงต้นปีนี้ นักลงทุนกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นอย่างรุนแรง จนใช้มาตรการพักการซื้อขายชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์)
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทุนหุ้นจีน เป็นผลจากดัชนีที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เพราะส่วนใหญ่กองทุนเหล่านี้จะลงทุนอ้างอิงกับดัชนี และมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก (Feeder Fund) ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันต่าง ๆ ก็ทำให้ผลตอบแทนต้องปรับตัวลดลงตามดัชนี" นายกิตติคุณกล่าว
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งในตลาด A-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนอยู่ในประเทศจีน (ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น) และตลาดหุ้นจีน H-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนที่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค 58.-7 ม.ค. 59) ขาดทุนรวมแล้วกว่า 40%
"เมื่อปีก่อนตลาดหุ้นจีนมีปัญหาและต้องใช้มาตรการต่าง ๆ ช่วยพยุงมากมาย เราก็แนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการถือครองกองทุนหุ้นจีนโดยตลอด จนถึงสิ้นปีที่ผ่านมา เราพบว่าสถานการณ์ของจีนไม่ดีขึ้น จึงไม่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า น่าจะมีนักลงทุนบางส่วนที่ผลตอบแทนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังคงถือครองหน่วยลงทุนตั้งแต่ปีก่อน จนถึงปีนี้ต้องยอมรับว่าขาดทุนไปแล้วกว่า 40% เรียกได้ว่าเงินลงทุนหายไปเกือบครึ่งกระเป๋า" นายวินกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การแก้ไขพอร์ตลงทุนของนักลงทุนที่ถือครองกองทุนหุ้นจีน มี 2 ทางเลือก คือ ให้หมุนเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นไทยที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่แทน เพราะที่ผ่านมาหุ้นขนาดใหญ่ของไทยได้ปรับตัวลดลงมาก จึงน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในปีนี้ถึง 10% ซึ่งถือเป็นจังหวะในการทำกำไรที่ดี ส่วนอีกทางเลือกหนึ่ง แนะนำให้นักลงทุน "ถือ" กองทุนหุ้นจีนต่อไปประมาณ 3-5 ปี เพื่อรอให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวกลับมา
"ที่ผ่านมาราคาหุ้นจีนปรับตัวลงมากเกินปัจจัยพื้นฐาน โดยเป็นผลจากจีนที่ดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผิด เช่น การทำให้เงินหยวนอ่อนค่า จนทำให้นักลงทุนมีมุมมองในเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีนว่า อาจอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงมาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ ในตลาดหุ้นจีน ที่กำหนดเพดานขั้นต่ำเกินไป อีกทั้งยังรุนแรงไปถึงขั้นให้ปิดตลาดตลอดทั้งวันด้วย จึงเกิดแรงเทขายเกินความเป็นจริง ซึ่งไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีน" นายวินกล่าว
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาด A-Share และตลาดหุ้นจีน H-Share ปรับตัวลดลงรุนแรงนั้น บริษัทได้แนะนำให้นักลงทุนคงถือครองกองทุนหุ้นจีนที่ลงทุนใน H-Share ต่อไป เนื่องจากในระยะกว่า 1 ปีจากนี้ น่าจะมีโอกาสที่หุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น (รีบาวนด์) และเป็นจังหวะให้ทยอยขายออกได้ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้ถือกองทุนหุ้นจีนยังไม่แนะนำเข้าซื้อ แต่หากต้องการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศก็ควรเลือกซื้อกองทุนหุ้นญี่ปุ่นและยุโรปแทน เนื่องจากมีโอกาสจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยในปี 2558 ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงประมาณ 10%
การจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้ หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรจะลงทุนในตราสารหนี้ 70-80% ส่วนที่เหลือ 20-30% ลงทุนหุ้นไทยและต่างประเทศ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับกลาง ควรจัดสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นอย่างละ 50% และพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนในหุ้นสัดส่วน 70% ส่วนที่เหลือ 30% ลงทุนในตราสารหนี้
updated: 11 ม.ค. 2559 เวลา 21:08:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
***5 กองทุนหุ้นจีนผลตอบแทนติดลบกว่า 20%***
มอร์นิ่งสตาร์เผย 5 กองทุนหุ้นจีนผลตอบแทนติดลบ อ่วมปัจจัยลบอื้อ ผู้จัดการกองทุน ชี้ผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีวูบ 40% ชี้ 2 ทางออก "โยกซื้อกองทุนหุ้นไทยเน้นบิ๊กแคป-ถือกองทุนจีนต่อ 3-5 ปี"
นายกิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ นักวิเคราะห์บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า มี 5 กองทุนที่ลงทุนหุ้นจีน ที่ผลตอบแทนติดลบสูงสุด ได้แก่ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Shares อิควิตี้ เพื่อการเลี้ยงชีพ, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮดจ์, กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นจีน THB เฮดจ์ 2, กองทุนเปิด ทิสโก้ ไซน่า H-Share อิคิวตี้ และกองทุนเปิดทหารไทย China Equtiy Index
โดยเป็นผลจากตลาดหุ้นจีนเผชิญกับแรงกดดันหลายประเด็น ยิ่งช่วงต้นปีนี้ นักลงทุนกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาดหุ้นอย่างรุนแรง จนใช้มาตรการพักการซื้อขายชั่วคราว (เซอร์กิตเบรกเกอร์)
"สิ่งที่เกิดขึ้นกับกองทุนหุ้นจีน เป็นผลจากดัชนีที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เพราะส่วนใหญ่กองทุนเหล่านี้จะลงทุนอ้างอิงกับดัชนี และมีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก (Feeder Fund) ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาที่ไม่คาดฝันต่าง ๆ ก็ทำให้ผลตอบแทนต้องปรับตัวลดลงตามดัชนี" นายกิตติคุณกล่าว
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นจีนทั้งในตลาด A-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนอยู่ในประเทศจีน (ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และเสิ่นเจิ้น) และตลาดหุ้นจีน H-Share หรือหุ้นจีนที่จดทะเบียนในฮ่องกง ได้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ทำให้นักลงทุนที่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นจีนตั้งแต่ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน (1 ม.ค 58.-7 ม.ค. 59) ขาดทุนรวมแล้วกว่า 40%
"เมื่อปีก่อนตลาดหุ้นจีนมีปัญหาและต้องใช้มาตรการต่าง ๆ ช่วยพยุงมากมาย เราก็แนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการถือครองกองทุนหุ้นจีนโดยตลอด จนถึงสิ้นปีที่ผ่านมา เราพบว่าสถานการณ์ของจีนไม่ดีขึ้น จึงไม่ให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นจีนอีก แต่ก็ต้องยอมรับว่า น่าจะมีนักลงทุนบางส่วนที่ผลตอบแทนได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังคงถือครองหน่วยลงทุนตั้งแต่ปีก่อน จนถึงปีนี้ต้องยอมรับว่าขาดทุนไปแล้วกว่า 40% เรียกได้ว่าเงินลงทุนหายไปเกือบครึ่งกระเป๋า" นายวินกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การแก้ไขพอร์ตลงทุนของนักลงทุนที่ถือครองกองทุนหุ้นจีน มี 2 ทางเลือก คือ ให้หมุนเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนหุ้นไทยที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่แทน เพราะที่ผ่านมาหุ้นขนาดใหญ่ของไทยได้ปรับตัวลดลงมาก จึงน่าจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในปีนี้ถึง 10% ซึ่งถือเป็นจังหวะในการทำกำไรที่ดี ส่วนอีกทางเลือกหนึ่ง แนะนำให้นักลงทุน "ถือ" กองทุนหุ้นจีนต่อไปประมาณ 3-5 ปี เพื่อรอให้บรรยากาศการลงทุนฟื้นตัวกลับมา
"ที่ผ่านมาราคาหุ้นจีนปรับตัวลงมากเกินปัจจัยพื้นฐาน โดยเป็นผลจากจีนที่ดำเนินนโยบายทางการเงินที่ผิด เช่น การทำให้เงินหยวนอ่อนค่า จนทำให้นักลงทุนมีมุมมองในเชิงลบต่อเศรษฐกิจจีนว่า อาจอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ รวมถึงมาตรการเซอร์กิตเบรกเกอร์ ในตลาดหุ้นจีน ที่กำหนดเพดานขั้นต่ำเกินไป อีกทั้งยังรุนแรงไปถึงขั้นให้ปิดตลาดตลอดทั้งวันด้วย จึงเกิดแรงเทขายเกินความเป็นจริง ซึ่งไม่ได้ตัดสินใจบนพื้นฐานเศรษฐกิจที่แท้จริงของจีน" นายวินกล่าว
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล นักวิเคราะห์กองทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในช่วงที่ตลาด A-Share และตลาดหุ้นจีน H-Share ปรับตัวลดลงรุนแรงนั้น บริษัทได้แนะนำให้นักลงทุนคงถือครองกองทุนหุ้นจีนที่ลงทุนใน H-Share ต่อไป เนื่องจากในระยะกว่า 1 ปีจากนี้ น่าจะมีโอกาสที่หุ้นดังกล่าวปรับตัวขึ้นในช่วงสั้น (รีบาวนด์) และเป็นจังหวะให้ทยอยขายออกได้ ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้ถือกองทุนหุ้นจีนยังไม่แนะนำเข้าซื้อ แต่หากต้องการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศก็ควรเลือกซื้อกองทุนหุ้นญี่ปุ่นและยุโรปแทน เนื่องจากมีโอกาสจะฟื้นตัวดีขึ้น โดยในปี 2558 ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงประมาณ 10%
การจัดพอร์ตการลงทุนในปีนี้ หากนักลงทุนรับความเสี่ยงได้ต่ำ ควรจะลงทุนในตราสารหนี้ 70-80% ส่วนที่เหลือ 20-30% ลงทุนหุ้นไทยและต่างประเทศ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับกลาง ควรจัดสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นอย่างละ 50% และพอร์ตที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถลงทุนในหุ้นสัดส่วน 70% ส่วนที่เหลือ 30% ลงทุนในตราสารหนี้
updated: 11 ม.ค. 2559 เวลา 21:08:34 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์