"มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงดัง ปัง!!! ผมงัวเงียลืมตาขึ้นมาเห็นรถตู้สีขาววิ่งแซงขึ้นไปทางเลนขวาด้วยความเร็วสูง และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่รถของผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน รวมถึงกระจกมองข้างที่เหมือนจะหุบพับเข้าหาตัวรถเองจนกระแทกกับตัวรถและเป็นต้นตอของเสียงที่ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ ทั้งๆ ที่ถ้าในระหว่างที่ผมหลับไปแล้วรถตู้แซงขวาขึ้นมาควรจะเกี่ยวเอากระจกมองข้างตามรถไปด้วยถ้าบังเอิญเฉียดโดน หรือถ้าไม่มีรถตู้แซงขึ้นมาผมอาจจะขับรถไหลตกไหล่ทางไปแล้วก็ได้"
"หลังจากเสร็จศึก กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เดินทางผ่านมายังท้องที่ตำบลกลางดง ถึงลำคลองมวกเหล็ก ทรงเห็นสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบบริเวณกว้างเหมาะที่จะทรงพักกองทัพเพื่อให้ทหารได้พักผ่อน และกองทัพได้ทิ้งสรรพอาวุธ ขอ ง้าว หอก ดาบ ที่ชำรุดแตกหักเอาไว้ ณ. บริเวณฝั่งคลองมวกเหล็ก อันเป็นสถานที่สร้างวัดผ่านศึกอนุกูลในปัจจุบันนี้เอง"
เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (ปีพ.ศ. 2558) ผมและครอบครัวได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนในบริเวณเขาใหญ่ ซึ่งตามปกติในขากลับจะใช้เส้นทางลัดไป อ.มวกเหล็ก โดยแวะหยุดพักให้เด็กเล่นและทานไอศครีมที่แดรี่โฮมก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน
สำหรับวัดผ่านศึกอนุกูลนี้ต้องบอกว่าตัวเองได้ขับรถผ่านกำแพงวัด (ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่ามีรูปทรงดูคล้ายกำแพงของป้อมทหารหรือปราสาทมากกว่ากำแพงวัดทั่วไป) มาเป็นสิบๆ ครั้ง แต่ไม่เคยฉุกใจที่จะแวะเข้าไปเที่ยวชมเลย จนในครั้งนั้นได้ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปทั้งๆ ที่บรรยากาศกำลังฝนตกพรำๆ โดยเมื่อเลี้ยวเข้าวัดไปก็จะมองเห็น พลับพลามหาราชเชษฐา-อนุชาธิราช ตั้งเด่นอยู่ทางด้านขวามือ
เมื่อผมเดินเข้าไปในพลับพลา ก็รู้สึกอัศจรรย์ระคนกับปิติในใจ เนื่องจากตัวเองรู้สึกสงสัยมานานแล้วว่าองค์พระนเรศวรมหาราชมีพระสิริโฉมเป็นอย่างไร เนื่องจากในการไปเยี่ยมคารวะพระองค์ท่านในอนุสรณ์สถานแห่งอื่นๆ บางที่ก็เป็นรูปหุ่นจำลองแทนพระองค์ บางที่เป็นรูปประติมากรรมยุทธหัตถี ก็ไม่ได้ฉายภาพของพระองค์ออกมาให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่พลับพลาแห่งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้สัมผัสกับพระองค์ท่านในลักษณ์ที่เหมือนคนจริงมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อองค์พระเอกาทศรส และพระพี่นางสุพรรณกัลยาด้วย ซึ่งงามไม่แพ้กันทุกพระองค์
จากนั้นจึงได้จุดธูปและว่าคาถาบูชาแด่ดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านทั้งสาม และได้มาสะกิดใจกับคาถาบูชาองค์พระเอกาทศรส ซึ่งระบุเอาไว้ว่าคุ้มครองชีวิตให้แคล้วคลาดและปลอดภัยในการเดินทาง เนื่องจากเมื่อนึกถึงคุณูปการและพระปรีชาของพระองค์ก็มีมากมายเหลือคณา ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ที่แต่งบทคาถานี้ขึ้นมาจึงให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์เคยให้เรือพระที่นั่งขึ้นไปเป็นโล่กำบังแก่องค์สมเด็จพระนเรศวรตามพงศาวดารตอนยุทธนาวีปราบพระยาจีนจันตุก็เป็นได้
หลังจากนั้นผมก็พาครอบครัวไปแวะพักรับประทานอาหารที่แดรี่โฮมก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ซึ่งในระหว่างการเดินทางขากลับนี่เองที่ผมรู้สึกอ่อนเพลียจนวูบหลับไปช่วงหนึ่งในขณะขับรถโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่มีการหยุดพักแวะงีบรวมทั้งดื่มกาแฟมาเป็นระยะ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงดัง ปัง!!! ผมงัวเงียลืมตาขึ้นมาเห็นรถตู้สีขาววิ่งแซงขึ้นไปทางเลนขวาด้วยความเร็วสูง และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่รถของผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน รวมถึงกระจกมองข้างที่ดูราวกับว่าจะหุบพับเข้าหาตัวรถได้เองจนกระแทกกับตัวรถและเป็นต้นตอของเสียงที่ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ ทั้งๆ ที่ถ้าในระหว่างที่ผมหลับไปแล้วรถตู้แซงขวาขึ้นมาควรจะสอยกระจกมองข้างตามรถไปด้วยถ้าบังเอิญเฉียดโดน (ตามปกติกระจกมองข้างจะพับย้อนเข้าหาตัวรถ ในขณะที่รถตู้แซงมาจากด้านหลังน่าจะทำให้กระจกกางออกไปทางด้าหน้าของตัวรถมากกว่าหุบเข้า) หรือถ้าไม่มีรถตู้แซงขึ้นมาผมอาจจะขับรถไหลตกไหล่ทางไปแล้วก็ได้
แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นผมก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้งและบังคับรถพาครอบครัวถึงบ้านอย่างปลอดภัย และหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่สวดมนต์ผมก็จะว่าคาถาบูชาดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านทั้งสามพระองค์ทุกครั้ง รวมทั้งได้มีความตั้งใจมาเนินนานแล้วว่าจะเขียนเกี่ยวกับ พลับพลามหาราชเชษฐา-อนุชาธิราช และวัดผ่านศึกอนุกูล เพื่อเป็นการสักการแก่พระองค์ท่านทั้งสาม รวมทั้งอยากขอเชิญชวนเพื่อนๆ ทุกท่านที่อาจมีโอกาสผ่านไปทางนั้น ได้แวะเข้าไปกราบบูชาและชื่นชมพระบารมีขององค์บูรพกษัตริย์และราชวงศ์ทั้งสามพระองค์ด้วยครับ
[CR] วัดผ่านศึกกุดคล้า (ปากช่อง): กราบบูชาองค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรส และพระสุพรรณกัลยา
"มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงดัง ปัง!!! ผมงัวเงียลืมตาขึ้นมาเห็นรถตู้สีขาววิ่งแซงขึ้นไปทางเลนขวาด้วยความเร็วสูง และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่รถของผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน รวมถึงกระจกมองข้างที่เหมือนจะหุบพับเข้าหาตัวรถเองจนกระแทกกับตัวรถและเป็นต้นตอของเสียงที่ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ ทั้งๆ ที่ถ้าในระหว่างที่ผมหลับไปแล้วรถตู้แซงขวาขึ้นมาควรจะเกี่ยวเอากระจกมองข้างตามรถไปด้วยถ้าบังเอิญเฉียดโดน หรือถ้าไม่มีรถตู้แซงขึ้นมาผมอาจจะขับรถไหลตกไหล่ทางไปแล้วก็ได้"
"หลังจากเสร็จศึก กองทัพของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เดินทางผ่านมายังท้องที่ตำบลกลางดง ถึงลำคลองมวกเหล็ก ทรงเห็นสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบบริเวณกว้างเหมาะที่จะทรงพักกองทัพเพื่อให้ทหารได้พักผ่อน และกองทัพได้ทิ้งสรรพอาวุธ ขอ ง้าว หอก ดาบ ที่ชำรุดแตกหักเอาไว้ ณ. บริเวณฝั่งคลองมวกเหล็ก อันเป็นสถานที่สร้างวัดผ่านศึกอนุกูลในปัจจุบันนี้เอง"
เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา (ปีพ.ศ. 2558) ผมและครอบครัวได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนในบริเวณเขาใหญ่ ซึ่งตามปกติในขากลับจะใช้เส้นทางลัดไป อ.มวกเหล็ก โดยแวะหยุดพักให้เด็กเล่นและทานไอศครีมที่แดรี่โฮมก่อนที่จะเดินทางกลับบ้าน
สำหรับวัดผ่านศึกอนุกูลนี้ต้องบอกว่าตัวเองได้ขับรถผ่านกำแพงวัด (ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่ามีรูปทรงดูคล้ายกำแพงของป้อมทหารหรือปราสาทมากกว่ากำแพงวัดทั่วไป) มาเป็นสิบๆ ครั้ง แต่ไม่เคยฉุกใจที่จะแวะเข้าไปเที่ยวชมเลย จนในครั้งนั้นได้ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้าไปทั้งๆ ที่บรรยากาศกำลังฝนตกพรำๆ โดยเมื่อเลี้ยวเข้าวัดไปก็จะมองเห็น พลับพลามหาราชเชษฐา-อนุชาธิราช ตั้งเด่นอยู่ทางด้านขวามือ
เมื่อผมเดินเข้าไปในพลับพลา ก็รู้สึกอัศจรรย์ระคนกับปิติในใจ เนื่องจากตัวเองรู้สึกสงสัยมานานแล้วว่าองค์พระนเรศวรมหาราชมีพระสิริโฉมเป็นอย่างไร เนื่องจากในการไปเยี่ยมคารวะพระองค์ท่านในอนุสรณ์สถานแห่งอื่นๆ บางที่ก็เป็นรูปหุ่นจำลองแทนพระองค์ บางที่เป็นรูปประติมากรรมยุทธหัตถี ก็ไม่ได้ฉายภาพของพระองค์ออกมาให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ที่พลับพลาแห่งนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้สัมผัสกับพระองค์ท่านในลักษณ์ที่เหมือนคนจริงมากที่สุด นอกจากนี้ยังมีรูปหล่อองค์พระเอกาทศรส และพระพี่นางสุพรรณกัลยาด้วย ซึ่งงามไม่แพ้กันทุกพระองค์
จากนั้นจึงได้จุดธูปและว่าคาถาบูชาแด่ดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านทั้งสาม และได้มาสะกิดใจกับคาถาบูชาองค์พระเอกาทศรส ซึ่งระบุเอาไว้ว่าคุ้มครองชีวิตให้แคล้วคลาดและปลอดภัยในการเดินทาง เนื่องจากเมื่อนึกถึงคุณูปการและพระปรีชาของพระองค์ก็มีมากมายเหลือคณา ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ที่แต่งบทคาถานี้ขึ้นมาจึงให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ หรืออาจจะเป็นเพราะพระองค์เคยให้เรือพระที่นั่งขึ้นไปเป็นโล่กำบังแก่องค์สมเด็จพระนเรศวรตามพงศาวดารตอนยุทธนาวีปราบพระยาจีนจันตุก็เป็นได้
หลังจากนั้นผมก็พาครอบครัวไปแวะพักรับประทานอาหารที่แดรี่โฮมก่อนจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ ซึ่งในระหว่างการเดินทางขากลับนี่เองที่ผมรู้สึกอ่อนเพลียจนวูบหลับไปช่วงหนึ่งในขณะขับรถโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่มีการหยุดพักแวะงีบรวมทั้งดื่มกาแฟมาเป็นระยะ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ได้ยินเสียงดัง ปัง!!! ผมงัวเงียลืมตาขึ้นมาเห็นรถตู้สีขาววิ่งแซงขึ้นไปทางเลนขวาด้วยความเร็วสูง และเป็นที่น่าอัศจรรย์ที่รถของผมไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน รวมถึงกระจกมองข้างที่ดูราวกับว่าจะหุบพับเข้าหาตัวรถได้เองจนกระแทกกับตัวรถและเป็นต้นตอของเสียงที่ปลุกผมขึ้นจากภวังค์ ทั้งๆ ที่ถ้าในระหว่างที่ผมหลับไปแล้วรถตู้แซงขวาขึ้นมาควรจะสอยกระจกมองข้างตามรถไปด้วยถ้าบังเอิญเฉียดโดน (ตามปกติกระจกมองข้างจะพับย้อนเข้าหาตัวรถ ในขณะที่รถตู้แซงมาจากด้านหลังน่าจะทำให้กระจกกางออกไปทางด้าหน้าของตัวรถมากกว่าหุบเข้า) หรือถ้าไม่มีรถตู้แซงขึ้นมาผมอาจจะขับรถไหลตกไหล่ทางไปแล้วก็ได้
แน่นอนว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นผมก็หายง่วงเป็นปลิดทิ้งและบังคับรถพาครอบครัวถึงบ้านอย่างปลอดภัย และหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่สวดมนต์ผมก็จะว่าคาถาบูชาดวงพระวิญญาณของพระองค์ท่านทั้งสามพระองค์ทุกครั้ง รวมทั้งได้มีความตั้งใจมาเนินนานแล้วว่าจะเขียนเกี่ยวกับ พลับพลามหาราชเชษฐา-อนุชาธิราช และวัดผ่านศึกอนุกูล เพื่อเป็นการสักการแก่พระองค์ท่านทั้งสาม รวมทั้งอยากขอเชิญชวนเพื่อนๆ ทุกท่านที่อาจมีโอกาสผ่านไปทางนั้น ได้แวะเข้าไปกราบบูชาและชื่นชมพระบารมีขององค์บูรพกษัตริย์และราชวงศ์ทั้งสามพระองค์ด้วยครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น