เรื่องราวที่เอามาแชร์อาจดูเหมือนนิยายไปหน่อย แต่ จขกท. รับรองว่าเป็นความจริง 100%
เริ่มเลยละกันนะครับบ
เรื่องมีอยู่ว่า ผมรู้จักผู้หญิงคนนึงมาตั้งแต่อยู่ ม.1 เธอเป็นผู้หญิงถักเปียสองข้างที่มีลักยิ้ม และพูดอังกฤษรัวไฟแลบ
ผมเจอเธอครั้งแรก ที่คอร์สเรียนปรับพื้นฐาน ณ โรงเรียนเอกชนชื่อดังย่านดอนเมือง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พทด.
และในเหตุการณ์เดียวกัน ผมก็มีเพื่อนที่สนิทกันมากๆในช่วงมัธยมต้นอีกคนนึงด้วย
ปัญหา คือ ผมกับมันดันชอบผู้หญิงคนเดียวกัน แต่ผมไม่ได้บอกมันว่าผมชอบเธอ
จนในที่สุด เพื่อนผม กับ ผู้หญิงคนนั้น ก็ตกลงจะเป็นแฟนกัน ผมได้แต่ยิ้มให้และไม่สามารถพูด หรือบอกอะไรได้
ในขณะที่เราอยู่ ม.1 ห้องเดียวกันความรู้สึกแบบเด็กๆในตอนนั้น ก็คือ เอาวะ ไม่เป็นไร เพื่อนมันกล้ามากกว่าเรา
อีกอย่างถ้าผมเอ่ยปาก มันคงหลีกทาง แต่ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจใคร และผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อเรา ขึ้น ม.2 ผมกับผู้หญิงคนนั้น เราอยู่ห้องเดียวกัน ในขณะที่เพื่อนผม ย้ายไปอยู่อีกห้องนึง
มันบอกผมว่า "เราฝากดูแลแฟนเราด้วยนะ" ผมได้แต่อึ้งๆ แล้วรับปากมันไป
ก็ต้องบอกว่าช่วงนั้น นอกจากมันแล้ว ผมก็เป็นผู้ชายที่สนิทที่สุดคนนึงของเธอ
มันเป็นช่วงที่มีความสุขนะ เวลาที่คุณได้อยู่ใกล้ๆคนที่คุณรัก แล้วจดจำรายละเอียดของเขา
ได้ช่วยเหลือ ได้ปกป้อง ได้ดูแล ได้ทำอะไรหลายๆอย่างให้ โดยที่ในส่วนลึกๆ คุณรู้ว่าทำไปเพราะความรัก
ผมเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ แน่นอนครับ ผมก็ดูแลเท่าที่ผมสามารถดูแลได้ แต่มันก็บังเอิญว่ามีเพื่อนในห้องอีกคน
ที่เป็นนักกีฬามาชอบเธอด้วยเหมือนกัน ผมก็พยายามกัน และบอกไม่ให้มันมายุ่ง แต่มันก็คงไม่ฟังอยู่ดี
จนกระทั่งเกือบเกิดเรื่อง ผมกันเพื่อนให้ออกห่างจากที่เกิดเหตุ ทุกอย่างดูสับสน
แต่ผมก็แคร์ความรู้สึกของเธอเช่นกัน ผมอยู่ในฐานะที่ต้องดูแล ปละประคองความรู้สึกมาด้วยตัวเอง เป็นเวลา 3 ปี
จนกระทั่งถึงวันที่เราขึ้น ม.3
โรงเรียนของเรา มีนโยบายจะต่อ ม. 4 - ม.6 และแน่นอนว่า โรงเรียนเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูง
ผมเดินไปหา ซิสเตอร์ในตอนเย็นวันนึง หลักจากเลิกเรียนแล้วบอกว่า "ซิสเตอร์ครับ ผมอยากเรียนที่นี่ต่อ ให้ผมทำอะไรก็ได้ครับ ให้ผมล้างจาน กวาดพื้น หรืทำอะไรตอนเย็นก็ได้ครับ เผื่อว่าจะช่วยผ่อนภาระค่าเทอมได้บ้าง" ซิสเตอร์ยิ้ม และได้แต่ส่ายหน้าท่านบอกว่า
"มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะให้เด็กของเราทำอะไรแบบนั้น"
ใจจริงผม แค่ต้องการเวลาเพิ่ม เวลาในการที่จะอยู่ในสถานที่ที่ผมรัก และอยู่ใกล้คนที่ผมรัก...
ผมได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจ และรอจนถึงวัน ค่ายปัจฉิม...
เมื่อค่ายปัจฉิมมาถึง ในตอนกลางคืนผมตัดสินใจสารภาพกับเพื่อน ว่าผมชอบแฟนมัน
มันก็แสนดี ที่เข้าใจ และไม่ว่าอะไร มันยังบอกด้วยซ้ำว่า "ถ้ารู้ัแต่แรก ก็คงถอยให้"
แต่ผมบอกไปว่า "ดีแล้ว เขาไม่ใช่สิ่งของ ถ้าเขาเลือก ก็แปลว่าเขาเลือกแล้ว"
คืนนั้น ผมพยายามรวบรวมความกล้า เพื่อที่จะได้บอกเธอเหมือนกัน มันไม่มีอะไรมาก แค่การสารภาพว่า รัก นั่นแหละ
แต่ในที่สุดผมก็ไม่กล้า จนกระทั่งค่ายปัจฉิมผ่านเลยไป
...เวลาก็กลืนเอาคำพูด คำสารภาพของผม หายไปด้วย เช่นกัน...
10 กว่าปีต่อมา ในคืนๆหนึ่ง ผมทักแชทเฟสบุ๊คไปหาเธอ เธอตอบรับ และพูดคุยด้วยความดีใจ
เพราะเราก็เหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในที่สุดเมื่อการคุยดำเนินไปถึงจุดๆหนึ่ง
ผมก็บอกไปว่า "เราเคยแอบชอบเธอ ชอบมานานแล้วตั้งแต่ ม.1"
เธออึ้ง และตกใจ ผมบอกผมเข้าใจ เธอบอกเธอไม่เคยรัมาก่อนเลย ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย
ผมบอกดีแล้วที่มาบอก ตอนนี้
ในตอนนั้น ที่ผมบอกเธอไป เธอมีแฟนที่ดีมาก และพร้อมจะดูแลเธออยู่แล้ว ซึ่งสำหรับผม มันโอเคมากๆเลย
ผมแค่อยากบอก ทุกคนว่า...
"การแอบรักไม่ใช่เรื่องผิด และถ้าคุณพูดมันออกไปเร็ว คุณอาจสมหวัง หรือาจผิดหวัง แต่คุณจะไม่ค้างคาใจ"
ทุกวันนี้เธอ แต่งงานและมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว ซึ่งนั่นถือเป็น จุดเริ่มเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับเธอ
และผมก็มีผู้หญิงที่ดีมากๆอยู่ข้างๆ ในปัจจุบัน
ความรักอาจไม่ได้จัดรูปแบบเหมือนกับที่เราหวังไว้ แต่ความรักก็มีทางออกรอไว้ให้เราเสมอ ขอแค่เราอดทนรอมากพอ...
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ ขอให้ทุกคนเริ่มต้นความรักด้วย "ความกล้า" นะครับ
เมื่อผมเคยแอบชอบคนๆนึงมา 12 ปี
เริ่มเลยละกันนะครับบ
เรื่องมีอยู่ว่า ผมรู้จักผู้หญิงคนนึงมาตั้งแต่อยู่ ม.1 เธอเป็นผู้หญิงถักเปียสองข้างที่มีลักยิ้ม และพูดอังกฤษรัวไฟแลบ
ผมเจอเธอครั้งแรก ที่คอร์สเรียนปรับพื้นฐาน ณ โรงเรียนเอกชนชื่อดังย่านดอนเมือง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และในเหตุการณ์เดียวกัน ผมก็มีเพื่อนที่สนิทกันมากๆในช่วงมัธยมต้นอีกคนนึงด้วย
ปัญหา คือ ผมกับมันดันชอบผู้หญิงคนเดียวกัน แต่ผมไม่ได้บอกมันว่าผมชอบเธอ
จนในที่สุด เพื่อนผม กับ ผู้หญิงคนนั้น ก็ตกลงจะเป็นแฟนกัน ผมได้แต่ยิ้มให้และไม่สามารถพูด หรือบอกอะไรได้
ในขณะที่เราอยู่ ม.1 ห้องเดียวกันความรู้สึกแบบเด็กๆในตอนนั้น ก็คือ เอาวะ ไม่เป็นไร เพื่อนมันกล้ามากกว่าเรา
อีกอย่างถ้าผมเอ่ยปาก มันคงหลีกทาง แต่ผมไม่อยากทำร้ายจิตใจใคร และผมไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดี
เมื่อเรา ขึ้น ม.2 ผมกับผู้หญิงคนนั้น เราอยู่ห้องเดียวกัน ในขณะที่เพื่อนผม ย้ายไปอยู่อีกห้องนึง
มันบอกผมว่า "เราฝากดูแลแฟนเราด้วยนะ" ผมได้แต่อึ้งๆ แล้วรับปากมันไป
ก็ต้องบอกว่าช่วงนั้น นอกจากมันแล้ว ผมก็เป็นผู้ชายที่สนิทที่สุดคนนึงของเธอ
มันเป็นช่วงที่มีความสุขนะ เวลาที่คุณได้อยู่ใกล้ๆคนที่คุณรัก แล้วจดจำรายละเอียดของเขา
ได้ช่วยเหลือ ได้ปกป้อง ได้ดูแล ได้ทำอะไรหลายๆอย่างให้ โดยที่ในส่วนลึกๆ คุณรู้ว่าทำไปเพราะความรัก
ผมเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ แน่นอนครับ ผมก็ดูแลเท่าที่ผมสามารถดูแลได้ แต่มันก็บังเอิญว่ามีเพื่อนในห้องอีกคน
ที่เป็นนักกีฬามาชอบเธอด้วยเหมือนกัน ผมก็พยายามกัน และบอกไม่ให้มันมายุ่ง แต่มันก็คงไม่ฟังอยู่ดี
จนกระทั่งเกือบเกิดเรื่อง ผมกันเพื่อนให้ออกห่างจากที่เกิดเหตุ ทุกอย่างดูสับสน
แต่ผมก็แคร์ความรู้สึกของเธอเช่นกัน ผมอยู่ในฐานะที่ต้องดูแล ปละประคองความรู้สึกมาด้วยตัวเอง เป็นเวลา 3 ปี
จนกระทั่งถึงวันที่เราขึ้น ม.3
โรงเรียนของเรา มีนโยบายจะต่อ ม. 4 - ม.6 และแน่นอนว่า โรงเรียนเอกชนมีค่าใช้จ่ายสูง
ผมเดินไปหา ซิสเตอร์ในตอนเย็นวันนึง หลักจากเลิกเรียนแล้วบอกว่า "ซิสเตอร์ครับ ผมอยากเรียนที่นี่ต่อ ให้ผมทำอะไรก็ได้ครับ ให้ผมล้างจาน กวาดพื้น หรืทำอะไรตอนเย็นก็ได้ครับ เผื่อว่าจะช่วยผ่อนภาระค่าเทอมได้บ้าง" ซิสเตอร์ยิ้ม และได้แต่ส่ายหน้าท่านบอกว่า
"มันเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะให้เด็กของเราทำอะไรแบบนั้น"
ใจจริงผม แค่ต้องการเวลาเพิ่ม เวลาในการที่จะอยู่ในสถานที่ที่ผมรัก และอยู่ใกล้คนที่ผมรัก...
ผมได้แต่เก็บความเศร้าไว้ในใจ และรอจนถึงวัน ค่ายปัจฉิม...
เมื่อค่ายปัจฉิมมาถึง ในตอนกลางคืนผมตัดสินใจสารภาพกับเพื่อน ว่าผมชอบแฟนมัน
มันก็แสนดี ที่เข้าใจ และไม่ว่าอะไร มันยังบอกด้วยซ้ำว่า "ถ้ารู้ัแต่แรก ก็คงถอยให้"
แต่ผมบอกไปว่า "ดีแล้ว เขาไม่ใช่สิ่งของ ถ้าเขาเลือก ก็แปลว่าเขาเลือกแล้ว"
คืนนั้น ผมพยายามรวบรวมความกล้า เพื่อที่จะได้บอกเธอเหมือนกัน มันไม่มีอะไรมาก แค่การสารภาพว่า รัก นั่นแหละ
แต่ในที่สุดผมก็ไม่กล้า จนกระทั่งค่ายปัจฉิมผ่านเลยไป
...เวลาก็กลืนเอาคำพูด คำสารภาพของผม หายไปด้วย เช่นกัน...
10 กว่าปีต่อมา ในคืนๆหนึ่ง ผมทักแชทเฟสบุ๊คไปหาเธอ เธอตอบรับ และพูดคุยด้วยความดีใจ
เพราะเราก็เหมือนเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ในที่สุดเมื่อการคุยดำเนินไปถึงจุดๆหนึ่ง
ผมก็บอกไปว่า "เราเคยแอบชอบเธอ ชอบมานานแล้วตั้งแต่ ม.1"
เธออึ้ง และตกใจ ผมบอกผมเข้าใจ เธอบอกเธอไม่เคยรัมาก่อนเลย ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายอะไรเลย
ผมบอกดีแล้วที่มาบอก ตอนนี้
ในตอนนั้น ที่ผมบอกเธอไป เธอมีแฟนที่ดีมาก และพร้อมจะดูแลเธออยู่แล้ว ซึ่งสำหรับผม มันโอเคมากๆเลย
ผมแค่อยากบอก ทุกคนว่า...
"การแอบรักไม่ใช่เรื่องผิด และถ้าคุณพูดมันออกไปเร็ว คุณอาจสมหวัง หรือาจผิดหวัง แต่คุณจะไม่ค้างคาใจ"
ทุกวันนี้เธอ แต่งงานและมีชีวิตที่มีความสุขแล้ว ซึ่งนั่นถือเป็น จุดเริ่มเรื่องที่ดีมากๆ สำหรับเธอ
และผมก็มีผู้หญิงที่ดีมากๆอยู่ข้างๆ ในปัจจุบัน
ความรักอาจไม่ได้จัดรูปแบบเหมือนกับที่เราหวังไว้ แต่ความรักก็มีทางออกรอไว้ให้เราเสมอ ขอแค่เราอดทนรอมากพอ...
ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ครับ ขอให้ทุกคนเริ่มต้นความรักด้วย "ความกล้า" นะครับ