Cure Ep.3: Don’t Worry (Boss/Oil) Hormones the Final Season’s Fanfiction

กระทู้สนทนา
Note : แฟนฟิกชั่นเรื่องนี้เขียนขึ้นมาด้วยความพีคคู่บอสออย ใน Ep.สุดท้าย ทำให้เขียนแฟนฟิกชั่นขนาดสั้นออกมาได้เรื่องหนึ่ง แล้วก็พัฒนาต่อเป็นฟิกยาวตามความพีคที่ไม่จบไม่สิ้นของคนเขียนค่ะ

Ep.0 Never Too Late
http://ppantip.com/topic/34594113

Ep.1 Forget the Past
http://ppantip.com/topic/34604193

Ep.2: Start the New
http://ppantip.com/topic/34614576

เครดิตภาพเปิดกระทู้ จาก Google ค่า (สารภาพว่า ตอนนี้เป็นภาพหน้าจอไอแพดของคนเขียนด้วย แบบว่าบอสหล่อดาเมจ >.<) ตอนนี้จะเปลี่ยนมาเป็นมมุมมอง (Point of View) ของบอสบ้างนะคะ
.........................................................................
.
.
.



    ผมจอดจักรยานตรงหน้าประตูเหล็กสีเขียวบานนั้น  ร้านขายยาของพ่อออยยังไม่เปิด ท่าทางวันนี้ผมจะมาเช้าไปหน่อย คงเพราะยังไม่ชินทางก็เลยกะเวลาขี่จักรยานอ้อมโรงเรียนมาที่นี่ได้ไม่แม่นนัก แต่มาเร็วก็ดีกว่ามาช้าละนะ

    ผมถอดหมวกออก พอดีกับที่ได้ยินเสียงประตูเหล็กเลื่อนเปิด ออยในชุดนักเรียนเดินออกมา เมื่อเห็นผม เธอก็ทำหน้าแปลกใจก่อนจะถามว่า “อ้าวบอส มาแล้วทำไมไม่โทรบอกอ่ะ เราจะได้ไปเปิดประตูหลังบ้านให้”

    “ไม่เป็นไร เราเพิ่งมาถึงนี่แหละ”

         ผมตอบแล้วขยับตัว จูงจักรยานเดินอ้อมหัวมุมตึกแถวไปยังซอยเล็กๆ ด้านหลัง ออยเดินกลับเข้าไปเปิดประตูหลังบ้านให้เรียบร้อยแล้ว ผมก็เลยจูงจักรยานเข้าไปเก็บในห้องเก็บของ สวัสดีเตี่ยกับม้าของออยที่กำลังกินข้าวเช้า แล้วเดินออกไปพร้อมเธอ
    
         แปลกใจล่ะสิ...ว่าทำไมผมถึงเอาจักรยานมาจอดบ้านออยได้?

         จะเรียกว่าบังเอิญหรือโชคดีก็ไม่รู้ที่ทางโรงเรียนจะต้องปรับปรุงจุดจอดจักรยานกับมอเตอร์ไซค์ช่วงต้นปีนี้พอดี เพราะมีนักเรียนหลายคนบ่นเรื่องที่ต้องจอดจักรยานตากแดดตากฝน  ตอนแรกผอ.กะว่าจะให้จัดการในช่วงปิดเทอม แต่มีนักเรียนบางคน(แถวๆ นี้) แนะนำผ่านทางสภานักเรียนว่า ช่วงปิดเทอมจะเป็นช่วงสอบ Gat/Pat ของนักเรียนม.6 เสียงก่อสร้างอาจจะไปรบกวนสมาธิของผู้เข้าสอบ อาจารย์ก็เลยเลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นมาอีก
    
         ก่อนจะเปิดปีใหม่วันหนึ่ง ผมก็เลยโทรถามออยว่า ถ้าผมจะขอเอาจักรยานมาฝากไว้ที่บ้านเธอช่วงกลางวันได้ไหมตอนแรกออยทำเสียงงงๆ นิดหน่อย (คงคิดว่า ผมจอดจักรยานไว้ที่บ้านแล้วนั่งรถมาโรงเรียนจะง่ายกว่าไหมละมั้ง) แต่พอผมบ่นว่า ถ้าไม่มีที่ฝากรถก็คงอดขี่จักรยานไปหลายวัน เธอก็เลยบอกว่าจะไปลองถามเตี่ยกับม้าดู แต่คิดว่าน่าจะไม่มีปัญหา เพราะที่บ้านมีห้องว่างซึ่งเคยเป็นห้องของคนทำงานบ้านที่ลาออกไปแต่งงาน ตอนนี้ไม่ได้ใช้อะไร นอกจากเอาไว้เก็บของ
    
         สรุป..ผมก็เลยจอดจักรยานไว้ที่บ้านออยตอนเช้า แล้วก็เดินไปโรงเรียนพร้อมเธอ เลิกเรียนก็เดินกลับพร้อมกันทุกวัน มาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้ว  นี่ทำให้ผมต้องตื่นเช้าขึ้นอีกวันละครึ่งชั่วโมง แต่ก็ได้ผลคุ้มค่า...ว่าไหม?
    
        “บอส ครูนันทิยาให้การบ้านเขียน essay ห้องแกป่ะ” ออยหันมาถามขณะที่เราเดินออกจากซอยบ้านเธอ
    
        “อือ ครูหญิงก็ให้การบ้านเหมือนกันทั้งชั้นนั่นแหละ ทำไมเหรอ”
    
        “เราไม่ค่อยแน่ใจว่าที่เราเขียนโอเคมั้ยอ่ะ”
    
        “เดี๋ยวถึงโรงเรียนแล้วเอามาดิ่ เราดูให้”

    ขณะที่ผมกำลังคุยกับออย ก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลัง
        
        “เจ้ออย”

    พอพวกเราหันไปดูก็เห็นเด็กผู้ชายม.ต้นหน้าตี๋ๆ วิ่งมาจากทางหน้าบ้าน ออยทำหน้างงๆ “เอ็ม มีไรป่าว?”

        เด็กคนนั้นวิ่งมาถึงพอดี ผมถึงนึกขึ้นมาได้ว่า นี่คงเป็นน้องชายของออยที่เธอเคยเล่าให้ฟัง “เจ้ออย นี่เพื่อนที่เอาจักรยานมาฝากป่ะ?”

    “ใช่ นี่พี่บอส บอส นี่น้องชายเรา ชื่อเอ็ม” ออยแนะนำ

        ผมพยักหน้าทักทายน้องเธอตามปกติ แต่เอมรีบถามด้วยท่าทางกระตือรือร้น “พี่บอส พี่เล่นเสือหมอบใช่ป่าว เนี่ย...ผมกำลังเล็งจะซื้อจักรยาน แต่ไม่รู้จะถอยเสือหมอบหรือฟิกซ์เกียร์ดี พี่พอจะแนะนำได้ไหมอ่ะครับ”

        “อืม ก็แล้วแต่ว่าจะใช้งานแบบไหนนะ” ผมบอกไปตามที่รู้ “ถ้ากะว่าจะขี่ในชีวิตประจำวันเสือหมอบก็เบาดี ปลอดภัยด้วย แต่ถ้าจะขี่ด้วย แต่งรถด้วย ฟิกซ์เกียร์ก็เล่นได้มากกว่า” ผมบอกข้อดีข้อเสียไปแล้วก็สรุป “ที่จริง...ก่อนซื้อก็น่าจะลองขี่ทั้งสองแบบแล้วดูว่าชอบแบบไหน” ผมว่าแล้วก็เสนอแบบไม่คิดอะไรมาก

        “ถ้าอยากลองเสือหมอบ ยืมของพี่ก็ได้ ที่อยู่ในห้องเก็บของน่ะ ไม่ได้ล็อกล้อไว้ ลองเอาไปขี่ดูดิ่”
    
        “จริงเหรอพี่ โหย ขอบคุณครับ” เอ็มยกมือไหว้แล้วดึงมือถือขึ้นมา “งั้นเดี๋ยวผมขอไลน์พี่นะ ถ้าผมจะเอาไปลองขี่ เดี๋ยวผมไลน์ไปบอกก่อน”
    
        พอแลกไลน์กับเสร็จ เอ็มก็โบกมือแล้ววิ่งนำหน้าไปก่อน ดูเหมือนว่า น้องชายออยจะไมได้เรียนที่นาดาว เพราะผมไม่คุ้นหน้าเขาเลย (จากที่ออยเคยอัพสเตตัส เธอก็ย้ายโรงเรียนมาหลายครั้ง) ผมมองเด็กผู้ชายที่วิ่งจากไปแล้วก็ยิ้มขำ

        “น้องชายแกนี่ก็ตลกดีนะ มาเร็วไปเร็ว” บุคลิกพี่สาวกับน้องชายไม่เหมือนกันเลยแฮะ พี่สาวดูออกจะเชื่องช้า
    
         ออยส่ายหน้าแบบเหนื่อยใจ “ก็เป็นแบบนี้ทุกที ลูกคนเล็กเตี่ยกับม๊าตามใจ ความจริงทำเนียนมาถามคงกะจะยืมจักรยานแกแหละ เห็นเล็งมาหลายวันแล้ว ว่าแต่...แกโอเคจริงป่าวที่จะให้น้องเรายืมจักรยานอ่ะ”
    
         “โอเคดิ่ แค่นี้เอง” ผมตอบแล้วก็ยิ้มนิดๆ ผมไม่ใช่คนหวงของ ยืมจักรยานแค่นี้เรื่องเล็ก
    
         ...อีกอย่างสนิทกับน้องชายเธอไว้ก็ดี เผื่อมีอะไรจะได้มีตัวช่วยเพิ่มอีกตัว

          .............................................................

         โถงใต้ตึกเรียนในยามเช้าเป็นที่ที่นักเรียนส่วนใหญ่มารวมตัวกันก่อนเข้าแถว และเป็นทางผ่านที่ทุกคนต้องเดินไปขึ้นตึก ที่นี่จึงถือเป็นที่ชุมนุมย่อมๆ และเป็นแหล่งกระจาย ‘ข่าว’ ต่างๆ ในโรงเรียนด้วย

         เดินมาโรงเรียนด้วยกันเกือบสัปดาห์ ผมสังเกตได้ว่า ออยมักจะทำหน้าเครียดเกร็งนิดหน่อยทุกครั้งที่ต้องเดินผ่านบริเวณนี้ คงเพราะเธอยังกังวลกับสายตาคนอื่น ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเรื่องที่ขนมปังอาละวาดแฉเธอกลางโรงอาหาร  และเรื่องที่เธอทำลงไปวันนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะถูกลืมเลือนในไม่กี่วัน (ความจริงผมก็เคยเผชิญกับสายตาและเสียงซุบซิบพวกนี้เหมือนกันหลังระเบิดตูมหน้าแสตนสีฟ้าก่อนงานกีฬาสี แต่บังเอิญผมไม่แคร์และไม่เก็บมาใส่ใจ)

         “แกๆ คนนี้ไงที่เมื่อเดือนก่อนกินยาฆ่าตัวตายอ่ะ”

         “หา คนเนี้ยเหรอที่ปลอมเป็นพี่สไปรท์ไปหลอกคุยกับผู้ชาย แล้วปล่อยข่าวเรื่องพี่ขนมปัง โหย...หน้าตาเรียบร้อย จริงๆ ร้ายนะค้า”

         “ทำได้ยังไงวะ เพื่อนตัวเองแท้ๆ”


         เสียงซุบซิบลอยมาจากโต๊ะของกลุ่มเด็ก ม.4 ทางด้านหลัง ออยที่เดินอยู่ข้างผมชะงักไปนิดหนึ่ง เธอเม้มปากก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถอนใจ แล้วฝืนยิ้ม พยักหน้าให้ผม “ไปเหอะ”

         ผมมองดูคนที่ทำหน้าเศร้าอย่างเป็นห่วง ถ้าเป็นตัวผมเมื่อก่อนก็คงบอกเธอไปแค่ว่า อย่าไปแคร์คนพวกนั้น แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า ใจของเธอเปราะบางเกินกว่าจะฝืนทำเป็นไม่เห็นหรือไม่ได้ยินคำว่าร้าย ถึงแม้เธอจะบอกว่าเธอชินแล้ว เธอยิ้มรับเสียงเหล่านี้ได้ แต่ผมรู้ดีว่าในใจของเธอยังเจ็บปวด

         ...ผมก็เลยเอื้อมมือไปจับมือคนตรงหน้าเอาไว้  
    
         “บอส!” ออยอุทานอย่างตกใจ ความเศร้าเหมือนจะหายวับไป “ทำอะไรน่ะ ปล่อยเร็ว!” เธอกระซิบอย่างร้อนรนแล้วพยายามดึงมือออก แต่ผมฝืนยึดมือเล็กนั่นไว้ แล้วดึงให้เดินจากมา รู้ว่า เสียงซุบซิบด้านหลังเงียบกริบไปทันที
    
        “ทำไมละ?” พอเดินไปถึงบันไดตึกเรียน ผมก็หันมาถาม ทำหน้าเฉยๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ “ตอนที่ขนมปังโดนนินทา แกยังจับมือขนมปังเดินเข้าโรงเรียนเลย”

    “ก็นั่นมันปัง” ออยพยายามท้วง “แต่แกไม่เหมือนกันนิ่” ประโยคหลังเสียงอุบอิบไปเลย

    “ไม่เหมือนตรงไหน เราก็เป็นเพื่อนแกเหมือนกัน” ผมยืนยัน แล้วจูงมือเธอเดินไปส่งถึงห้องเรียนด้วยสีหน้าปกติสุดๆ ไม่สนใจสายตาที่มองมาจากรอบทิศ แอบยิ้มนิดหนึ่งเมื่อหันไปเห็นว่า คนที่เดินตามมาแทบจะก้มหน้างุดๆ ไม่มองข้างหน้าไปตลอดทาง ลืมเรื่องที่ถูกนินทาไปเรียบร้อย

        ตอนนี้ข่าวลือที่โถงตึกเรียนคงเพิ่มขึ้นอีกเรื่อง แต่ถ้าเป็น ‘เรื่องนี้’ ละก็ ผมยินดีให้ลือกันเต็มที่เลย

            .................................................................................
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่