น่าอาย-Royal Sprite
ลูกผู้ชาย ลายมือ นั้นคือยศ
เจ้าจงอุต ส่าห์ทำ สม่ำเสมียน
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
รู้ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
แต่รู้รักษาตัวรอดเป้นยอดดี
เรื่องแบบนี้คือ เรื่องจริงในสังคมทุกยุคทุกสมัย
เริญเป็นคนหัวช้ามาก
ตามนิยามของคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่
เพราะกว่าจะเรียนจบประถมปีที่ 4
ที่โรงเรียนจีนเผยอิงต้องใช้เวลา 8 ปี
เรียกว่าตกซ้ำชั้นทุกชั้นปี
สมัยก่อนถ้าคะแนนสอบรวมตอนสอบปลายภาค
รวมทุกวิชาแล้วสอบได้ไม่ถึง 50 %
ต้องตกซ้ำชั้นทันที ลงเรียนวิชาเดิม
ในชั้นเดิมที่สอบตกอีกจนสอบผ่าน
มีบางคนเรียนซ้ำชั้นถึงสามปีก็ยังมี
ทำให้เริญมีเพื่อนร่วมรุ่นมากที่สุดในโรงเรียน
บางคนเลยบอกว่า แกไม่เอาไหน
ตกซ้ำตกซากกว่าจะจบการศึกษาภาคบังคับ
ในยุคนั้นใช้ข้อสอบกลางของแต่ละจังหวัด
หรือของกระทรวงศึกษาพิการ
การศึกษาภาคบังคับในยุคก่อน
เรียนเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็พอแล้ว
ส่วนมากจบแล้วก็มักจะอ่านออกเขียนได้แล้ว
บางคนก็ออกไปทำมาหากินกันแล้ว
เพื่อนร่วมรุ่นผมบางคนก็หายหน้าหายตาไป
หลังจากจบชั้นประถมปีที่ 4
ไม่เคยกลับมาเรียนอีกเลย
เคยเจอในตลาดตอนเด็ก ๆ
บอกว่าไปทำงานกับพ่อแม่แล้ว
แต่พอโตขึ้นก็ไม่เจอแล้ว
หรือเจอก็คงจำไม่ได้แล้ว
เพราะวัยและสังขารที่ผ่านพ้นมานานพอ ๆ กัน
จำได้ว่า ครูประถมศึกษาผมคนแรก
ท่านชื่อ ครูช่วง ณ สงขลา
บางคนว่าท่านจบเพียงชั้นประถมปีที่ 4 เอง
แต่ผมคิดว่าท่านน่าจะจบอย่างต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3
ลูกชายท่านที่โด่งดังคือ สุขีพ ณ สงขลา
อดีตนักเขียนการ์ตุนในเครือมติชน
กับทำอาร์ทเวิร์คหน้าปกหนังสือต่าง ๆ
เคยมาสอนที่โรงเรียนแสงทองวิทยา ห.ใ
ครูสุชีพ ณ สงขลา ใช้วุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 5
ในช่วงเรียนต่อวิทยาลัยครูสงขลา
สอนอยู่ไม่นานพอจบได้วุฒิครู
ก็ลาออกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในเวลาต่อมา
ผมก็ไม่เคยเจอแกอีกเลย
ส่วนครูช่วงทราบข่าวว่า มตะ(ตาย)ไปนานมากแล้ว
ห.ใ ไม่ย่อว่า หญ. เพราะมีตำนาน
พวกคนงานรถไฟมักพูดจาแบบลามกตลก ๆ
ตะโกนกันดังลั่นว่า
" เฮ่ คุณนาย หญ. ๆ ๆ มาแล้ว ๆ "
การรถไฟเลยต้องเปลี่ยนตัวย่อหาดใหญ่
แต่ถ้าในยุคใหม่แล้วมีการศึกษากันในเมืองนอก
จะเรียกคนที่หน่ายหนังสือ หรืออ่านหนังสือไม่ออก
เห็นเป็นตัวหนอนยึกยืออ่านยากมาก
เข้าใจยากมากกว่าคนทั่ว ๆ ไป
เรียกว่า โรคดิสเล็กเซีย (Dyslexia)
ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่า ดิสเล็กเซีย ไม่ใช่โรค
แต่เป็นอาการหรือภาวะซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติ
ทางพันธุกรรมหรืออาการบาดเจ็บทางสมอง
แต่คนพวกนี้ธรรมชาติมักชดเชยด้วยความจำ
หรือการพินิจพิจารณาวินิจฉัยดีกว่าคนอ่านหนังสือออก
เช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ แม้ว่าจะจบประถมปีที่ 4
แต่เธออ่านหนังสือแทบไม่ได้เลย
เวลาต่อเพลงใหม่ต้องมีคนอ่านให้ฟังก่อนหนึ่งรอบ
เธอจะจำได้เลยแล้วร้องได้ไม่ผิดเพี้ยน
หรือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ของอินเดีย
ในวัยเยาว์ไม่ยอมเรียนหนังสือเลย
วิ่งหนีตลอดเวลาจนพระบิดาต้องยอมไม่ให้เรียน
แต่พอพระองค์ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดา
ทำการรบและวินิจฉัยคดีความเก่งมาก
โดยฟังจากปุโรหิตถวายคำแนะนำให้เท่านั้น
ไม่ต่างกับเจงกิสข่าน
ที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลย
แต่นำทัพรบชนะทุกแห่งหนที่ไป
มีข้าราชบริพารดูแลงานเอกสารแทน
รับใช้แทนในทุกเรื่องด้านเอกสาร
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อีกท่าน
ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือมาก
เวลาประชุมคณะรัฐมนตรีไทย
ท่านมักจะนั่งหลับตาตั้งใจฟังบ้าง
นั่งหลับสัปหงกบ้างในบางครั้ง
แต่พอถามท่านให้วินิจฉัยสั่งการ
ท่านสั่งการได้ทันทีและตรงประเด็นมาก
มีเรื่องแปลกอีกอย่างคือ บิดาของท่าน
พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์)
เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมรมาก
ได้แปลประวัติศาสตร์เขมรมาเป็นภาษาไทยเล่มหนึ่ง
หรือพ่อท่านเป็นนักอ่านมากกว่านักฟัง
หรืออย่างตัวอย่างในนิยายกำลังภายใน มังกรหยก
ก้วยเจ๋ง คนซื่อทื่อ ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวหนังสือ
ต้องให้คนคอยบอกให้ท่องไปทีละประโยค
ท่องจำไปเรื่อย ๆ ได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า
ทำนานมากจนแกจำขึ้นใจได้
พร้อมกับต้องแสดงท่าหมัดมวยให้ดูเป็นตัวอย่าง
แล้วให้แกเลียนแบบทำจนคล่องแคล่ว
เช่น เฒ่าทารกสอนหมัดมวยแยกซีกซ้ายขวาให้
กับประมุขพรรคกระยาจก อั้งชิดกง
สอนหมัดมวยคนขอทานให้ก้วยเจ๋ง
ส่วนการวินิจฉัยและลุยสู้รบ
ก่วยเจ๋งจะเก่งกว่าคนอื่น ๆ มาก
และโชคดีที่ภริยาอึ้งย้งเก่งมากทั้งบู้และบุ๋น
เป็นกุนซือวางแผนให้แกตลอด
Peter Drucker เคยเขียนไว้นานแล้วว่า
การทำงานต้องดูเจ้านายด้วย
เจ้านายบางคนชอบอ่าน
เจ้านายบางคนชอบฟัง
ถ้าไปเจอเจ้านายชอบฟัง
ต่อให้เขียนเรื่องราวบทสรุปดีอย่างไร
แกก็ไม่ชอบอ่าน ต้องบรรยายให้แกฟัง
แต่ถ้าเจอเจ้านายชอบอ่าน
ต้องเชียนสรุปดี ๆ มาก ๆ พร้อมเหตุผลอ้างอิง
คนทำงานจึงจะรุ่ง เพราะทำงานถูกรัดดวง
รัดดวง ภาษาใต้คือ ริดสีดวงทวาร
แบบว่าบรรเทาอาการเจ็บ ๆ คัน ๆ มัน ๆ เจ้านายได้
มีเจ้านายหรือคนน้อยคนมากที่ถนัดทั้งสองด้าน
ต้วอย่างเช่น John F. Kennedy
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ชอบอ่านและอ่านหนังสือเร็วมาก
กับชอบฟังเพื่อนร่วมงานคณะรัฐมนตรี
และที่ปรึกษาก่อนสั่งการ
ส่วน Churchil อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ลึก ๆ แล้วท่านเป็นคนไม่ชอบอ่าน
มักจะสั่งว่ารายงานให้เขียนสรุปสั้น ๆ
จะได้ไม่เสียเวลาอ่านมาก
จะได้วินิจฉัยสั่งการไปเลย
ท่านชอบฟังประชุมจากที่ปรึกษาแล้วสั่งการเลย
ในวัยเยาว์ก็เรียนหนังสือไม่เก่งมากนัก
เพราะน่าจะมีปัญหาในเรื่องการอ่านเช่นกัน
ของเมืองไทยก็อดีตนายกชวน
หรือมักจะเรียกกันเล่น ๆ แบบเคารพท่านว่า
ชวน เชื่องช้า ต้องรอรายงานและหนังสือทางการ
อ่านทำความเข้าใจก่อนจะสั่งการ
ตลกหนังตะลุงมักจะนำมาล้อเลียน
พร้อมกับทำเสียงยาน ๆ ของท่านตอนตอบ
เช่น หนูนุ้ยจะถามว่า
" ท่านนายกครับ
ยางราคาสามโลร้อยแล้วครับ
จะทำอย่างไรดีครับ "
เสียงนายกจะตอบว่า
" ก็ต้องรอดูกันไปก่อน
ยังไม่ได้รับรายงาน
ถ้ายางถูกก็ปลูกปาล์มแทน
ปาล์มถูกก็ปลูกจำปาดะแทนไปก่อน "
ส่วนอดีตนายกทักษิณ
คนเกิดเมืองเหนือแต่ชื่อภาคใต้
ท่านจะชอบอ่าน ชอบฟังและสั่งการ
ดังจะเห็นได้จากวาระการประชุมสัญจร
ที่จะมีการประชุมที่รวดเร็วไม่เยิ่นเย้อ
หรือแนะนำหนังสือที่น่าอ่านทุกครั้ง เป็นต้น
เริญ จบการศึกษาเพียงประถมปีที่ 4
ทำให้ได้รับงานที่ยากลำลากมากในตอนแรก
คือ การล้างขวดเหล้าสีขาว ขวดเบียร์สีน้ำตาล
ต้องฉีดน้ำใส่เข้าไปก่อน
แล้วใช้แปรงชุบผงซักฟอกขัดข้างในด้วยมือ
เสร็จแล้วนำมาล้างด้วยน้ำให้สะอาดอีกครั้ง
ต่อมาในยุคปัจจุบันจะมีเครื่องจักร
หมุนแปรงลวดขัดข้างในได้รวดเร็วมาก
เพียงแต่นำขวดใส่ให้ตรงกับแปรง
ทั้งล้างทั้งฉีดน้ำเสร็จสรรพในเวลาเดียวกัน
ขวดที่นำมาล้างสมัยนั้น
ถ้าสกปรกมาก ๆ ก็ต้องใส่
ทรายหยาบเขย่า ๆ ให้คราบหลุดออกมา
ส่วนสลากปิดข้างขวดก็ต้องแช่น้ำก่อน
แล้วค่อยลอกออกมาหรือใช้มีดคม ๆ
ขูดสลากพร้อมกาวที่ปิดออกมาให้ดูสะอาด
เรียกว่า อาชีพนี้หากินกับน้ำ
หรือต้องแช่น้ำกันเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
ขวดที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว
ก็ขายต่อไปที่โรงงานเหล้าโรงงานเบียร์
หรือบางครั้งก็มีพ่อค้าแม่ขายมาขอซื้อต่อ
ที่บางครั้งคนเอาไป reuse
บรรจุน้ำปลา น้ำหวานสีต่าง ๆ ขาย
กับบางรายก็ใช้ขวดสีน้ำตาล
ไปใส่ซีอิ้ว หรือ น้ำมันงา ขายในยุคนั้น
ก่อนที่จะมีการพัฒนารูปแบบ
ขวดแปลก ๆ ใหม่ ๆ เหมือนปัจจุบัน
เรียกว่า ขวดใคร ขวดมัน ห้ามน้ำมาใช้ซ้ำกัน
มีการจดลิขสิทธิ์กับสิทธิบัตรขวดกันในยุคนี้
บางรายจะมีเครื่องหมายการค้าบนขวดเลย
เพราะมีประวัติสงครามเรื่องขวดติดพันมา
เป็นตำนานและมีในหนังสือธุรกิจเรื่องกลยุทธ์
แต่ในตอนนี้มีการนำพลาสติคมาผลิตทำขวดกันมาก
ในยุคนั้นจะมีแต่ขวดแก้วเป็นหลัก
ขวดพลาสติคแทบไม่มีเลย
เพราะการผลิตพลาสติคเป็นอะไรที่วุ่นวาย
และแพงมาก ๆ ในยุคนั้น
ความรู้ทางด้านเคมีและของเสียโรงงานผลิต
ยังแปรรูปกันไม่ค่อยเป็น
หรือไม่ค่อยเห็นคุณค่ากันมากนัก
เหล้าเบียร์ก็จะใช้ขวดแก้วเป็นหลัก
การผลิดเหล้าไม่ค่อยมีปัญหามาก
เพราะใช้ฝาเกลียวปิดปากฝา
แรงบิดแรงดันไม่ค่อยมีมาก
มักจะใช้แรงคนเป็นหลักมากกว่าเครื่องจักร
แต่ขวดเบียร์จะมีปัญหามาก
เพราะใช้เครื่องจักรปั้มปิดฝาจีบปิดขวด
ถ้าขวดผ่านการใช้งานมากกว่าสามสี่ครั้ง
เวลาฝาจีบปั้มฝาชวดมักจะบิ่นแตก
ใช้การไม่ได้หรือขายไม่ได้อีกเลย
น้ำเบียร์จะไหลหกรดสายพานการผลิต
ภาษีสรรพสามิตจะคิดตามฝาจีบ
ที่จ่ายออกมาผลิตแบบเรียกว่า
นับแต่ละฝาจีบจ่ายภาษีทีละฝาจีบ
เรียกว่าขวดนั้นเสียภาษีฟรี ๆ ไปก่อน
ส่วนน้ำเบียร์ที่ไหลหกต้องนำมา reproduct ใหม่
ค่อนข้างเสียเวลาคัดกรองสิ่งสกปรก/เศษแก้วออกมา
ทำให้บางครั้งโรงงานถ้ามียอดผลิตมาก ๆ เร็ว ๆ
ในช่วงรองรับเทศกาลยอมทิ้งเป็นของเสียไปก่อน
หรือขายให้คนงานเป็นลิตรในราคาถูก ๆ
หรือยอมนำมา rework ใหม่
บรรจุเป็นถังใหญ่ ๆ ขายในงานเทศกาลต่าง ๆ
คนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็ซื้อมาดื่มกันแบบสบายใจ
เริญเป็นคนขยันขันแข็งและเรียบร้อยมาก
เถ้าแก่ขอบใจมากเลยเลื่อนตำแหน่งให้
เป็นคนคุมงานพนักงานล้างขวดทั้งหมด
แล้วตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนส่งมอบ
ต่อมาให้เป็นคนติดตามคนขับรถยนต์ไปส่งของก่อน
พร้อมกับเก็บเงินจากลูกค้าแทนเถ้าแก่
หรือส่งเงินฝากเงินเข้าธนาคารต่าง ๆ แทนได้เลย
ต่อมาแกก็ขับรถยนต์ได้
ซึ่งในยุคนั้นคนขับรถยนต์ได้หายากมาก
เพราะรถยนต์ราคาแพงอย่างหนึ่ง
ยังไม่มีโรงเรียนสอนกันเป็นกิจลักษณะ
ถ้าไปเรียนก็แพงมากในยุคนั้น
ส่วนมากคนขับรถยนต์เป็น
ต้องอาศัยครูพักลักจำเอา
หรือมีคนใจดีจริง ๆ หรือญาติพี่น้อง
ที่ยอมสอนขับรถยนต์ให้จนเป็น
มียุคหนึ่งก่อนที่เหมาเจ๋อตงจะตายไป
ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีน
เป็นช่วงที่บางคนว่า
จีนก็มีอะไรโง่ ๆ เหมือนกัน
เติ้ง เสี่ยว ผิง ยังต้องไปใช้แรงงานในชนบท
ลูกชายก็ถูกซ้อมทรมานจนพิการไปคนหนึ่ง
คนจีนตายไปกว่าสิบห้าล้านคน
เพราะทนทุกข์ทรมานไม่ไหว
กับอดหยากหิวโหย
ทั้งไม่มีแรงทำงานในชนบท
เรื่องนี้มีการชำระประวัติศาสตร์จีนกันภายหลัง
สรุปสุดท้ายต้องยอมรับว่า
เหมาผิด แต่ความดีเหมาในอดีตมากกว่า
หักล้างแล้วถือว่าเจ๊ากันไป
เพราะถ้ารื้อคิด ยิ่งรื้อแค้น
ละม้ายแม้น หาสังหาร
เมืองจีนคงวุ่นวายกันอีก
ได้หาคนมารับผิดและฆ่าตายกันอีกมาก
เอาแค่แก้งค์สี่คนรับผิดไปก็พอ
ได้จบเรื่องแบบไทย ๆ หรือ Bird Bird สบาย ๆ ไป
หลายเรื่องในประวัติศาสตร์
ก็มักจะจบลงเป็นเช่นนี้
เช่น สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร
อัฟริกาใต้ ในละตินอเมริกา
ก็จะลากคอหัวโจกมาตัดสินคดี
ส่วนลิ่วล้อก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตัว
หรือให้หลบหนีไปไกล ๆ ซ่นตรีน
จะได้จบเรื่องจบราวหนี้แค้นกันไป
คนขับรถเมล์ในจีนแดงในยุคนั้น
จะรู้สึกว่าจองหองหยิ่งผยองมาก
เพราะถือว่าทุกคนต้องพึ่งพา
และเป็นอาชีพที่มีเกียรติกับถือว่าตนเองเก่งมาก
เพราะคนขับรถยนต์เป็นมีน้อยมากในเมืองจีน
แต่คนไทยดูแล้วรำคาญตากับทุเรศมาก
เพราะเคยนั่งรถแท็กซี่กับรถบัสเมืองไทยมาก่อน
ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย
เพราะเห็นแล้วรำคาญตากับกลัวเสียเวลาเดินทาง
ตำนานเสี่ยโรงเหล้า ทวิบท
ลูกผู้ชาย ลายมือ นั้นคือยศ
เจ้าจงอุต ส่าห์ทำ สม่ำเสมียน
รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
รู้ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล
แต่รู้รักษาตัวรอดเป้นยอดดี
เรื่องแบบนี้คือ เรื่องจริงในสังคมทุกยุคทุกสมัย
เริญเป็นคนหัวช้ามาก
ตามนิยามของคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่
เพราะกว่าจะเรียนจบประถมปีที่ 4
ที่โรงเรียนจีนเผยอิงต้องใช้เวลา 8 ปี
เรียกว่าตกซ้ำชั้นทุกชั้นปี
สมัยก่อนถ้าคะแนนสอบรวมตอนสอบปลายภาค
รวมทุกวิชาแล้วสอบได้ไม่ถึง 50 %
ต้องตกซ้ำชั้นทันที ลงเรียนวิชาเดิม
ในชั้นเดิมที่สอบตกอีกจนสอบผ่าน
มีบางคนเรียนซ้ำชั้นถึงสามปีก็ยังมี
ทำให้เริญมีเพื่อนร่วมรุ่นมากที่สุดในโรงเรียน
บางคนเลยบอกว่า แกไม่เอาไหน
ตกซ้ำตกซากกว่าจะจบการศึกษาภาคบังคับ
ในยุคนั้นใช้ข้อสอบกลางของแต่ละจังหวัด
หรือของกระทรวงศึกษาพิการ
การศึกษาภาคบังคับในยุคก่อน
เรียนเพียงแค่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็พอแล้ว
ส่วนมากจบแล้วก็มักจะอ่านออกเขียนได้แล้ว
บางคนก็ออกไปทำมาหากินกันแล้ว
เพื่อนร่วมรุ่นผมบางคนก็หายหน้าหายตาไป
หลังจากจบชั้นประถมปีที่ 4
ไม่เคยกลับมาเรียนอีกเลย
เคยเจอในตลาดตอนเด็ก ๆ
บอกว่าไปทำงานกับพ่อแม่แล้ว
แต่พอโตขึ้นก็ไม่เจอแล้ว
หรือเจอก็คงจำไม่ได้แล้ว
เพราะวัยและสังขารที่ผ่านพ้นมานานพอ ๆ กัน
จำได้ว่า ครูประถมศึกษาผมคนแรก
ท่านชื่อ ครูช่วง ณ สงขลา
บางคนว่าท่านจบเพียงชั้นประถมปีที่ 4 เอง
แต่ผมคิดว่าท่านน่าจะจบอย่างต่ำมัธยมศึกษาปีที่ 3
ลูกชายท่านที่โด่งดังคือ สุขีพ ณ สงขลา
อดีตนักเขียนการ์ตุนในเครือมติชน
กับทำอาร์ทเวิร์คหน้าปกหนังสือต่าง ๆ
เคยมาสอนที่โรงเรียนแสงทองวิทยา ห.ใ
ครูสุชีพ ณ สงขลา ใช้วุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 5
ในช่วงเรียนต่อวิทยาลัยครูสงขลา
สอนอยู่ไม่นานพอจบได้วุฒิครู
ก็ลาออกไปทำงานที่กรุงเทพฯ ในเวลาต่อมา
ผมก็ไม่เคยเจอแกอีกเลย
ส่วนครูช่วงทราบข่าวว่า มตะ(ตาย)ไปนานมากแล้ว
ห.ใ ไม่ย่อว่า หญ. เพราะมีตำนาน
พวกคนงานรถไฟมักพูดจาแบบลามกตลก ๆ
ตะโกนกันดังลั่นว่า
" เฮ่ คุณนาย หญ. ๆ ๆ มาแล้ว ๆ "
การรถไฟเลยต้องเปลี่ยนตัวย่อหาดใหญ่
แต่ถ้าในยุคใหม่แล้วมีการศึกษากันในเมืองนอก
จะเรียกคนที่หน่ายหนังสือ หรืออ่านหนังสือไม่ออก
เห็นเป็นตัวหนอนยึกยืออ่านยากมาก
เข้าใจยากมากกว่าคนทั่ว ๆ ไป
เรียกว่า โรคดิสเล็กเซีย (Dyslexia)
ซึ่งทางการแพทย์ระบุว่า ดิสเล็กเซีย ไม่ใช่โรค
แต่เป็นอาการหรือภาวะซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติ
ทางพันธุกรรมหรืออาการบาดเจ็บทางสมอง
แต่คนพวกนี้ธรรมชาติมักชดเชยด้วยความจำ
หรือการพินิจพิจารณาวินิจฉัยดีกว่าคนอ่านหนังสือออก
เช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ แม้ว่าจะจบประถมปีที่ 4
แต่เธออ่านหนังสือแทบไม่ได้เลย
เวลาต่อเพลงใหม่ต้องมีคนอ่านให้ฟังก่อนหนึ่งรอบ
เธอจะจำได้เลยแล้วร้องได้ไม่ผิดเพี้ยน
หรือ พระเจ้าอักบาร์มหาราช ของอินเดีย
ในวัยเยาว์ไม่ยอมเรียนหนังสือเลย
วิ่งหนีตลอดเวลาจนพระบิดาต้องยอมไม่ให้เรียน
แต่พอพระองค์ขึ้นครองราชย์แทนพระบิดา
ทำการรบและวินิจฉัยคดีความเก่งมาก
โดยฟังจากปุโรหิตถวายคำแนะนำให้เท่านั้น
ไม่ต่างกับเจงกิสข่าน
ที่ไม่เคยเรียนหนังสือเลย
แต่นำทัพรบชนะทุกแห่งหนที่ไป
มีข้าราชบริพารดูแลงานเอกสารแทน
รับใช้แทนในทุกเรื่องด้านเอกสาร
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อีกท่าน
ไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือมาก
เวลาประชุมคณะรัฐมนตรีไทย
ท่านมักจะนั่งหลับตาตั้งใจฟังบ้าง
นั่งหลับสัปหงกบ้างในบางครั้ง
แต่พอถามท่านให้วินิจฉัยสั่งการ
ท่านสั่งการได้ทันทีและตรงประเด็นมาก
มีเรื่องแปลกอีกอย่างคือ บิดาของท่าน
พันตรีหลวงเรืองเดชอนันต์ (ทองดี ธนะรัชต์)
เป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาเขมรมาก
ได้แปลประวัติศาสตร์เขมรมาเป็นภาษาไทยเล่มหนึ่ง
หรือพ่อท่านเป็นนักอ่านมากกว่านักฟัง
หรืออย่างตัวอย่างในนิยายกำลังภายใน มังกรหยก
ก้วยเจ๋ง คนซื่อทื่อ ๆ ก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวหนังสือ
ต้องให้คนคอยบอกให้ท่องไปทีละประโยค
ท่องจำไปเรื่อย ๆ ได้หน้าลืมหลัง ได้หลังลืมหน้า
ทำนานมากจนแกจำขึ้นใจได้
พร้อมกับต้องแสดงท่าหมัดมวยให้ดูเป็นตัวอย่าง
แล้วให้แกเลียนแบบทำจนคล่องแคล่ว
เช่น เฒ่าทารกสอนหมัดมวยแยกซีกซ้ายขวาให้
กับประมุขพรรคกระยาจก อั้งชิดกง
สอนหมัดมวยคนขอทานให้ก้วยเจ๋ง
ส่วนการวินิจฉัยและลุยสู้รบ
ก่วยเจ๋งจะเก่งกว่าคนอื่น ๆ มาก
และโชคดีที่ภริยาอึ้งย้งเก่งมากทั้งบู้และบุ๋น
เป็นกุนซือวางแผนให้แกตลอด
Peter Drucker เคยเขียนไว้นานแล้วว่า
การทำงานต้องดูเจ้านายด้วย
เจ้านายบางคนชอบอ่าน
เจ้านายบางคนชอบฟัง
ถ้าไปเจอเจ้านายชอบฟัง
ต่อให้เขียนเรื่องราวบทสรุปดีอย่างไร
แกก็ไม่ชอบอ่าน ต้องบรรยายให้แกฟัง
แต่ถ้าเจอเจ้านายชอบอ่าน
ต้องเชียนสรุปดี ๆ มาก ๆ พร้อมเหตุผลอ้างอิง
คนทำงานจึงจะรุ่ง เพราะทำงานถูกรัดดวง
รัดดวง ภาษาใต้คือ ริดสีดวงทวาร
แบบว่าบรรเทาอาการเจ็บ ๆ คัน ๆ มัน ๆ เจ้านายได้
มีเจ้านายหรือคนน้อยคนมากที่ถนัดทั้งสองด้าน
ต้วอย่างเช่น John F. Kennedy
อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ชอบอ่านและอ่านหนังสือเร็วมาก
กับชอบฟังเพื่อนร่วมงานคณะรัฐมนตรี
และที่ปรึกษาก่อนสั่งการ
ส่วน Churchil อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ลึก ๆ แล้วท่านเป็นคนไม่ชอบอ่าน
มักจะสั่งว่ารายงานให้เขียนสรุปสั้น ๆ
จะได้ไม่เสียเวลาอ่านมาก
จะได้วินิจฉัยสั่งการไปเลย
ท่านชอบฟังประชุมจากที่ปรึกษาแล้วสั่งการเลย
ในวัยเยาว์ก็เรียนหนังสือไม่เก่งมากนัก
เพราะน่าจะมีปัญหาในเรื่องการอ่านเช่นกัน
ของเมืองไทยก็อดีตนายกชวน
หรือมักจะเรียกกันเล่น ๆ แบบเคารพท่านว่า
ชวน เชื่องช้า ต้องรอรายงานและหนังสือทางการ
อ่านทำความเข้าใจก่อนจะสั่งการ
ตลกหนังตะลุงมักจะนำมาล้อเลียน
พร้อมกับทำเสียงยาน ๆ ของท่านตอนตอบ
เช่น หนูนุ้ยจะถามว่า
" ท่านนายกครับ
ยางราคาสามโลร้อยแล้วครับ
จะทำอย่างไรดีครับ "
เสียงนายกจะตอบว่า
" ก็ต้องรอดูกันไปก่อน
ยังไม่ได้รับรายงาน
ถ้ายางถูกก็ปลูกปาล์มแทน
ปาล์มถูกก็ปลูกจำปาดะแทนไปก่อน "
ส่วนอดีตนายกทักษิณ
คนเกิดเมืองเหนือแต่ชื่อภาคใต้
ท่านจะชอบอ่าน ชอบฟังและสั่งการ
ดังจะเห็นได้จากวาระการประชุมสัญจร
ที่จะมีการประชุมที่รวดเร็วไม่เยิ่นเย้อ
หรือแนะนำหนังสือที่น่าอ่านทุกครั้ง เป็นต้น
เริญ จบการศึกษาเพียงประถมปีที่ 4
ทำให้ได้รับงานที่ยากลำลากมากในตอนแรก
คือ การล้างขวดเหล้าสีขาว ขวดเบียร์สีน้ำตาล
ต้องฉีดน้ำใส่เข้าไปก่อน
แล้วใช้แปรงชุบผงซักฟอกขัดข้างในด้วยมือ
เสร็จแล้วนำมาล้างด้วยน้ำให้สะอาดอีกครั้ง
ต่อมาในยุคปัจจุบันจะมีเครื่องจักร
หมุนแปรงลวดขัดข้างในได้รวดเร็วมาก
เพียงแต่นำขวดใส่ให้ตรงกับแปรง
ทั้งล้างทั้งฉีดน้ำเสร็จสรรพในเวลาเดียวกัน
ขวดที่นำมาล้างสมัยนั้น
ถ้าสกปรกมาก ๆ ก็ต้องใส่
ทรายหยาบเขย่า ๆ ให้คราบหลุดออกมา
ส่วนสลากปิดข้างขวดก็ต้องแช่น้ำก่อน
แล้วค่อยลอกออกมาหรือใช้มีดคม ๆ
ขูดสลากพร้อมกาวที่ปิดออกมาให้ดูสะอาด
เรียกว่า อาชีพนี้หากินกับน้ำ
หรือต้องแช่น้ำกันเกือบทั้งวันเลยทีเดียว
ขวดที่ทำความสะอาดเสร็จแล้ว
ก็ขายต่อไปที่โรงงานเหล้าโรงงานเบียร์
หรือบางครั้งก็มีพ่อค้าแม่ขายมาขอซื้อต่อ
ที่บางครั้งคนเอาไป reuse
บรรจุน้ำปลา น้ำหวานสีต่าง ๆ ขาย
กับบางรายก็ใช้ขวดสีน้ำตาล
ไปใส่ซีอิ้ว หรือ น้ำมันงา ขายในยุคนั้น
ก่อนที่จะมีการพัฒนารูปแบบ
ขวดแปลก ๆ ใหม่ ๆ เหมือนปัจจุบัน
เรียกว่า ขวดใคร ขวดมัน ห้ามน้ำมาใช้ซ้ำกัน
มีการจดลิขสิทธิ์กับสิทธิบัตรขวดกันในยุคนี้
บางรายจะมีเครื่องหมายการค้าบนขวดเลย
เพราะมีประวัติสงครามเรื่องขวดติดพันมา
เป็นตำนานและมีในหนังสือธุรกิจเรื่องกลยุทธ์
แต่ในตอนนี้มีการนำพลาสติคมาผลิตทำขวดกันมาก
ในยุคนั้นจะมีแต่ขวดแก้วเป็นหลัก
ขวดพลาสติคแทบไม่มีเลย
เพราะการผลิตพลาสติคเป็นอะไรที่วุ่นวาย
และแพงมาก ๆ ในยุคนั้น
ความรู้ทางด้านเคมีและของเสียโรงงานผลิต
ยังแปรรูปกันไม่ค่อยเป็น
หรือไม่ค่อยเห็นคุณค่ากันมากนัก
เหล้าเบียร์ก็จะใช้ขวดแก้วเป็นหลัก
การผลิดเหล้าไม่ค่อยมีปัญหามาก
เพราะใช้ฝาเกลียวปิดปากฝา
แรงบิดแรงดันไม่ค่อยมีมาก
มักจะใช้แรงคนเป็นหลักมากกว่าเครื่องจักร
แต่ขวดเบียร์จะมีปัญหามาก
เพราะใช้เครื่องจักรปั้มปิดฝาจีบปิดขวด
ถ้าขวดผ่านการใช้งานมากกว่าสามสี่ครั้ง
เวลาฝาจีบปั้มฝาชวดมักจะบิ่นแตก
ใช้การไม่ได้หรือขายไม่ได้อีกเลย
น้ำเบียร์จะไหลหกรดสายพานการผลิต
ภาษีสรรพสามิตจะคิดตามฝาจีบ
ที่จ่ายออกมาผลิตแบบเรียกว่า
นับแต่ละฝาจีบจ่ายภาษีทีละฝาจีบ
เรียกว่าขวดนั้นเสียภาษีฟรี ๆ ไปก่อน
ส่วนน้ำเบียร์ที่ไหลหกต้องนำมา reproduct ใหม่
ค่อนข้างเสียเวลาคัดกรองสิ่งสกปรก/เศษแก้วออกมา
ทำให้บางครั้งโรงงานถ้ามียอดผลิตมาก ๆ เร็ว ๆ
ในช่วงรองรับเทศกาลยอมทิ้งเป็นของเสียไปก่อน
หรือขายให้คนงานเป็นลิตรในราคาถูก ๆ
หรือยอมนำมา rework ใหม่
บรรจุเป็นถังใหญ่ ๆ ขายในงานเทศกาลต่าง ๆ
คนไม่รู้ต้นสายปลายเหตุก็ซื้อมาดื่มกันแบบสบายใจ
เริญเป็นคนขยันขันแข็งและเรียบร้อยมาก
เถ้าแก่ขอบใจมากเลยเลื่อนตำแหน่งให้
เป็นคนคุมงานพนักงานล้างขวดทั้งหมด
แล้วตรวจสอบคุณภาพสินค้าก่อนส่งมอบ
ต่อมาให้เป็นคนติดตามคนขับรถยนต์ไปส่งของก่อน
พร้อมกับเก็บเงินจากลูกค้าแทนเถ้าแก่
หรือส่งเงินฝากเงินเข้าธนาคารต่าง ๆ แทนได้เลย
ต่อมาแกก็ขับรถยนต์ได้
ซึ่งในยุคนั้นคนขับรถยนต์ได้หายากมาก
เพราะรถยนต์ราคาแพงอย่างหนึ่ง
ยังไม่มีโรงเรียนสอนกันเป็นกิจลักษณะ
ถ้าไปเรียนก็แพงมากในยุคนั้น
ส่วนมากคนขับรถยนต์เป็น
ต้องอาศัยครูพักลักจำเอา
หรือมีคนใจดีจริง ๆ หรือญาติพี่น้อง
ที่ยอมสอนขับรถยนต์ให้จนเป็น
มียุคหนึ่งก่อนที่เหมาเจ๋อตงจะตายไป
ในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมจีน
เป็นช่วงที่บางคนว่า
จีนก็มีอะไรโง่ ๆ เหมือนกัน
เติ้ง เสี่ยว ผิง ยังต้องไปใช้แรงงานในชนบท
ลูกชายก็ถูกซ้อมทรมานจนพิการไปคนหนึ่ง
คนจีนตายไปกว่าสิบห้าล้านคน
เพราะทนทุกข์ทรมานไม่ไหว
กับอดหยากหิวโหย
ทั้งไม่มีแรงทำงานในชนบท
เรื่องนี้มีการชำระประวัติศาสตร์จีนกันภายหลัง
สรุปสุดท้ายต้องยอมรับว่า
เหมาผิด แต่ความดีเหมาในอดีตมากกว่า
หักล้างแล้วถือว่าเจ๊ากันไป
เพราะถ้ารื้อคิด ยิ่งรื้อแค้น
ละม้ายแม้น หาสังหาร
เมืองจีนคงวุ่นวายกันอีก
ได้หาคนมารับผิดและฆ่าตายกันอีกมาก
เอาแค่แก้งค์สี่คนรับผิดไปก็พอ
ได้จบเรื่องแบบไทย ๆ หรือ Bird Bird สบาย ๆ ไป
หลายเรื่องในประวัติศาสตร์
ก็มักจะจบลงเป็นเช่นนี้
เช่น สงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร
อัฟริกาใต้ ในละตินอเมริกา
ก็จะลากคอหัวโจกมาตัดสินคดี
ส่วนลิ่วล้อก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นตัว
หรือให้หลบหนีไปไกล ๆ ซ่นตรีน
จะได้จบเรื่องจบราวหนี้แค้นกันไป
คนขับรถเมล์ในจีนแดงในยุคนั้น
จะรู้สึกว่าจองหองหยิ่งผยองมาก
เพราะถือว่าทุกคนต้องพึ่งพา
และเป็นอาชีพที่มีเกียรติกับถือว่าตนเองเก่งมาก
เพราะคนขับรถยนต์เป็นมีน้อยมากในเมืองจีน
แต่คนไทยดูแล้วรำคาญตากับทุเรศมาก
เพราะเคยนั่งรถแท็กซี่กับรถบัสเมืองไทยมาก่อน
ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย
เพราะเห็นแล้วรำคาญตากับกลัวเสียเวลาเดินทาง