เขามองอะไรแคบๆแบบสมัยเขาที่สิ่งมีชีวิตยังไม่มีความหลากหลายทางชีวภาพและทางสังคมมากเท่าสมัยนี้น่ะ สมัยก่อนเขามองความรักของคนรักต่างเพศมันยืนยาวกว่า เพราะผู้หญิงแต่งงานไปก็เป็นแม่บ้าน มีผัวหาเลี้ยง ตัวเองเป็นอีก้นครัวคอยปัดกาวบ้านหรือทำกับข้าวรอท่าและคอยเลี้ยงลูก ต่อให้ผัวชั่วก็ไม่มีทางเลิกกัน เลิกแล้วไม่มีปัญญาไปทำมาหากินอะไรเอง เพราะไม่มีความรู้มากมายอะไร ถ้ารวยๆหน่อยพอที่จะมีทุนค้าขายเองได้บ้าง ไม่ได้ต้องไปสมัครงานเป็นลูกจ้างใคร ก็ไม่เลิกอีก เพราะเลิกไปนี่ถือว่าหน้าอาย เป็นแม่ม่ายผัวทิ้ง หย่ากันไม่ได้ ต้องทนหวานอมขมกลืนไป อยู่กับผัวชั่วไปจนตาย

ตรรกะและค่านิยมที่กดขี่ผู้หญิงแบบสมัยก่อนนี่ละที่เป็นมุมมองแคบๆที่ทำให้คนมองว่าชีวิตคู่ของคู่รักต่างเพศมันมั่นคงกว่า ก็แหงแหละ ใครจะมาประจานชีวิตรักทุเรศๆของตัวเองละว่าแต่งไปแล้วได้ผัวชั่ว ก็ต้องหวานอมขมกลืนใส่หน้ากากไปวันๆนั่นแหละ คนนอกไม่รู้ก็มองดูว่าดี รักกันได้นาน ไม่เลิกกัน แต่กับคนรักเพศเดียวกันมันอยู่เหนือกรอบเก่าๆแบบนั้น ในเมื่อไปกันไม่ได้หรือมีอีกฝ่ายชั่ว ไม่ต้องมีลูกมาผูกมัด ก็จบๆกันไปน่ะมันถูกแล้ว แต่คนสมัยก่อนไม่เข้าใจ มองว่ามันเป็นความไม่ยั่งยืน บวกกับความทะนงตัวเองโง่ๆว่าการทนอยู่กับผัวหรือเมียห่วยๆได้คืออะไรที่ดี มีความอดทน เลยเที่ยวมาเบ่งใส่คนรุ่นใหม่ที่ไม่เลือกที่จะทนกับคู่ชีวิตแย่ๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่ชีวิตแบบรักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกันก็ตาม