วันที่ 9 : พลัดหลง
[Sereen : Part]
เอาละ แผลที่มือของฉันเริ่มจะบวมขึ้นแล้วสิ ตลอดทางที่เดินมาอย่างมั่วๆ ฉันไม่เจอวี่แววของพวกนั้นเลย ที่แย่กว่านั้นคือ ไม่มีสัญลักษณ์บอกทาง แถมยังเจอกับพวกมันอีกด้วย โชคยังดีอยู่บ้างที่มีพวกมันอยู่ไม่มาก ฉันเลยพอจะรับมือไหว เจอทีก็หนึ่งตัวบ้าง สองตัวบ้าง แต่สามตัวนี้ฉันถึงกับหืดขึ้นคอเลย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าฉันอยู่ส่วนไหนของโรงเรียน พูดได้ว่าฉันผลัดหลงกับพวกคาเรนโดยสมบูรณ์ แอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ฉันเริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการสู้กับพวกมัน นอกจากพวกมันจะไวต่อเสียงแล้ว ดูเหมือนมันยังจะไวต่อการเคลื่อนไหวและกลิ่นอีกด้วย พวกมันต่างจากซอมบี้ในหนังที่ฉันดูก็ตรงที่พวกมันฉลาดแทนที่จะโง่นี่แหละ เวลาพวกมันเจอห้องที่ประตูปิดอยู่ พวกมันไม่สนใจหรอกว่าในห้องนั่นจะมีใครอยู่หรือไม่ พวกมันทำเพียงพังเข้าไปท่าเดียว ฉันเลยมีความคิดว่าการหลบซ่อนจากพวกมันในห้องไม่เป็นความคิดที่ดีนัก ปืนพกดูเหมือนจะเป็นอาวุธที่น่าอุ่นใจมากที่สุด แต่ก็เป็นอาวุธที่ไม่สมควรใช้มากที่สุดเช่นกัน เพราะทันทีที่ฉันลั่นไกไป เสียงปืนจะนำพวกมันมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งฉันยิงไปแล้วหนึ่งนัด หมายความว่าฉันสามารถยิงได้อีกเพียงห้านัด จำนวนนัดที่เหลือให้ยิงน้อยจนน่าใจหายใช่มั้ยละ ปืนพกของฉันเป็นปืนลูกโม่นะ Chiappa Rhino .357 เพราะงันจำนวนนัดเลยน้อย กระจกที่ฉันลับคมมาอย่างดีตอนนี้ก็เริ่มเหลือน้อยแล้ว
ฉันเดินเงียบๆ มาเรื่อยๆ ค่อยระวังหน้าและหลัง ไม้ม็อบที่เจอในห้องน้ำ ตอนนี้หักเป็นสองท่อนเรียบร้อย ฉันว่ามันก็ดีนะที่หักไป เพราะนอกจากจะเป็นกระบองเหมือนดาบคู่แล้ว ยังสามารถเอาด้ามหักที่ยังคงมีความแหลมอยู่บ้างเสียบทะลุหัวของพวกมันได้ ทุกสิ่งที่ฉันเห็นระหว่างทาง ถ้าอะไรที่พอใช้เป็นอาวุธได้ ฉันก็จะเก็บมาให้หมด
สายตาฉันหยุดลงที่ตู้กระจกใสสีแดง มันเป็นตู้ของถังดับเพลิง ในตู้นั้นมีขวานอยู่และฉัน...ต้องการมันอย่างมาก แต่จะเอามันออกมายังไงให้ไม่เกิดเสียงละ เพราะทางเดียวที่จะเอาออกมาได้ มีแต่ต้องทุบกระจกเท่านั่น ฉันถอยออกมาสำรวจทางเดินใกล้เคียงบริเวณนั่น เพื่อเช็คว่ามีพวกมันวนเวียนอยู่หรือไม่ เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี ฉันก็เอาเสื้อที่ตั้งใจว่าจะเอาไปให้พวกคาเรนเปลี่ยนออกจากกระเป๋ามาหนึ่งผืน มาพันรอบๆ ปลายไม้ม็อบไว้ แล้วเริ่มทุบกระจกทันที
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ฉันทุบแค่สามครั้ง พอเอาเป็นรอยร้าวแต่ไม่เอาจนกระจกแตก พับเสื้อเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม ก่อนจะเอาเศษกระจกที่ลับอย่างดีมาค่อยๆ โละตามรอยร้าว ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกระจกมันไม่แตก ถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะรู้ว่ากระจกของตู้ดับเพลินและกระจกรถยนต์มีลักษณะคล้ายกัน เพียงแค่ของตู้ดับเพลินนั้นบางกว่า จริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่เห็นในหนังเขาทำกับรถยนต์ ฉันเลยลองทำตามดู -.- เมื่อลอกเอากระจกทั้งหมดออกแล้ว ฉันก็หยิบขวานออกมาถือไว้ โดยเก็บกระบองไม้ม็อบไว้ที่เป้สะพายหลัง
“กรี๊ดดด! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ฉันยังไม่อยากตาย ฮือ...ช่วยด้วย!” ขณะที่ฉันเตรียมจะเดินต่อไป ก็มีเสียงตะโกนร้องของผู้หญิงขอความช่วยเหลือ ดังมาจากทางเดินที่ฉันพึ่งเดินผ่านมา บ้าเอ๊ย! ยัยคนที่ตะโกนออกมาไม่รู้รึไง ว่าเสียงดังๆ ของเธอนอกจากจะไม่ช่วยเธอรอดแล้ว ยังจะทำให้เธอตายเร็วขึ้น ฉันลากถังดับเพลิงหนักๆ นั้นมาแล้วไปแอบรอจังหวะที่หลังเสา ภาวนาขอให้ยัยคนที่ตะโกนร้องนั้น วิ่งมาแบบมีชีวิตรอด โดยไม่โดนพวกมันกระโดดกัดซะก่อน
เสียงคนวิ่งเข้ามาใกล้ๆ แล้ว ฉันโผล่หัวออกไปดู ก็เห็นว่าคนที่กำลังวิ่งมาคือเจสซี่ นักเรียนห้องฉันเองและข้างหลังนั้นคือดอร์ตันที่มีท่าทีแปลกไป จังหวะที่เจสซี่วิ่ง เธอสะดุดขาตัวจนล้มลงไปตรงที่ฉันแอบอยู่พอดี ดอร์ตันที่เห็นแบบนั้นก็กระโดดพุ่งเข้ามาเตรียมจะกัดเจสซี่ ฉันที่รออยู่ก็ยกถังดับเพลิงสุดแรง ฟาดไปที่หน้าของดอร์ตันทันที
ผลัวะ!
ฉันรีบหยิบขวานมาสับซ้ำโดยเล็งไปที่คอของดอร์ตันทันทีที่เขาล้มลงไป เลือดพุ่งกระจายออกมาเมื่อขวานสับลงไปที่คอของเขา ฉันสับลงไปเรื่อยๆ จนหัวของเขาหลุดออกมา
“ฮึก...ฮึก...” เจสซี่เริ่มสะอื้นหอบหายใจ น้ำตายังคงไหลออกจากดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่ฉันกำลังทำ ตัวของเธอสั่นอย่างแรง
ฉันเอื้อมมือไปปิดปากของเจสซี่ ก่อนจะก้มลงเอาหูแนบพื้นเพื่อฟังเสียง
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงคนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ แย่แล้วสิ พวกมันกำลังมาทางนี้! เสียงร้องของเจสซี่เมื่อครู่คงจะเรียกพวกมันมา ไหนจะกลิ่นเลือดของดอร์ตันที่ฟุ้งไปทั่วแบบนี้อีก
ฟู่ฟฟฟฟ!!
ฉันพ่นควันจากถังดับเพลิงไปตรงกองเลือดของดอร์ตันเพื่อกลบเกลื่อน ก่อนจะออกตัววิ่งโดยไม่ลืมดึงมือเจสซี่ให้วิ่งตาม ทางเดียวที่จะรอดจากพวกมันตอนนี้คือหนีไปหลบทางบันไดหนีไฟ ความคิดนี้แล่นขึ้นมาเพราะตอนนี้ช่างเหมือนฉากในหนังที่ฉันเคยดู ฉันพาเจสซี่วิ่งหาทางหนีไฟแถวๆ นั่นไปทั่ว แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่เห็นมีป้ายบอกเลยว่าทางหนีไฟมันอยู่ตรงไหน อย่าบอกนะว่าตึกนี้ไม่มีทางหนีไฟนะ!
“อึก...อ่า...อ่า...” เสียงร้องของพวกมันเรียกให้ฉันหันไปดู แย่แล้วสิ! พวกมันวิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้ว ไม่รู้หัวสมองฉันคิดยังไง ถึงได้เอื้อมมือไปกดลิฟต์แทนที่จะวิ่งหนีต่อไปหรือวิ่งขึ้นบันได พวกมันวิ่งกันมาเป็นขโยงเลย ให้ตายสิ...
ฉันได้แต่ภาวนางียบๆ ขอให้พวกมันวิ่งผ่านไปโดยไม่ทันเห็นฉันและเจสซี่ที่ตอนนี้กำลังหลบอยู่หลังเสาระหว่างรอลิฟต์มา และเหมือนพวกมันจะไม่เห็นฉัน พวกมันกำลังวิ่งไปอีกทางแล้ว ฟู่...รอดแล้วสิฉัน
ติ๊ด!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมๆ กับหัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง จากที่พวกมันกำลังจะวิ่งไปอีกทาง แต่พอเสียงลิฟต์ดัง พวกมันก็เปลี่ยนวิ่งมาทางลิฟต์แทน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็ผลักเจสซี่เข้าไป แล้วรีบวิ่งเข้าไปกดชั้นบนสุดของตึก พวกมันวิ่งเร็วขึ้นอีกเท่าตัวและกระโดดตัวพุ่งเข้ามาในลิฟต์ แต่ฉันถีบขาออกไปยันพวกมันออกทัน มือก็กดปิดประตูรัวๆ ประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ พร้อมกับภาพที่พวกมันพยายามพุ่งกระโจนเข้ามาแคบลงๆ จนประตูปิดสนิท
“เฮ้ออออออออ” ฉันถอดหายใจอย่างแรง มือยังกดปิดประตูค้างไว้ สายตาเหลือบมองตัวเลขที่แสดงอยู่ว่าขณะนี้ลิฟต์กำลังจะขึ้นไปชั้นอะไร
“เซรีน...เธอทำแบบนั้นได้ยังไง เธอเป็นใครกันแน่!?” เจสซี่ที่หายตกใจแล้วหันมาถามฉันทันทีที่ประตูปิดสนิท สีหน้าของเธอดูหวาดระแวงเป็นอย่างมาก
“เอ่อ...เธอไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉันก็ยังเป็นฉัน โอเคมั้ย? เพียงแต่สถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เธอก็เหมือนกัน เธอก็ต้องปรับตัว ไม่งันเราจะมีจุดจบเหมือนพวกมัน เหมือนดอร์ตัน เธอคงไม่อย่างเป็นแบบนั้นหรอกใช่มั้ย?”ฉันร่ายยาวๆ ให้เจสซี่ฟัง เจสซี่ทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ แต่ก็ดีนะที่เธอไม่ถามฉันว่าพวกมันคืออะไร เพราะฉันเองก็ไม่รู้จะตอบเธอยังไงแน่ ถ้าเธอถามฉันแบบนี้
ติ๊ด!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเงยหน้าไปมองตัวเลขแสดง เพราะรู้สึกว่าลิฟต์ขึ้นมาถึงเร็วเกินไป นี่ แต่หืม? ตอนฉันกับเจสซี่ขึ้นลิฟต์มาพวกเราอยู่กันที่ชั้นสาม ตึกนี้มีทั้งหมดสิบสองชั้น ซึ่งตอนนี้ลิฟต์หยุดลงที่ชั้นหก? เดียวนะ ชั้นหกหรอ มีคนอยู่ที่ชั้นหกด้วยหรอ?
“มีคนอยู่ชั้นหกด้วยหรอ” เจสซี่ถามออกมาเหมือนที่ฉันสงสัย ก่อนจะเดินไปอยู่ที่หน้าประตู บางสิ่งในใจฉันบอกว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่าไปอยู่ใกล้ประตู
“เจสซี่ อย่า...” ฉันพูดออกไปยังไม่ทันจบประโยค ประตูลิฟต์ก็เปิดออกช้าๆ
“อ่า...อึก” พร้อมกับร่างของพวกมันที่พากันกระโจนเข้ามาในลิฟต์นี้!!!!
“กรี๊ดดด!!” เจสซี่กรีดร้องหงายหลังไป เธอพยายามดันหน้าพวกมันไว้ ส่วนฉันก็พยายามกดปิดลิฟต์อีกครั้ง และยันขาออกไปถีบๆ พวกมันที่พยายามจะพุ่งเข้ามา
“เซรีน!! ช่วยฉันด้วย!! กรี๊ดดด!!” เจสซี่ที่ตอนนี้กำลังพยายามดันมันออกห่างจากคอ ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากฉัน
“อ่ะ!”
แกร๊ก!!
ฉันร้องเสียงหลงเมื่อมีพวกมันตัวนึ่งพุ่งเข้ามาจะกัดฉันก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิท ฉันยกด้านขวานมากันไว้ทัน มันจึงงับเข้าที่ด้ามขวานแทนที่จะเป็นคอหรือไหล่ฉัน
“บ้าเอ๊ย!! เจสซี่ อดทนหน่อยนะ” ฉันพยายามสะบัดมันออกจากด้ามขวาน แล้วถีบมันลงไปชนกับมันอีกตัวที่กำลังคร่อมเจสซี่อยู่
ตึง!
พวกมันกระเด็นไปชนกับผนังลิฟต์ ฉันรีบดึงด้ามไม้ม็อบที่อยู่หลังกระเป๋ามา โดยเอาปลายที่ยังแหลมแทงลงไปที่คอของพวกมัน แต่แรงของฉันดันมีไม่พอ ด้ามไม้ม็อบจึงแทงไม่ลึกพอจะเสียบทะลุ พวกมันดันกลับมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกมันกะเล่นฉันคนเดียว เจสซี่คลานหนีไปอีกฝั่งหลังจากพวกมันดันร่างมาจะงับคอฉัน ฉันถือด้ามไม้ม็อบที่ยังคงเสียบคอมันไว้มือเดียว และยกขวานขึ้นมาทุบไปที่ท้องของมันอีกตัวที่ไม่โดนด้ามไม้ม็อบเสียบอยู่ที่กำลังพุ่งมาเตรียมจะงับคอด้านข้างของฉัน ฉันถีบมันไปทางเจสซี่อีกรอบ ก่อนจะออกแรงผลักตัวที่มีไม้ม็อบเสียบอยู่ออกไปแล้ว ก่อนจะยกขวานขึ้นสับลงไปที่หัวมันทันที
“อ่ะ...อ่า” ตัวที่ฉันถีบไปชนกับผนังลิฟต์เมื่อครู่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ฉันออกแรงยันตัวที่พึ่งสับหัวไปเพื่อดึงขวานออกแต่ดูเหมือนฉันจะช้าไป เพราะมันพุ่งเข้ามาถึงตัวฉันแล้ว...
ปึ่ง!!
หลังฉันชนเข้าอย่างจังกับผนังลิฟต์ แม้ว่าฉันรู้สึกจุกเล็กน้อย แต่ฉันก็ยังเอามือและขายันมันไว้ แรงของมันเยอะมากจนฉันแอบใจหาย มันพยายามสะบัดแขนของฉันออกแล้วพุ่งหน้าเตรียมจะงับเข้าที่คอของฉัน ฉันพยายามทาบแขนไว้ที่คอมันข้างเดียวกันไม่ให้มันกัด
ติ๊ด!
เสียงของลิฟต์หยุดลงอีกชั้นอย่างรวดเร็ว บ้าเอ๊ย!! ฉันรู้ว่ามันฉลาด แต่ไม่คิดว่ามันจะฉลาดขนาดวิ่งไปกดลิฟต์รอพวกฉันทุกชั้นแบบนี้ ฉันทั้งยันทั้งดันทั้งเอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟต์รัวๆ ไว้เมื่อประตูลิฟต์อ้าออกนิดๆ ฉันเห็นพวกรอประตูลิฟต์เปิดออกก็เริ่มกลัว ถ้าพวกมันเข้ามาอีกฉันไม่คิดว่าตอนนี้ฉันจะรับมือไว้นะ
“อ่า...อ่า...อ่า” ฉันสนใจกับประตูลิฟต์จนเผลอผ่อนแรงที่แขนลง มันจึงดันร่างเข้ามาทำปากงับเข้างับออกเหมือนพร้อมจะงับคอฉัน เมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์ปิดสนิมลงโดยไม่เปิดอ้าอีกและเตรียมขึ้นชั้นต่อไป ฉันก็รีบดึงเศษกระจกที่ฉันเหน็บไว้ออกมาเสียบลงไปที่หัวของมันทันที ร่างมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งไป
The School โรงเรียนที่ถูกปิดตาย!!! : Day 9
[Sereen : Part]
เอาละ แผลที่มือของฉันเริ่มจะบวมขึ้นแล้วสิ ตลอดทางที่เดินมาอย่างมั่วๆ ฉันไม่เจอวี่แววของพวกนั้นเลย ที่แย่กว่านั้นคือ ไม่มีสัญลักษณ์บอกทาง แถมยังเจอกับพวกมันอีกด้วย โชคยังดีอยู่บ้างที่มีพวกมันอยู่ไม่มาก ฉันเลยพอจะรับมือไหว เจอทีก็หนึ่งตัวบ้าง สองตัวบ้าง แต่สามตัวนี้ฉันถึงกับหืดขึ้นคอเลย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้เลยว่าฉันอยู่ส่วนไหนของโรงเรียน พูดได้ว่าฉันผลัดหลงกับพวกคาเรนโดยสมบูรณ์ แอบเป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าพวกนั้นจะเป็นยังไงบ้าง ฉันเริ่มที่จะเรียนรู้วิธีการสู้กับพวกมัน นอกจากพวกมันจะไวต่อเสียงแล้ว ดูเหมือนมันยังจะไวต่อการเคลื่อนไหวและกลิ่นอีกด้วย พวกมันต่างจากซอมบี้ในหนังที่ฉันดูก็ตรงที่พวกมันฉลาดแทนที่จะโง่นี่แหละ เวลาพวกมันเจอห้องที่ประตูปิดอยู่ พวกมันไม่สนใจหรอกว่าในห้องนั่นจะมีใครอยู่หรือไม่ พวกมันทำเพียงพังเข้าไปท่าเดียว ฉันเลยมีความคิดว่าการหลบซ่อนจากพวกมันในห้องไม่เป็นความคิดที่ดีนัก ปืนพกดูเหมือนจะเป็นอาวุธที่น่าอุ่นใจมากที่สุด แต่ก็เป็นอาวุธที่ไม่สมควรใช้มากที่สุดเช่นกัน เพราะทันทีที่ฉันลั่นไกไป เสียงปืนจะนำพวกมันมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งฉันยิงไปแล้วหนึ่งนัด หมายความว่าฉันสามารถยิงได้อีกเพียงห้านัด จำนวนนัดที่เหลือให้ยิงน้อยจนน่าใจหายใช่มั้ยละ ปืนพกของฉันเป็นปืนลูกโม่นะ Chiappa Rhino .357 เพราะงันจำนวนนัดเลยน้อย กระจกที่ฉันลับคมมาอย่างดีตอนนี้ก็เริ่มเหลือน้อยแล้ว
ฉันเดินเงียบๆ มาเรื่อยๆ ค่อยระวังหน้าและหลัง ไม้ม็อบที่เจอในห้องน้ำ ตอนนี้หักเป็นสองท่อนเรียบร้อย ฉันว่ามันก็ดีนะที่หักไป เพราะนอกจากจะเป็นกระบองเหมือนดาบคู่แล้ว ยังสามารถเอาด้ามหักที่ยังคงมีความแหลมอยู่บ้างเสียบทะลุหัวของพวกมันได้ ทุกสิ่งที่ฉันเห็นระหว่างทาง ถ้าอะไรที่พอใช้เป็นอาวุธได้ ฉันก็จะเก็บมาให้หมด
สายตาฉันหยุดลงที่ตู้กระจกใสสีแดง มันเป็นตู้ของถังดับเพลิง ในตู้นั้นมีขวานอยู่และฉัน...ต้องการมันอย่างมาก แต่จะเอามันออกมายังไงให้ไม่เกิดเสียงละ เพราะทางเดียวที่จะเอาออกมาได้ มีแต่ต้องทุบกระจกเท่านั่น ฉันถอยออกมาสำรวจทางเดินใกล้เคียงบริเวณนั่น เพื่อเช็คว่ามีพวกมันวนเวียนอยู่หรือไม่ เมื่อดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มี ฉันก็เอาเสื้อที่ตั้งใจว่าจะเอาไปให้พวกคาเรนเปลี่ยนออกจากกระเป๋ามาหนึ่งผืน มาพันรอบๆ ปลายไม้ม็อบไว้ แล้วเริ่มทุบกระจกทันที
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ฉันทุบแค่สามครั้ง พอเอาเป็นรอยร้าวแต่ไม่เอาจนกระจกแตก พับเสื้อเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม ก่อนจะเอาเศษกระจกที่ลับอย่างดีมาค่อยๆ โละตามรอยร้าว ทุกคนอาจจะสงสัยว่าทำไมกระจกมันไม่แตก ถ้าลองสังเกตดูดีๆ จะรู้ว่ากระจกของตู้ดับเพลินและกระจกรถยนต์มีลักษณะคล้ายกัน เพียงแค่ของตู้ดับเพลินนั้นบางกว่า จริงๆ ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่เห็นในหนังเขาทำกับรถยนต์ ฉันเลยลองทำตามดู -.- เมื่อลอกเอากระจกทั้งหมดออกแล้ว ฉันก็หยิบขวานออกมาถือไว้ โดยเก็บกระบองไม้ม็อบไว้ที่เป้สะพายหลัง
“กรี๊ดดด! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย ฉันยังไม่อยากตาย ฮือ...ช่วยด้วย!” ขณะที่ฉันเตรียมจะเดินต่อไป ก็มีเสียงตะโกนร้องของผู้หญิงขอความช่วยเหลือ ดังมาจากทางเดินที่ฉันพึ่งเดินผ่านมา บ้าเอ๊ย! ยัยคนที่ตะโกนออกมาไม่รู้รึไง ว่าเสียงดังๆ ของเธอนอกจากจะไม่ช่วยเธอรอดแล้ว ยังจะทำให้เธอตายเร็วขึ้น ฉันลากถังดับเพลิงหนักๆ นั้นมาแล้วไปแอบรอจังหวะที่หลังเสา ภาวนาขอให้ยัยคนที่ตะโกนร้องนั้น วิ่งมาแบบมีชีวิตรอด โดยไม่โดนพวกมันกระโดดกัดซะก่อน
เสียงคนวิ่งเข้ามาใกล้ๆ แล้ว ฉันโผล่หัวออกไปดู ก็เห็นว่าคนที่กำลังวิ่งมาคือเจสซี่ นักเรียนห้องฉันเองและข้างหลังนั้นคือดอร์ตันที่มีท่าทีแปลกไป จังหวะที่เจสซี่วิ่ง เธอสะดุดขาตัวจนล้มลงไปตรงที่ฉันแอบอยู่พอดี ดอร์ตันที่เห็นแบบนั้นก็กระโดดพุ่งเข้ามาเตรียมจะกัดเจสซี่ ฉันที่รออยู่ก็ยกถังดับเพลิงสุดแรง ฟาดไปที่หน้าของดอร์ตันทันที
ผลัวะ!
ฉันรีบหยิบขวานมาสับซ้ำโดยเล็งไปที่คอของดอร์ตันทันทีที่เขาล้มลงไป เลือดพุ่งกระจายออกมาเมื่อขวานสับลงไปที่คอของเขา ฉันสับลงไปเรื่อยๆ จนหัวของเขาหลุดออกมา
“ฮึก...ฮึก...” เจสซี่เริ่มสะอื้นหอบหายใจ น้ำตายังคงไหลออกจากดวงตาที่เบิกกว้างอย่างตกตะลึงเมื่อเห็นสิ่งที่ฉันกำลังทำ ตัวของเธอสั่นอย่างแรง
ฉันเอื้อมมือไปปิดปากของเจสซี่ ก่อนจะก้มลงเอาหูแนบพื้นเพื่อฟังเสียง
ตึก! ตึก! ตึก! ตึก!
เสียงคนจำนวนมากกำลังวิ่งมาทางนี้ แย่แล้วสิ พวกมันกำลังมาทางนี้! เสียงร้องของเจสซี่เมื่อครู่คงจะเรียกพวกมันมา ไหนจะกลิ่นเลือดของดอร์ตันที่ฟุ้งไปทั่วแบบนี้อีก
ฟู่ฟฟฟฟ!!
ฉันพ่นควันจากถังดับเพลิงไปตรงกองเลือดของดอร์ตันเพื่อกลบเกลื่อน ก่อนจะออกตัววิ่งโดยไม่ลืมดึงมือเจสซี่ให้วิ่งตาม ทางเดียวที่จะรอดจากพวกมันตอนนี้คือหนีไปหลบทางบันไดหนีไฟ ความคิดนี้แล่นขึ้นมาเพราะตอนนี้ช่างเหมือนฉากในหนังที่ฉันเคยดู ฉันพาเจสซี่วิ่งหาทางหนีไฟแถวๆ นั่นไปทั่ว แต่จนแล้วจนรอดฉันก็ไม่เห็นมีป้ายบอกเลยว่าทางหนีไฟมันอยู่ตรงไหน อย่าบอกนะว่าตึกนี้ไม่มีทางหนีไฟนะ!
“อึก...อ่า...อ่า...” เสียงร้องของพวกมันเรียกให้ฉันหันไปดู แย่แล้วสิ! พวกมันวิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แล้ว ไม่รู้หัวสมองฉันคิดยังไง ถึงได้เอื้อมมือไปกดลิฟต์แทนที่จะวิ่งหนีต่อไปหรือวิ่งขึ้นบันได พวกมันวิ่งกันมาเป็นขโยงเลย ให้ตายสิ...
ฉันได้แต่ภาวนางียบๆ ขอให้พวกมันวิ่งผ่านไปโดยไม่ทันเห็นฉันและเจสซี่ที่ตอนนี้กำลังหลบอยู่หลังเสาระหว่างรอลิฟต์มา และเหมือนพวกมันจะไม่เห็นฉัน พวกมันกำลังวิ่งไปอีกทางแล้ว ฟู่...รอดแล้วสิฉัน
ติ๊ด!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมๆ กับหัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงอีกครั้ง จากที่พวกมันกำลังจะวิ่งไปอีกทาง แต่พอเสียงลิฟต์ดัง พวกมันก็เปลี่ยนวิ่งมาทางลิฟต์แทน ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ฉันก็ผลักเจสซี่เข้าไป แล้วรีบวิ่งเข้าไปกดชั้นบนสุดของตึก พวกมันวิ่งเร็วขึ้นอีกเท่าตัวและกระโดดตัวพุ่งเข้ามาในลิฟต์ แต่ฉันถีบขาออกไปยันพวกมันออกทัน มือก็กดปิดประตูรัวๆ ประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ พร้อมกับภาพที่พวกมันพยายามพุ่งกระโจนเข้ามาแคบลงๆ จนประตูปิดสนิท
“เฮ้ออออออออ” ฉันถอดหายใจอย่างแรง มือยังกดปิดประตูค้างไว้ สายตาเหลือบมองตัวเลขที่แสดงอยู่ว่าขณะนี้ลิฟต์กำลังจะขึ้นไปชั้นอะไร
“เซรีน...เธอทำแบบนั้นได้ยังไง เธอเป็นใครกันแน่!?” เจสซี่ที่หายตกใจแล้วหันมาถามฉันทันทีที่ประตูปิดสนิท สีหน้าของเธอดูหวาดระแวงเป็นอย่างมาก
“เอ่อ...เธอไม่ต้องกลัวฉันนะ ฉันก็ยังเป็นฉัน โอเคมั้ย? เพียงแต่สถานการณ์แบบนี้ ฉันต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เธอก็เหมือนกัน เธอก็ต้องปรับตัว ไม่งันเราจะมีจุดจบเหมือนพวกมัน เหมือนดอร์ตัน เธอคงไม่อย่างเป็นแบบนั้นหรอกใช่มั้ย?”ฉันร่ายยาวๆ ให้เจสซี่ฟัง เจสซี่ทำเพียงพยักหน้ารับเบาๆ แต่ก็ดีนะที่เธอไม่ถามฉันว่าพวกมันคืออะไร เพราะฉันเองก็ไม่รู้จะตอบเธอยังไงแน่ ถ้าเธอถามฉันแบบนี้
ติ๊ด!
เสียงลิฟต์ดังขึ้นมาอีกครั้ง ฉันเงยหน้าไปมองตัวเลขแสดง เพราะรู้สึกว่าลิฟต์ขึ้นมาถึงเร็วเกินไป นี่ แต่หืม? ตอนฉันกับเจสซี่ขึ้นลิฟต์มาพวกเราอยู่กันที่ชั้นสาม ตึกนี้มีทั้งหมดสิบสองชั้น ซึ่งตอนนี้ลิฟต์หยุดลงที่ชั้นหก? เดียวนะ ชั้นหกหรอ มีคนอยู่ที่ชั้นหกด้วยหรอ?
“มีคนอยู่ชั้นหกด้วยหรอ” เจสซี่ถามออกมาเหมือนที่ฉันสงสัย ก่อนจะเดินไปอยู่ที่หน้าประตู บางสิ่งในใจฉันบอกว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่าไปอยู่ใกล้ประตู
“เจสซี่ อย่า...” ฉันพูดออกไปยังไม่ทันจบประโยค ประตูลิฟต์ก็เปิดออกช้าๆ
“อ่า...อึก” พร้อมกับร่างของพวกมันที่พากันกระโจนเข้ามาในลิฟต์นี้!!!!
“กรี๊ดดด!!” เจสซี่กรีดร้องหงายหลังไป เธอพยายามดันหน้าพวกมันไว้ ส่วนฉันก็พยายามกดปิดลิฟต์อีกครั้ง และยันขาออกไปถีบๆ พวกมันที่พยายามจะพุ่งเข้ามา
“เซรีน!! ช่วยฉันด้วย!! กรี๊ดดด!!” เจสซี่ที่ตอนนี้กำลังพยายามดันมันออกห่างจากคอ ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือจากฉัน
“อ่ะ!”
แกร๊ก!!
ฉันร้องเสียงหลงเมื่อมีพวกมันตัวนึ่งพุ่งเข้ามาจะกัดฉันก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิท ฉันยกด้านขวานมากันไว้ทัน มันจึงงับเข้าที่ด้ามขวานแทนที่จะเป็นคอหรือไหล่ฉัน
“บ้าเอ๊ย!! เจสซี่ อดทนหน่อยนะ” ฉันพยายามสะบัดมันออกจากด้ามขวาน แล้วถีบมันลงไปชนกับมันอีกตัวที่กำลังคร่อมเจสซี่อยู่
ตึง!
พวกมันกระเด็นไปชนกับผนังลิฟต์ ฉันรีบดึงด้ามไม้ม็อบที่อยู่หลังกระเป๋ามา โดยเอาปลายที่ยังแหลมแทงลงไปที่คอของพวกมัน แต่แรงของฉันดันมีไม่พอ ด้ามไม้ม็อบจึงแทงไม่ลึกพอจะเสียบทะลุ พวกมันดันกลับมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้พวกมันกะเล่นฉันคนเดียว เจสซี่คลานหนีไปอีกฝั่งหลังจากพวกมันดันร่างมาจะงับคอฉัน ฉันถือด้ามไม้ม็อบที่ยังคงเสียบคอมันไว้มือเดียว และยกขวานขึ้นมาทุบไปที่ท้องของมันอีกตัวที่ไม่โดนด้ามไม้ม็อบเสียบอยู่ที่กำลังพุ่งมาเตรียมจะงับคอด้านข้างของฉัน ฉันถีบมันไปทางเจสซี่อีกรอบ ก่อนจะออกแรงผลักตัวที่มีไม้ม็อบเสียบอยู่ออกไปแล้ว ก่อนจะยกขวานขึ้นสับลงไปที่หัวมันทันที
“อ่ะ...อ่า” ตัวที่ฉันถีบไปชนกับผนังลิฟต์เมื่อครู่พุ่งเข้ามาอีกครั้ง ฉันออกแรงยันตัวที่พึ่งสับหัวไปเพื่อดึงขวานออกแต่ดูเหมือนฉันจะช้าไป เพราะมันพุ่งเข้ามาถึงตัวฉันแล้ว...
ปึ่ง!!
หลังฉันชนเข้าอย่างจังกับผนังลิฟต์ แม้ว่าฉันรู้สึกจุกเล็กน้อย แต่ฉันก็ยังเอามือและขายันมันไว้ แรงของมันเยอะมากจนฉันแอบใจหาย มันพยายามสะบัดแขนของฉันออกแล้วพุ่งหน้าเตรียมจะงับเข้าที่คอของฉัน ฉันพยายามทาบแขนไว้ที่คอมันข้างเดียวกันไม่ให้มันกัด
ติ๊ด!
เสียงของลิฟต์หยุดลงอีกชั้นอย่างรวดเร็ว บ้าเอ๊ย!! ฉันรู้ว่ามันฉลาด แต่ไม่คิดว่ามันจะฉลาดขนาดวิ่งไปกดลิฟต์รอพวกฉันทุกชั้นแบบนี้ ฉันทั้งยันทั้งดันทั้งเอื้อมมือไปกดปิดประตูลิฟต์รัวๆ ไว้เมื่อประตูลิฟต์อ้าออกนิดๆ ฉันเห็นพวกรอประตูลิฟต์เปิดออกก็เริ่มกลัว ถ้าพวกมันเข้ามาอีกฉันไม่คิดว่าตอนนี้ฉันจะรับมือไว้นะ
“อ่า...อ่า...อ่า” ฉันสนใจกับประตูลิฟต์จนเผลอผ่อนแรงที่แขนลง มันจึงดันร่างเข้ามาทำปากงับเข้างับออกเหมือนพร้อมจะงับคอฉัน เมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์ปิดสนิมลงโดยไม่เปิดอ้าอีกและเตรียมขึ้นชั้นต่อไป ฉันก็รีบดึงเศษกระจกที่ฉันเหน็บไว้ออกมาเสียบลงไปที่หัวของมันทันที ร่างมันกระตุกเล็กน้อยก่อนจะแน่นิ่งไป