จากเด็กตัวน้อยๆ
ปล. ขอให้เปิดใจในการอ่านนะค้าบ ผมแค่อย่างให้พี่ๆเปิดใจให้เด็กอย่างผมได้บอกความรู้สึกบ้าง ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พี่เขามารักตอบ หรือคบกันหรืออะไรทั้งนั้น เพราะด้วยช่วงวัย หน้าที่การงาน ความมั่นคงในชีวิต ไม่มีทางที่เขาจะสนใจเด็กอย่างผมหรอกครับ ผมแค่ต้องการได้ระบาย ให้โล่งๆหน่อยเท่านั้นเอง ^_^
สวัสดีค้าบทุกท่าน ช่วงนี้เพิ่งผ่านปีใหม่มา หลายๆท่านคงจะได้ไปเที่ยวกันใช่ไหมครับ ผมเองก็เหมือนกันครับ ปีนี้ผมได้ซื้อทัวร์ไปเที่ยวปีใหม่ที่ยุโรปถึง 3 ประเทศ นั่นคือ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ทริปนี้ผมเดินทางไปคนเดียวคนเดียว ครอบครัวผมไปเที่ยวที่อื่นกันครับ ผมก็เพิ่มค่าห้องเพื่อจะได้นอนคนเดียวไม่ไปรบกวนท่านอื่นและเพื่อความสะดวกของตัวผมเองด้วย ออกตัวก่อนเลยครับว่าผมอายุยังไม่ถึง 20 แต่ชอบท่องเที่ยวคนเดียวโดยเฉพาะโซนยุโรป ผมเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่ไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษเมื่อหลายปีก่อน ครอบครัวผมให้ผมเก็บเงินจากการทำงานไว้เอง เพื่อไว้ให้รางวัลตัวเอง ส่วนค่าใช้จ่ายเวลาผมไปซัมเมอร์ต่างประเทศครอบครัวผมซัพพอร์ตให้ครับ ผมเริ่มทำงานมาตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ เวลาไปซัมเมอร์ต่างประเทศก็หางานพาร์ทไทม์ พอกลับมาอยู่เมืองไทยก็มีรับพรีออเดอร์บ้างเป็นรายได้เสริม ระยะเวลาตั้งแต่ผมเริ่มทำงานจนมีรายได้เป็นของตัวเองจริงๆจังๆ ก็ประมาณ 3 ปีครับ จึงทำให้ผมพอมีเงินเก็บอยู่พอสมควร ส่วนเหตุผลที่ผมชอบเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ผมว่าการเดินทางคนเดียวทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ และเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในด้านแนวคิด ทัศนคติ มุมมองต่างๆในชีวิต ทุกอย่างเราต้องเรียนรู้เมื่อไกลบ้าน วัฒนธรรมใหม่ๆ คนใหม่ๆ ความแตกต่าง และหากเกิดปัญหาเราต้องหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเราเองให้ได้เสียก่อนครับ นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครๆบอกว่าผมโตเกินวัย 555 ผมเลยเป็นคนที่ค่อนข้างจะสนิทกับคนที่อายุมากกว่า ผมไม่ค่อยมีเพื่อนวัยเดียวกันนอกจากที่มหาวิทยาลัย กับเพื่อนเก่าสมัยมัธยม มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ เกริ่นซะยาว 555 คือผมแค่อยากจะให้ทุกท่านรู้จักตัวตนคล่าวๆของผมก่อนน่ะครับ พอช่วงกรกฎาวันเกิดผม ผมก็จัดการซื้อทัวร์ไปยุโรปคนเดียวในช่วงปีใหม่ เพื่อให้ของขวัญตัวเองสักหน่อย ไปพักผ่อนชาร์ทแบตให้ชีวิต เหตุผลที่ผมไม่ได้เลือกเดินทางเองแต่มาซื้อทัวร์ก็เพราะว่าค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม พอหน้าไฮซีซั่นค่าห้องพักก็ขึ้น ค่าตั๋วเครื่องบินก็ขึ้น แต่บริษัททัวร์มีดีลราคาที่ถูกกว่าเราๆ ซึ่งผมคำนวณแล้วถูกกว่าจริงๆครับ เก็บส่วนต่างไปช้อปปิ้งสบายๆ สคริปข้ามมาวันเดินทางเลยแล้วกันนะครับ พอถึงวันเดินทาง ใจผมเองก็เริ่มหวั่นๆ ไม่ได้กลัวอะไรนะครับ กลัวไม่มีคนถ่ายรูปให้ 5555 ทริปนี้มาหลายประเทศด้วย โดยปกติเวลามาคนเดียวผมจะใช้ฝรั่งแถวๆนั้นถ่ายให้ แบบเดินไปเรื่อยๆหามุมเจอใครก็สะกิดให้ช่วยถ่ายครับผม ผมว่าเวลามีคนถ่ายให้มันได้ภาพมุมกว้างกว่าเราเซลฟี่เอง ครั้งนี้ก็ไปหวังน้ำบ่อหน้าเอา เตรียมกล้อง DSLR เรียบร้อยพร้อมแบต 3 ก้อน เม็ม 64 GB สี่อัน ไอโฟนหกเอส แบตสำรองพร้อม อย่างน้อยทริปนี้มากับทัวร์ คนไทยเยอะเลยคงช่วยถ่ายให้ผมอยู่แล้ว พอมาถึงอิตาลี เริ่มเที่ยวเลยครับสถานที่แรก มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ผมก็เริ่มเล็งไปที่ครอบครัวหนึ่งมากันสี่ท่าน พ่อแม่ และลูกสาวสองคน คนโตเป็นพี่ผมสองปี คนเล็กน่าจะม.ปลาย ผมดูแล้วครอบครัวนี้เฟรนลี่น่ารักเลยตีสนิทเพื่อจะให้ช่วยถ่ายรูป แต่เขาก็สนิทกับครอบครัวใหญ่อีกหลายครอบครัว ผมดันกลายเป็นคนเดินถ่ายภาพรวมหมู่ให้พวกเขาแทน 5555 เมื่อรู้ว่าแผนนี้ไม่เวิร์คผมเลยค่อยๆถอยมา แล้วมาให้ฝรั่งแถวนั้นช่วยถ่ายรูปเหมือนเดิม พอจบจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ก็มาโคลอสเซียม ผมก็ได้อาศัยพี่ไก๊กับนักท่องเที่ยวแถวนั้นถ่ายให้เหมือนเดิม จากนั้นพี่ไกด์ก็พาไปซื้อพิซซ่ามาทานที่บริเวณสถานีรถไฟ ส่วนลูกสาวพี่ไกด์ซื้อไอศกรีมมาทาน ผมก็เลยพูดลอยๆกับคนในกรุ๊ปว่า "มาอิตาลีต้องกินไอติมนะครับ อากาศเย็นแบบนี้ด้วย สะใจดีครับ" ก็มีเสียงคนตอบมาว่า " ใช่เลย ยิ่งแบบโคนหลายๆชั้นนะ โหยย สุดๆ " พอผมหันตามเสียงก็พบว่าเป็นเสียงพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนกินพิซ่าใกล้ๆกับคุณป้าท่านหนึ่ง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะยังไม่รู้จักกันแค่ยิ้มๆให้ พอเที่ยวชมเสร็จก็กลับมานั่งรถบัสไปฟลอเรนซ์ต่อ เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้แหละครับ มีคุณป้าท่านหนึ่งอายุประมาณ 60+ ( คนเดียวกับที่ยืนกินพิซซ่าใกล้ๆกับบพี่ผู้หญิงที่ตอบผม ) ท่านนั่งเบาะหน้าผมพอดี ท่านดูแข็งแรงมาก เดินไปไหนมาไหนคล่องแคล่ว พอท่านขึ้นรถมาท่านยกกระเป๋าเก็บบนชั้นเก็บกระเป๋าด้านบนศีรษะไม่ไหว ผมก็ช่วยท่านยก พอถัดจากท่านไปข้างหน้าท่านคนที่นั่งเป็นพี่ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจ พอยกกระเป๋าให้คุณป้าเสร็จผมก็มานั่งที่ผมตามเดิม ผ่านมาสักสามสิบนาทีกำลังงีบเคลิ้มๆ ก็โดนแสงแฟลชกระทบเข้าตา พอลืมตาดู ผมก็เห็นพี่ผู้หญิงด้านหน้าคุณป้ากำลังถ่ายวิวข้างทางผ่านกระจกรถบัส ประเด็นคือ ผมคิดในใจจะเปิดแฟลชทำไม มันก็สะท้อนกระจกสิ แต่เหมือนพี่เขาจะรู้ตัวครับ ถ่ายไปสัก 3-4 ภาพเขาก็ปิดแฟลช พอวันต่อมา ทานอาหารเช้าเรียบร้อยเราก็ออกมาเดินชมเมืองฟลอเรนซ์ ผมก็เดินเป็นคนต้นๆของกรุ๊ป ตามพี่ไกด์แทบจะตัวติดกัน 5555 จริงๆเพราะไม่มีเพื่อนมากกว่า เลยไม่ได้หยุดถ่ายรูปเหมือนคนอื่นๆเขา ปรากฏว่าข้างๆผม มีพี่ผู้หญิงโจทก์เก่าที่เปิดแฟลชสะท้อนกระจกใส่ตาผมเมื่อวานนี้เดินกับคุณป้าท่านนั้นซึ่งผมเพิ่งทราบว่าเป็นคุณแม่ของพี่เขานั่นเอง ต่อจากนี้ผมขอแทนสรรพนามเรียกพี่เขาว่าพี่ P แล้วกันนะครับ ส่วนผมจะแทนสรรพนามที่พี่เค้าเรียกผมว่า M เนื่องจากเดินใกล้กันเลยพูดคุยกันบ้างทั่วไปตามมารยาท พอเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่างที่มีรูปปั้นเดวิด แต่ปรากฏว่าคนเยอะมาก คณะทัวร์เราไม่มีเวลามากพอเลยไม่ได้เข้า ผมก็แอบเซ็งๆก็เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก พวกอาคาร สถาปัตยกรรมต่างๆ เดินถ่ายเรื่อยๆไม่มีคนถ่ายให้ผมเลย ผมก็เดินไปเรื่อยๆไปเจอพี่ P กำลังถ่ายรูปให้คุณแม่พี่ P อยู่ ผมเลยพูดไปว่า " ให้ผมช่วยถ่ายรูปคู่ให้เอาไหมครับ " พี่เค้าก็เกรงใจครับแต่ก็ให้ผมถ่าย จริงๆเจตนาผมก็คืออยากให้พี่เค้าถ่ายให้ผมคืนด้วยนั่นแหละครับ 5555 แล้วก็เป็นตามที่คิด เมื่อผมถ่ายให้พี่เค้าเสร็จพี่เค้าก็ถามว่า"น้องเอามั้งไหม พี่ถ่ายให้ " ผมก็รีบส่งกล้องอย่างไวเลยครับแล้วรีบวิ่งไปยืนเก็ก จากนั้นผมก็เดินตามพี่เค้าเป็นปลิงเลยครับ 555 จนมาถึงจตุรัสอะไรสักอย่างที่มีประตูสวรรค์ พี่ไกด์ปล่อยฟรีไทม์ ให้ช้อปปิ้ง ผมกับพี่Pก็เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหาถ่ายภาพสวยๆที่เดิมที่เดินผ่านมา เพราะทั้งผมและพี่Pไม่ใช่คนชอบชอปปิ้งเท่าไรครับ แล้วใจก็อยากจะเข้าพิพิธภัณฑ์ที่มีเดวิดด้วย เราสามคน ผม พี่ P แม่พี่ P ก็เดินเล่นชิลๆผลัดกันถ่ายภาพ จนรู้สึกไม่ถนัดที่ต้องคอยสลับกล้องไปๆมาๆ พี่ P เลยบอกผมว่า "ถ่ายกล้องพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่ส่งให้ " ผมก็ไม่ขัดศรัทธาครับ เพราะใช้ Nikon เหมือนกันภาพสวยแน่นอน แต่ก็ยังเกรงใจไม่ค่อยกล้าถ่าย ถ่ายแค่จุดสำคัญจุดละ 1-2 ภาพ ส่วนเวลาผมถ่ายให้พี่P ผมนี่รัวเลยครับเพราะถือว่าเป็นกล้องของพี่เค้า พอเดินกลับมาถึงพิพิธภัณฑ์ที่เราสามคนอยากจะเข้าปรากฏว่าคิวยาวกว่าเดิมอีก เราเลยตัดใจ ยังไงก็ไม่ทันแน่ๆ ก็เดินกลับมาบริเวณจตุรัสตรงที่พี่ไกด์กำหนดให้เป็นจุดนัดพบ ผมก็เดินผ่านร้านดิสนีย์ ซึ่งผมเองก็เป็นคนชอบตุ๊กตา ก็อดใจไม่ไหว พี่P ก็เหมือนจะดูอาการผมออกเลยบอกผมว่า " ดูไหมล่ะ เวลายังเหลือ " ผมก็ขอบคุณครับแล้วก็เข้าไปซื้อตุ๊กตามา 2 ตัว กับชุดเด็กมาให้น้องหมาที่บ้าน 1 ชุด พอมาต่อแถวจ่ายเงิน เหลือเวลาอีก 4 นาทีจะถึงเวลานัด ผมเลยมองหน้าพี่ P เหมือนจะบอกว่าผมไม่เอาก็ได้เดี๋ยวไปไม่ทัน แต่แค่ผมคิดยังไม่ทันจะพูดไป พี่ P ก็พูดว่า " ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ คนอื่ในกรุ๊ปยังไม่ไปเลย เดี๋ยวพี่รออยู่เป็นเพื่อน " พร้อมกับชี้ไปที่ร้านกาแฟ ปรากฏว่ามีคนในกรุ๊ปเราที่ยังไม่เดินไปที่จุดนัดหมายอีกเพียบเลยครับ พี่ P กับแม่พี่ P รอจนผมจ่ายเงินเรียบร้อย คิวประมาณ 4-5 คิวได้ ซึ่งบอกตรงๆเลยนะครับ ถึงจะรอไม่นานแต่ตอนนั้นผมเริ่มประทับใจพี่เขาแล้วครับ ทั้งๆที่ผมมาคอยเกาะเขา 555 แต่เขายังยอมเสียเวลาไปกับผมด้วยทั้งที่ไม่ใช้เรื่องของเขาเลย พอจบทริปที่ฟลอเรนซ์ เราก็นั่งรถบัสไปกันต่อที่กอเอนเมืองปิซ่า เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นในระเวลาอันสั้นนิดเดียวเท่านั้น พอมาถึงทางเดินเข้าหอเอนจะมีคนผิวสีเดินขายของที่ระลึกกับพวกไม้เซลฟี่ ผมไม่ได้เหยียดสีนะครับพวกเขาเข้ามาแบบรุมอ่ะครับ นึกภาพออกไหมครับ แบบรวมกันมาหลายๆคนแล้วต้อนพวกเรา ผมนี่หลอนเลย รีบเดินให้เร็วๆ อยู่ก็มีคนผิวสีคนหนึ่งพุ่งมาจะจับแขนพี่P จากด้านหลังพี่ P ตกใจก็กระโดดมาจับแขนผมไว้ ผมก็รีบพาเดินออกมาทั้งพี่ P และแม่ของพี่ P พอเข้ามาได้ก็เริ่มถ่ายรูปกันครับด้วยท่าคลาสสิคต่างๆตามฉบับหอเอนเลยครับ เอามือดัน เอานิ้วจิ้ม หามุมกันสนุดเลยครับ ผลัดกันถ่ายหลายๆท่า ตอนนั้นผมรู้สึกว่าพี่ P เป็นผู้หญิงที่น่ารักมากเลยครับ เป็นพี่สาวที่น่ารักมาก เป็นกันเอง ตลก สนุกสนาน เลยเข้ากับผมได้เพราะการรับส่งมุขนี่พี่น้องกันเลยครับ ไม่มีพลาด เราสนิทกันมากขึ้นเริ่มเดินไปเก็กโดยไม่ต้องบอกเก็กท่ายากมากขึ้น เดินหามุมสวยให้กันและกัน หาที่ที่ไม่มีคน พอถ่ายได้หลายชอต แม่พี่ P อยากเข้าห้องน้ำ ผมก็พาไปทางด้านหลังซึ่งมีห้องน้ำบริการอยู่คนละ 0.80 ยูโร พอมาถึงพี่ P ก็บอกให้เข้ากันให้หมดทุกคนเลย เราสามคนจะได้เรียบร้อย เพราะเดี๋ยวนั่งรถนาน ผมมีแต่แบงค์ใหญ่ พี่ P ก็จ่ายให้ พอผมบอกเดี๋ยวผมคืนให้นะครับ พี่เค้าก็บอก "ไม่เป็นไรแค่นี้เอง พี่น้องกัน" ตอนนั้นผมอบอุ่นมากเลยครับ จากคนเป็นลูกคนเดียว มีคนที่เฟรนลี่มาเป็นพี่สาว หลายคนอาจจะมองว่าผมเว่อร์ไป แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผมว่าแค่นี้พี่เค้าก็ดีกับผมมากเลยครับ หลังจากนั้นเราก็เดินแวะซื้อพิซซ่าหาอะไรทานก่อนขึ้นรถ พอกลับมาถึงโรงแรม คืนนี้เราพักที่เวนิสครับ ซึ่งคืนนี้พิเศษเพราะเป็นคืนเค้าท์ดาวน์แต่หลายท่านคงทราบดีนะครับว่าคืนวันที่ 31 มกราคม ของยุโรปนั้นเงียบถึงเงียบมากๆ จะคึกคักเฉพาะคริตส์มาส ผมก็บพี่ P แม่พี่ P ก็คุยกันระหว่างทางที่นั่งรถ ต่างคนต่างไม่เห็นด้วยถ้าคืนเค้าท์ดาวน์จะนอนหลับเฉยๆตามนิสัยคนไทย พี่ P " ก็บอกว่าอาจจะไปเดินดูข้างนอกสักหน่อย แต่ไม่รู้จะมีอะไรไหม อย่างน้อยมีพลุก็ยังดี จริงๆมันน่าจะมีแชมเปญนะ เปิฉลองในห้อง แต่ไม่มีคนกิน คืนนี้คงเปิดไวน์กินกับแม่ " ผมเลยออกตัวแรงเลยครับเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว เลยบอกว่า " ถ้าไม่รบกวน ผมขออนุญาตไปแจมด้วยคนได้ไหมครับ ผมมาคนเดียวไม่มีเพื่อนเลย " แม่พี่ P ก็บอกว่า " มาเลยๆ ถ้าไม่มานี่แม่เคืองเลยนะ มาเลยมาให้ได้นะ " พี่ P ก็เสริมว่า " มาเลย มากินด้วยกัน " ผมก็นั่งอมยิ้มเลยครับ อย่างน้อยมีอะไรทำแล้วคืนเค้าท์ดาวน์ พอมาถึงโรงแรมสภาพต่างคนต่างงัวเงีย เพราะหลับมาในรถ พอมารับคีย์การ์ดพี่เค้าก็บอกเบอร์ห้องผม พอถึงห้องผมรีบเก็บของกำลังจะลงไป ใจก็หวั่นๆเพราะเพิ่งรู้จักกัน หรือเขาคิดอะไรรึเปล่าเราไม่รู้ แต่เขามากันแม่ลูกกับบริษัททัวรก็คงไม่น่ามีอะไร แต่อีกใจก็ดูว่าวันนี้พี่เค้าดูเพลียๆ ผมเลย line ไปบอกพี่เค้า ( ได้ไลน์มาตอนคืนแรกเพราะพี่ P ต้องส่งรูปในกล้องพี่เขาให้ผม ) ว่า " วันนี้ข้างนอกไม่น่ามีอะไร เงียบเชียว " ( ตอนนั่งรถผ่านมานี่ผมนึกว่าเมืองร้าง 5555 มีแม็คโดนัล ร้านพิซซ่า ส่วนบ้านคนไฟปิดหมด ) จากนั้นผมก็พิมพ์ต่อว่า " ถ้างั้นพี่พักผ่อนเถอะครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า " พี่ P ตอบผมมาว่า " เปิดไวน์แล้วนะ " ผมเลยตอบว่า " งั้นเดี๋ยวผมรีบลงไปเลย " พี่เค้าก็ส่งสติกเกอร์มา ไม่ถึงนาที ผมก็เคาะประตูห้องเลยครับ 5555
ลุยเดี่ยวยุโรป(พี่สาวครับ ตอนนี้ผมรักพี่แล้วครับ)
ปล. ขอให้เปิดใจในการอ่านนะค้าบ ผมแค่อย่างให้พี่ๆเปิดใจให้เด็กอย่างผมได้บอกความรู้สึกบ้าง ไม่ได้คาดหวังว่าจะให้พี่เขามารักตอบ หรือคบกันหรืออะไรทั้งนั้น เพราะด้วยช่วงวัย หน้าที่การงาน ความมั่นคงในชีวิต ไม่มีทางที่เขาจะสนใจเด็กอย่างผมหรอกครับ ผมแค่ต้องการได้ระบาย ให้โล่งๆหน่อยเท่านั้นเอง ^_^
สวัสดีค้าบทุกท่าน ช่วงนี้เพิ่งผ่านปีใหม่มา หลายๆท่านคงจะได้ไปเที่ยวกันใช่ไหมครับ ผมเองก็เหมือนกันครับ ปีนี้ผมได้ซื้อทัวร์ไปเที่ยวปีใหม่ที่ยุโรปถึง 3 ประเทศ นั่นคือ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ และฝรั่งเศส ทริปนี้ผมเดินทางไปคนเดียวคนเดียว ครอบครัวผมไปเที่ยวที่อื่นกันครับ ผมก็เพิ่มค่าห้องเพื่อจะได้นอนคนเดียวไม่ไปรบกวนท่านอื่นและเพื่อความสะดวกของตัวผมเองด้วย ออกตัวก่อนเลยครับว่าผมอายุยังไม่ถึง 20 แต่ชอบท่องเที่ยวคนเดียวโดยเฉพาะโซนยุโรป ผมเริ่มทำงานพาร์ทไทม์ตั้งแต่ไปเรียนซัมเมอร์ที่อังกฤษเมื่อหลายปีก่อน ครอบครัวผมให้ผมเก็บเงินจากการทำงานไว้เอง เพื่อไว้ให้รางวัลตัวเอง ส่วนค่าใช้จ่ายเวลาผมไปซัมเมอร์ต่างประเทศครอบครัวผมซัพพอร์ตให้ครับ ผมเริ่มทำงานมาตั้งแต่ตอนนั้นจนตอนนี้ เวลาไปซัมเมอร์ต่างประเทศก็หางานพาร์ทไทม์ พอกลับมาอยู่เมืองไทยก็มีรับพรีออเดอร์บ้างเป็นรายได้เสริม ระยะเวลาตั้งแต่ผมเริ่มทำงานจนมีรายได้เป็นของตัวเองจริงๆจังๆ ก็ประมาณ 3 ปีครับ จึงทำให้ผมพอมีเงินเก็บอยู่พอสมควร ส่วนเหตุผลที่ผมชอบเดินทางท่องเที่ยวคนเดียว ผมว่าการเดินทางคนเดียวทำให้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ และเติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในด้านแนวคิด ทัศนคติ มุมมองต่างๆในชีวิต ทุกอย่างเราต้องเรียนรู้เมื่อไกลบ้าน วัฒนธรรมใหม่ๆ คนใหม่ๆ ความแตกต่าง และหากเกิดปัญหาเราต้องหาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเราเองให้ได้เสียก่อนครับ นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครๆบอกว่าผมโตเกินวัย 555 ผมเลยเป็นคนที่ค่อนข้างจะสนิทกับคนที่อายุมากกว่า ผมไม่ค่อยมีเพื่อนวัยเดียวกันนอกจากที่มหาวิทยาลัย กับเพื่อนเก่าสมัยมัธยม มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ เกริ่นซะยาว 555 คือผมแค่อยากจะให้ทุกท่านรู้จักตัวตนคล่าวๆของผมก่อนน่ะครับ พอช่วงกรกฎาวันเกิดผม ผมก็จัดการซื้อทัวร์ไปยุโรปคนเดียวในช่วงปีใหม่ เพื่อให้ของขวัญตัวเองสักหน่อย ไปพักผ่อนชาร์ทแบตให้ชีวิต เหตุผลที่ผมไม่ได้เลือกเดินทางเองแต่มาซื้อทัวร์ก็เพราะว่าค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าโรงแรม พอหน้าไฮซีซั่นค่าห้องพักก็ขึ้น ค่าตั๋วเครื่องบินก็ขึ้น แต่บริษัททัวร์มีดีลราคาที่ถูกกว่าเราๆ ซึ่งผมคำนวณแล้วถูกกว่าจริงๆครับ เก็บส่วนต่างไปช้อปปิ้งสบายๆ สคริปข้ามมาวันเดินทางเลยแล้วกันนะครับ พอถึงวันเดินทาง ใจผมเองก็เริ่มหวั่นๆ ไม่ได้กลัวอะไรนะครับ กลัวไม่มีคนถ่ายรูปให้ 5555 ทริปนี้มาหลายประเทศด้วย โดยปกติเวลามาคนเดียวผมจะใช้ฝรั่งแถวๆนั้นถ่ายให้ แบบเดินไปเรื่อยๆหามุมเจอใครก็สะกิดให้ช่วยถ่ายครับผม ผมว่าเวลามีคนถ่ายให้มันได้ภาพมุมกว้างกว่าเราเซลฟี่เอง ครั้งนี้ก็ไปหวังน้ำบ่อหน้าเอา เตรียมกล้อง DSLR เรียบร้อยพร้อมแบต 3 ก้อน เม็ม 64 GB สี่อัน ไอโฟนหกเอส แบตสำรองพร้อม อย่างน้อยทริปนี้มากับทัวร์ คนไทยเยอะเลยคงช่วยถ่ายให้ผมอยู่แล้ว พอมาถึงอิตาลี เริ่มเที่ยวเลยครับสถานที่แรก มหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ผมก็เริ่มเล็งไปที่ครอบครัวหนึ่งมากันสี่ท่าน พ่อแม่ และลูกสาวสองคน คนโตเป็นพี่ผมสองปี คนเล็กน่าจะม.ปลาย ผมดูแล้วครอบครัวนี้เฟรนลี่น่ารักเลยตีสนิทเพื่อจะให้ช่วยถ่ายรูป แต่เขาก็สนิทกับครอบครัวใหญ่อีกหลายครอบครัว ผมดันกลายเป็นคนเดินถ่ายภาพรวมหมู่ให้พวกเขาแทน 5555 เมื่อรู้ว่าแผนนี้ไม่เวิร์คผมเลยค่อยๆถอยมา แล้วมาให้ฝรั่งแถวนั้นช่วยถ่ายรูปเหมือนเดิม พอจบจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ ก็มาโคลอสเซียม ผมก็ได้อาศัยพี่ไก๊กับนักท่องเที่ยวแถวนั้นถ่ายให้เหมือนเดิม จากนั้นพี่ไกด์ก็พาไปซื้อพิซซ่ามาทานที่บริเวณสถานีรถไฟ ส่วนลูกสาวพี่ไกด์ซื้อไอศกรีมมาทาน ผมก็เลยพูดลอยๆกับคนในกรุ๊ปว่า "มาอิตาลีต้องกินไอติมนะครับ อากาศเย็นแบบนี้ด้วย สะใจดีครับ" ก็มีเสียงคนตอบมาว่า " ใช่เลย ยิ่งแบบโคนหลายๆชั้นนะ โหยย สุดๆ " พอผมหันตามเสียงก็พบว่าเป็นเสียงพี่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนกินพิซ่าใกล้ๆกับคุณป้าท่านหนึ่ง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะยังไม่รู้จักกันแค่ยิ้มๆให้ พอเที่ยวชมเสร็จก็กลับมานั่งรถบัสไปฟลอเรนซ์ต่อ เรื่องมันเริ่มจากตรงนี้แหละครับ มีคุณป้าท่านหนึ่งอายุประมาณ 60+ ( คนเดียวกับที่ยืนกินพิซซ่าใกล้ๆกับบพี่ผู้หญิงที่ตอบผม ) ท่านนั่งเบาะหน้าผมพอดี ท่านดูแข็งแรงมาก เดินไปไหนมาไหนคล่องแคล่ว พอท่านขึ้นรถมาท่านยกกระเป๋าเก็บบนชั้นเก็บกระเป๋าด้านบนศีรษะไม่ไหว ผมก็ช่วยท่านยก พอถัดจากท่านไปข้างหน้าท่านคนที่นั่งเป็นพี่ผู้หญิงอายุประมาณ 30 ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจ พอยกกระเป๋าให้คุณป้าเสร็จผมก็มานั่งที่ผมตามเดิม ผ่านมาสักสามสิบนาทีกำลังงีบเคลิ้มๆ ก็โดนแสงแฟลชกระทบเข้าตา พอลืมตาดู ผมก็เห็นพี่ผู้หญิงด้านหน้าคุณป้ากำลังถ่ายวิวข้างทางผ่านกระจกรถบัส ประเด็นคือ ผมคิดในใจจะเปิดแฟลชทำไม มันก็สะท้อนกระจกสิ แต่เหมือนพี่เขาจะรู้ตัวครับ ถ่ายไปสัก 3-4 ภาพเขาก็ปิดแฟลช พอวันต่อมา ทานอาหารเช้าเรียบร้อยเราก็ออกมาเดินชมเมืองฟลอเรนซ์ ผมก็เดินเป็นคนต้นๆของกรุ๊ป ตามพี่ไกด์แทบจะตัวติดกัน 5555 จริงๆเพราะไม่มีเพื่อนมากกว่า เลยไม่ได้หยุดถ่ายรูปเหมือนคนอื่นๆเขา ปรากฏว่าข้างๆผม มีพี่ผู้หญิงโจทก์เก่าที่เปิดแฟลชสะท้อนกระจกใส่ตาผมเมื่อวานนี้เดินกับคุณป้าท่านนั้นซึ่งผมเพิ่งทราบว่าเป็นคุณแม่ของพี่เขานั่นเอง ต่อจากนี้ผมขอแทนสรรพนามเรียกพี่เขาว่าพี่ P แล้วกันนะครับ ส่วนผมจะแทนสรรพนามที่พี่เค้าเรียกผมว่า M เนื่องจากเดินใกล้กันเลยพูดคุยกันบ้างทั่วไปตามมารยาท พอเดินมาถึงพิพิธภัณฑ์อะไรสักอย่างที่มีรูปปั้นเดวิด แต่ปรากฏว่าคนเยอะมาก คณะทัวร์เราไม่มีเวลามากพอเลยไม่ได้เข้า ผมก็แอบเซ็งๆก็เลยได้แต่ถ่ายรูปด้านนอก พวกอาคาร สถาปัตยกรรมต่างๆ เดินถ่ายเรื่อยๆไม่มีคนถ่ายให้ผมเลย ผมก็เดินไปเรื่อยๆไปเจอพี่ P กำลังถ่ายรูปให้คุณแม่พี่ P อยู่ ผมเลยพูดไปว่า " ให้ผมช่วยถ่ายรูปคู่ให้เอาไหมครับ " พี่เค้าก็เกรงใจครับแต่ก็ให้ผมถ่าย จริงๆเจตนาผมก็คืออยากให้พี่เค้าถ่ายให้ผมคืนด้วยนั่นแหละครับ 5555 แล้วก็เป็นตามที่คิด เมื่อผมถ่ายให้พี่เค้าเสร็จพี่เค้าก็ถามว่า"น้องเอามั้งไหม พี่ถ่ายให้ " ผมก็รีบส่งกล้องอย่างไวเลยครับแล้วรีบวิ่งไปยืนเก็ก จากนั้นผมก็เดินตามพี่เค้าเป็นปลิงเลยครับ 555 จนมาถึงจตุรัสอะไรสักอย่างที่มีประตูสวรรค์ พี่ไกด์ปล่อยฟรีไทม์ ให้ช้อปปิ้ง ผมกับพี่Pก็เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับมาหาถ่ายภาพสวยๆที่เดิมที่เดินผ่านมา เพราะทั้งผมและพี่Pไม่ใช่คนชอบชอปปิ้งเท่าไรครับ แล้วใจก็อยากจะเข้าพิพิธภัณฑ์ที่มีเดวิดด้วย เราสามคน ผม พี่ P แม่พี่ P ก็เดินเล่นชิลๆผลัดกันถ่ายภาพ จนรู้สึกไม่ถนัดที่ต้องคอยสลับกล้องไปๆมาๆ พี่ P เลยบอกผมว่า "ถ่ายกล้องพี่ก็ได้ เดี๋ยวพี่ส่งให้ " ผมก็ไม่ขัดศรัทธาครับ เพราะใช้ Nikon เหมือนกันภาพสวยแน่นอน แต่ก็ยังเกรงใจไม่ค่อยกล้าถ่าย ถ่ายแค่จุดสำคัญจุดละ 1-2 ภาพ ส่วนเวลาผมถ่ายให้พี่P ผมนี่รัวเลยครับเพราะถือว่าเป็นกล้องของพี่เค้า พอเดินกลับมาถึงพิพิธภัณฑ์ที่เราสามคนอยากจะเข้าปรากฏว่าคิวยาวกว่าเดิมอีก เราเลยตัดใจ ยังไงก็ไม่ทันแน่ๆ ก็เดินกลับมาบริเวณจตุรัสตรงที่พี่ไกด์กำหนดให้เป็นจุดนัดพบ ผมก็เดินผ่านร้านดิสนีย์ ซึ่งผมเองก็เป็นคนชอบตุ๊กตา ก็อดใจไม่ไหว พี่P ก็เหมือนจะดูอาการผมออกเลยบอกผมว่า " ดูไหมล่ะ เวลายังเหลือ " ผมก็ขอบคุณครับแล้วก็เข้าไปซื้อตุ๊กตามา 2 ตัว กับชุดเด็กมาให้น้องหมาที่บ้าน 1 ชุด พอมาต่อแถวจ่ายเงิน เหลือเวลาอีก 4 นาทีจะถึงเวลานัด ผมเลยมองหน้าพี่ P เหมือนจะบอกว่าผมไม่เอาก็ได้เดี๋ยวไปไม่ทัน แต่แค่ผมคิดยังไม่ทันจะพูดไป พี่ P ก็พูดว่า " ไม่เป็นไร ไม่ต้องรีบ คนอื่ในกรุ๊ปยังไม่ไปเลย เดี๋ยวพี่รออยู่เป็นเพื่อน " พร้อมกับชี้ไปที่ร้านกาแฟ ปรากฏว่ามีคนในกรุ๊ปเราที่ยังไม่เดินไปที่จุดนัดหมายอีกเพียบเลยครับ พี่ P กับแม่พี่ P รอจนผมจ่ายเงินเรียบร้อย คิวประมาณ 4-5 คิวได้ ซึ่งบอกตรงๆเลยนะครับ ถึงจะรอไม่นานแต่ตอนนั้นผมเริ่มประทับใจพี่เขาแล้วครับ ทั้งๆที่ผมมาคอยเกาะเขา 555 แต่เขายังยอมเสียเวลาไปกับผมด้วยทั้งที่ไม่ใช้เรื่องของเขาเลย พอจบทริปที่ฟลอเรนซ์ เราก็นั่งรถบัสไปกันต่อที่กอเอนเมืองปิซ่า เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นในระเวลาอันสั้นนิดเดียวเท่านั้น พอมาถึงทางเดินเข้าหอเอนจะมีคนผิวสีเดินขายของที่ระลึกกับพวกไม้เซลฟี่ ผมไม่ได้เหยียดสีนะครับพวกเขาเข้ามาแบบรุมอ่ะครับ นึกภาพออกไหมครับ แบบรวมกันมาหลายๆคนแล้วต้อนพวกเรา ผมนี่หลอนเลย รีบเดินให้เร็วๆ อยู่ก็มีคนผิวสีคนหนึ่งพุ่งมาจะจับแขนพี่P จากด้านหลังพี่ P ตกใจก็กระโดดมาจับแขนผมไว้ ผมก็รีบพาเดินออกมาทั้งพี่ P และแม่ของพี่ P พอเข้ามาได้ก็เริ่มถ่ายรูปกันครับด้วยท่าคลาสสิคต่างๆตามฉบับหอเอนเลยครับ เอามือดัน เอานิ้วจิ้ม หามุมกันสนุดเลยครับ ผลัดกันถ่ายหลายๆท่า ตอนนั้นผมรู้สึกว่าพี่ P เป็นผู้หญิงที่น่ารักมากเลยครับ เป็นพี่สาวที่น่ารักมาก เป็นกันเอง ตลก สนุกสนาน เลยเข้ากับผมได้เพราะการรับส่งมุขนี่พี่น้องกันเลยครับ ไม่มีพลาด เราสนิทกันมากขึ้นเริ่มเดินไปเก็กโดยไม่ต้องบอกเก็กท่ายากมากขึ้น เดินหามุมสวยให้กันและกัน หาที่ที่ไม่มีคน พอถ่ายได้หลายชอต แม่พี่ P อยากเข้าห้องน้ำ ผมก็พาไปทางด้านหลังซึ่งมีห้องน้ำบริการอยู่คนละ 0.80 ยูโร พอมาถึงพี่ P ก็บอกให้เข้ากันให้หมดทุกคนเลย เราสามคนจะได้เรียบร้อย เพราะเดี๋ยวนั่งรถนาน ผมมีแต่แบงค์ใหญ่ พี่ P ก็จ่ายให้ พอผมบอกเดี๋ยวผมคืนให้นะครับ พี่เค้าก็บอก "ไม่เป็นไรแค่นี้เอง พี่น้องกัน" ตอนนั้นผมอบอุ่นมากเลยครับ จากคนเป็นลูกคนเดียว มีคนที่เฟรนลี่มาเป็นพี่สาว หลายคนอาจจะมองว่าผมเว่อร์ไป แต่สำหรับคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนผมว่าแค่นี้พี่เค้าก็ดีกับผมมากเลยครับ หลังจากนั้นเราก็เดินแวะซื้อพิซซ่าหาอะไรทานก่อนขึ้นรถ พอกลับมาถึงโรงแรม คืนนี้เราพักที่เวนิสครับ ซึ่งคืนนี้พิเศษเพราะเป็นคืนเค้าท์ดาวน์แต่หลายท่านคงทราบดีนะครับว่าคืนวันที่ 31 มกราคม ของยุโรปนั้นเงียบถึงเงียบมากๆ จะคึกคักเฉพาะคริตส์มาส ผมก็บพี่ P แม่พี่ P ก็คุยกันระหว่างทางที่นั่งรถ ต่างคนต่างไม่เห็นด้วยถ้าคืนเค้าท์ดาวน์จะนอนหลับเฉยๆตามนิสัยคนไทย พี่ P " ก็บอกว่าอาจจะไปเดินดูข้างนอกสักหน่อย แต่ไม่รู้จะมีอะไรไหม อย่างน้อยมีพลุก็ยังดี จริงๆมันน่าจะมีแชมเปญนะ เปิฉลองในห้อง แต่ไม่มีคนกิน คืนนี้คงเปิดไวน์กินกับแม่ " ผมเลยออกตัวแรงเลยครับเพราะไม่อยากอยู่คนเดียว เลยบอกว่า " ถ้าไม่รบกวน ผมขออนุญาตไปแจมด้วยคนได้ไหมครับ ผมมาคนเดียวไม่มีเพื่อนเลย " แม่พี่ P ก็บอกว่า " มาเลยๆ ถ้าไม่มานี่แม่เคืองเลยนะ มาเลยมาให้ได้นะ " พี่ P ก็เสริมว่า " มาเลย มากินด้วยกัน " ผมก็นั่งอมยิ้มเลยครับ อย่างน้อยมีอะไรทำแล้วคืนเค้าท์ดาวน์ พอมาถึงโรงแรมสภาพต่างคนต่างงัวเงีย เพราะหลับมาในรถ พอมารับคีย์การ์ดพี่เค้าก็บอกเบอร์ห้องผม พอถึงห้องผมรีบเก็บของกำลังจะลงไป ใจก็หวั่นๆเพราะเพิ่งรู้จักกัน หรือเขาคิดอะไรรึเปล่าเราไม่รู้ แต่เขามากันแม่ลูกกับบริษัททัวรก็คงไม่น่ามีอะไร แต่อีกใจก็ดูว่าวันนี้พี่เค้าดูเพลียๆ ผมเลย line ไปบอกพี่เค้า ( ได้ไลน์มาตอนคืนแรกเพราะพี่ P ต้องส่งรูปในกล้องพี่เขาให้ผม ) ว่า " วันนี้ข้างนอกไม่น่ามีอะไร เงียบเชียว " ( ตอนนั่งรถผ่านมานี่ผมนึกว่าเมืองร้าง 5555 มีแม็คโดนัล ร้านพิซซ่า ส่วนบ้านคนไฟปิดหมด ) จากนั้นผมก็พิมพ์ต่อว่า " ถ้างั้นพี่พักผ่อนเถอะครับ ผมไม่รบกวนดีกว่า " พี่ P ตอบผมมาว่า " เปิดไวน์แล้วนะ " ผมเลยตอบว่า " งั้นเดี๋ยวผมรีบลงไปเลย " พี่เค้าก็ส่งสติกเกอร์มา ไม่ถึงนาที ผมก็เคาะประตูห้องเลยครับ 5555