เบื้องหน้าผมคือหินขนาดใหญ่ทรงประหลาด "รูปร่างคล้ายเรือใบ" ตั้งอยู่ที่ความสูงถึง 1964 เมตร มองไปซ้ายขวาคือผืนป่ากว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา มองเบื้องบนกลุ่มหมอกม้วนตัวข้ามยอดเขา แล้วแยกเป็นเกลียว 3 สาย ทิ้งตัวหมุนควงลงไปตีนดอย พระอาทิตย์ลอยส่องแสงสีส้มตัดขอบเมฆ ได้เจอวิวระดับนี้ บวกอากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ "ทำเอาตัวสั่น!!"
ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ??
ก่อนออกเดินทาง ผมบอกเพื่อนๆว่าหยุดปลายปีนี้จะไป
"โมโกจู" มีแต่คนถามว่า ..... ประเทศอะไรเหรอ?? เอิ่ม ... ลึกๆผมดีใจนะ สถานที่ในอุทยานแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชรแห่งนี้ ยังไม่รู้จักอย่างแพร่หลาย เราจะได้ไปเที่ยวที่ที่ไม่โหล ไม่ซ้ำ .... แต่นั่นมันคนทั่วไป
สำหรับนักเดินป่า นักปีนเขา เขารู้จักกันดี ยอดเขาแห่งนี้มันคือ
"ความใฝ่ฝัน" มันคือ
"ความท้าทาย"
แต่สำหรับคนไม่เคยอย่างผม บอกเลย มันคือ
"การทดสอบขีดจำกัดของร่างกายครั้งใหญ่!!"
ก่อนขึ้นเจ้าหน้าที่อุทยานจะให้เราเข้าห้องเลคเชอร์ ดูสไลด์ ฟังการบรรยายสั้นๆ วิทยากรบอกเราว่า การพิชิตยอดเขาโมโกจู เปรียบเสมือน
"การเรียนปริญญาเอก" หากคุณผ่านไปได้ ที่อื่นก็ไม่เกินความสามารถ
ผมไม่มีความจำเป็นต้องมาโปรโมทอะไรในรีวิวนี้
"ทริปโมโกจูเลื่องชื่ออยู่แล้ว" ปีนี้มันถูกจองเต็มภายในเวลา
"เพียง 5 วินาที" หลังจากเปิดรับสมัคร (และก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว) เพราะฉะนั้นผมจะรีวิว
"อย่างระมัดระวัง" และ
"ตรงไปตรงมาที่สุด" ในฐานะคนที่เพิ่งลงมา .... "คนโง่ๆคนนึง" ที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไรบ้าง
วันที่ 1 : มุ่งสู่แม่กระสา
การเดินทางในวันแรกจะเป็นการเดินในลักษณะ ***เดินง่ายแต่ไกล*** ทางจะเป็นถนนหินบด กว้างๆ แต่ระยะทางไกลถึง 16 กิโลเมตร บททดสอบแรกอยู่ที่กิโลเมตรที่ 4 จุดนี้ชื่อว่า
"มอขี้แตก" ทางจะเป็นเนินชันระยะทางไกลต่อเนื่อง มันไม่ได้ยาก สาหัสขนาดที่ทำให้เรา "แขกตี้" ตามชื่อ แต่เนินนี้มันถูกสร้างมาเพื่อ
"ตัดกำลังเรา" เราเพิ่งมา เรากำลังห้าว เราพิชิตมอขี้แตกชื่อดังได้อย่างรวดเร็ว เรามีกำลังใจ .... แต่อย่าลืม ระยะทางยังเหลืออีกกว่าสิบกิโลเมตร หลังๆพิษจากมอจะเริ่มแล่นเข้าสู่น่อง ฤิทธิ์ของมันจะมาแผลงเอากิโลเมตรท้ายๆ บวกกับแดดแรงๆที่เผาหัว ทำเราเพลีย
ตรงจุดนี้แหละคือครั้งแรกที่ผมคิดแว๊บขึ้นมาในใจว่า "นี่เรามาลำบากทำไม ??"
มอขี้แตก : ระหว่างทางไปแคมป์แม่กระสา
จะมีหลักกี่โลบอกระหว่างทางเดิน
คณะลูกหาบทรงพลัง เดินนำไปลิ่วๆ
::::: แคมป์แม่กระสา :::::
จุดพักแรกในป่าของพวกเรา มีลักษณะเป็นลานกว้าง ติดลำธารน้ำใสไหลเย็น มีเพิง มีโต๊ะ เก้าอี้พร้อมสำหรับทำอาหาร ใครเอาเต้นท์มาก็กางนอน บางส่วนนอนถุงนอนเรียงกันใต้ฟลายชีท ลักษณะเป็นเพิงคล้ายที่นอนของผู้ประสบภัย สำหรับคนไม่เคยอยู่ป่า คงไม่คุ้นกับความลำบากแบบนี้ ห้องน้ำก็อยู่ไกล แถมน้ำไม่ไหลต้องตักน้ำจากลำธารไปใช้อีก แต่ผมบอกเลย ในบรรดาแคมป์ทั้งหมดที่เราจะพักกันตลอดทริปนี้ "แคมป์แม่กระสาอยู่สบายที่สุดแล้ว"
อาหารมื้อแรกๆ ยังหรูอยู่ออกสื่อได้ วันหลังๆนี่ ... ตามมีตามเกิด
ข้าวผัดของลูกหาบ ผู้มีพระคุณช่วยเหลือพวกเรา
กาแฟร้อนๆตัดกับอากาศเย็นๆ
แครกเกอร์เนยถั่ว นน.เบาแต่ให้พลังงานสูง
หุงข้าวด้วยหม้อสนาม ฟูขึ้นหม้ออร่อยทุกมื้อครับ
น้ำลำธาร ดื่มได้มั๊ย ??
เป็นที่สงสัยกันว่าเราควรนำเครื่องกรองน้ำไปหรือไม่? ผมขอบอกตรงนี้เลยครับว่า นอกจากดื่มได้โดยไม่ต้องกรองแล้ว
"ยังอร่อยอีกด้วย!"ค่อยๆบรรจงกรอกใส่ขวด ให้ตะกอนไม่เข้า เราก็จะได้น้ำใสๆเย็นๆ ดื่มได้ชื่นใจ ครั้งแรกที่ลองผมขอชิมจากขวดของลูกหาบ
เค้ายื่นให้และพูดว่า
"น้ำอย่างดีครับ" คนสมัยก่อนหลายร้อยหลายพันปีเค้าก็ดื่มกัน พวกเราซะอีกเป็น
"มนุษย์ยุคแรกของโลกใบนี้ที่ต้องซื้อน้ำดื่ม" น่าภูมิใจ ?? เจริญสุดๆ ??
ทั้งดื่มและอาบ ... ชื่นนนใจ
หินเรือใบ เป้าหมายของการเดินทาง
น้ำอย่างดี
สดๆ
วันที่ 2 : เรวา รีวา
การเดินทางในวันที่สองจะเป็นลักษณะ ***เดินใกล้แต่ยาก*** มันจะไม่ได้เป็นทางโล่งอีกแล้ว แต่เป็นการเริ่มเดินป่าอย่างแท้จริง เสื้อผ้าเบาๆ รองเท้าเดินป่ายึดเกาะดีๆ จะช่วยให้เราคล่อง และเดินง่ายขึ้น ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตรก็ถึง
ลุยต่อวันที่ 2
มุ่งสู่แม่เรวา
สะพานท่อนไม้
ช่างสร้างสรรค์
พรมธรรมชาติ
::::: แคมป์แม่เรวา :::::
ติดลำธารอีกเช่นเคย แต่พื้นลาดนอนไม่ดีมีไหลตกหมอน มีรากไม้ทำให้เจ็บหลัง "อากาศเริ่มเย็นขึ้นตามความสูงที่ไต่ขึ้นมา" พักกินข้าว ยืดเส้นยืดสายซักพักเราก็เดินทางต่อ จุดหมายคือไปเล่นน้ำที่
"น้ำตกแม่รีวา" ระยะทางก็ประมาณ 3 กิโลเมตรเบาๆ น้ำตกที่นี่สวยงามน้ำไหลแรง ได้เล่นน้ำตกเย็นๆ ได้กระโดดน้ำจากโขดหินเล่นแบบเด็กๆอีกครั้ง "ชอบมากมาย" กลับมาทำกับข้าวกิน นั่งเมาท์มอยรอบกองไฟชิลๆใสๆ แต่ก็ต้องรีบเข้านอน เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานเตือนว่า
"พรุ่งนี้หนักมาก"
น้ำตกแม่รีวา
ชุ่มฉ่ำ
วันที่ 3 : มุ่งสู่แคมป์ขอนไม้ตีนดอย และ ยอดเขาโมโกจู
วันนี้แหละเป็นวันที่นรกทุกขุม
"แตกพร้อมกัน" (All hell broke loose) การเดินในวันนี้จะเป็นลักษณะ ***เดินไกลและชัน*** ระยะทาง 9 กิโลเมตรและต้องปีนความชันระดับพญายม 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง หนำซ้ำ "ยุง ผึ้งป่า ตัวคุ่น และ ทาก " ก็เล็งเล่นงานระหว่างทาง
เชคพอยต์ของวันนี้มี 4 จุด คือ
1.คลอง 1
2.คลอง 2
3.แคมป์ตีนดอย และ
4.ยอดเขาโมโกจู
"คลองทั้งสอง" มีลักษณะเป็นแค่ลำธารเล็กๆ ไว้เพื่อพักเติมน้ำใส่ขวด
"แคมป์"คือที่นอนคืนนี้ .... และ
"ยอดเขา"คือเป้าหมาย
มี 3 สิ่งที่ผมเตือนตัวเองเสมอว่าต้องทำให้ถูกต้องในทริปนี้ นั่นคือ "กิน-นอน-และขับถ่าย" หากอย่างใดอย่างหนึ่งผิด มันจะส่งผลทำให้ "ระบบร่างกายรวน" และทำให้ยากขึ้นไปอีก ผมพลาดที่
"การขับถ่าย" คิดเข้าข้างตัวเองว่ากินไม่มาก ย่อยหมดแล้ว ห้องน้ำก็ไม่สะดวกขี้เกียจจะเข้า .... ผมผิดมหันต์ และส่งผลร้ายแรงมาก
การเดินทางไปคลอง 1 โหดมากจริงๆชนิดที่ว่ากะเอากันถึงชีวิต ร่างกายพังทันทีตั้งแต่ช่วงแรก ข้อเท้าซ้ายเจ็บแปล๊บ น่องขวาก็ปวด แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือ "ผมปวดท้องอย่างรุนแรง" เหงื่อไหลไม่หยุด หน้าซีดปากก็สั่น
เมื่อระบบเออเร่อร์ ความคิดลบก็เข้าครอบงำ
เรามาลำบากขนาดนี้ทำไม ? ทำไมไม่ไปเที่ยวที่อื่น ? หรืออยู่บ้านสบายๆก็ดีอยู่แล้ว ?
บ้าไปแล้ว ! ภูเขามันก็อยู่ของมันดีๆ เรามาปีนมันทำไม !!??
ความคิดโง่ๆเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์เลยและสายไปแล้ว ..... สิ่งที่ควรใส่ใจคือ ขาซ้ายไหวมั๊ย? ขาขวายังก้าวต่อได้รึเปล่าต่างหาก มองเพื่อนร่วมเดินทาง เค้าก็เหนื่อยเหมือนกัน เค้ายังไหวเราก็ต้องยังไหวสิ "พลังใจเป็นสิ่งสำคัญสุดๆ"
น้องผู้หญิงคนหนึ่งในทีมร่างกายก็รวน ต้องนั่งพักทุก 10 ก้าว ก้มหน้าเอามือกุมท้องตลอดเวลา "แต่เธอก็ไม่หยุดที่จะปีน"
ขอคารวะในหัวจิตหัวใจของเธอมาก
ต้องสู้ !!!
พี่คนนึงในทีมแนะนำว่าให้ใช้กลยุทธ์ "แบบเต่า" ค่อยๆเดินช้าๆ แต่เราไม่หยุด ผมจัดระบบความคิดใหม่ ฮึดสู้ใหม่
ในสภาวะที่ร่างกายเจอกับสิ่งเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน มันจะระเบิดพลังแฝง (ที่เค้ามักเรียกกันว่าก๊อก 2)
"ถ้าใจไม่ท้อซะก่อน ร่างกายมันเอาด้วย"
... ขาพังเรายังมีแขนช่วย แขนนึงใช้ไม้ค้ำดัน แขนอีกข้างจับกิ่งไม้ดึงช่วย คล้ายวรยุทธ์ของจิวแปะทง
"ซ้ายขวาขัดแย้ง" 2 ข้างทำคนละหน้าที่แต่เสริมกัน พยายามมองในแง่บวก คิดให้สนุก และเมื่อถึงจุดเติมน้ำที่คลอง 2 นั่นก็หมายความว่า "มาไกลเกินจะถอยแล้ว"
ชันแบบต่อเนื่อง
คลอง 1
คลอง 2
ปีนกันยาวๆ ไม่ท้อ
ใกล้แล้ว
อีกนิด!!
[CR] สุดพลัง !! "พิชิตโมโกจู" - ทริปที่ 7 : 26-30 ธันวาคม 2558
เบื้องหน้าผมคือหินขนาดใหญ่ทรงประหลาด "รูปร่างคล้ายเรือใบ" ตั้งอยู่ที่ความสูงถึง 1964 เมตร มองไปซ้ายขวาคือผืนป่ากว้างใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา มองเบื้องบนกลุ่มหมอกม้วนตัวข้ามยอดเขา แล้วแยกเป็นเกลียว 3 สาย ทิ้งตัวหมุนควงลงไปตีนดอย พระอาทิตย์ลอยส่องแสงสีส้มตัดขอบเมฆ ได้เจอวิวระดับนี้ บวกอากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ "ทำเอาตัวสั่น!!"
ผมมายืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ??
ก่อนออกเดินทาง ผมบอกเพื่อนๆว่าหยุดปลายปีนี้จะไป "โมโกจู" มีแต่คนถามว่า ..... ประเทศอะไรเหรอ?? เอิ่ม ... ลึกๆผมดีใจนะ สถานที่ในอุทยานแม่วงก์ จังหวัดกำแพงเพชรแห่งนี้ ยังไม่รู้จักอย่างแพร่หลาย เราจะได้ไปเที่ยวที่ที่ไม่โหล ไม่ซ้ำ .... แต่นั่นมันคนทั่วไป
สำหรับนักเดินป่า นักปีนเขา เขารู้จักกันดี ยอดเขาแห่งนี้มันคือ "ความใฝ่ฝัน" มันคือ "ความท้าทาย"
แต่สำหรับคนไม่เคยอย่างผม บอกเลย มันคือ "การทดสอบขีดจำกัดของร่างกายครั้งใหญ่!!"
ก่อนขึ้นเจ้าหน้าที่อุทยานจะให้เราเข้าห้องเลคเชอร์ ดูสไลด์ ฟังการบรรยายสั้นๆ วิทยากรบอกเราว่า การพิชิตยอดเขาโมโกจู เปรียบเสมือน "การเรียนปริญญาเอก" หากคุณผ่านไปได้ ที่อื่นก็ไม่เกินความสามารถ
ผมไม่มีความจำเป็นต้องมาโปรโมทอะไรในรีวิวนี้ "ทริปโมโกจูเลื่องชื่ออยู่แล้ว" ปีนี้มันถูกจองเต็มภายในเวลา "เพียง 5 วินาที" หลังจากเปิดรับสมัคร (และก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว) เพราะฉะนั้นผมจะรีวิว "อย่างระมัดระวัง" และ "ตรงไปตรงมาที่สุด" ในฐานะคนที่เพิ่งลงมา .... "คนโง่ๆคนนึง" ที่ไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไรบ้าง
วันที่ 1 : มุ่งสู่แม่กระสา
การเดินทางในวันแรกจะเป็นการเดินในลักษณะ ***เดินง่ายแต่ไกล*** ทางจะเป็นถนนหินบด กว้างๆ แต่ระยะทางไกลถึง 16 กิโลเมตร บททดสอบแรกอยู่ที่กิโลเมตรที่ 4 จุดนี้ชื่อว่า "มอขี้แตก" ทางจะเป็นเนินชันระยะทางไกลต่อเนื่อง มันไม่ได้ยาก สาหัสขนาดที่ทำให้เรา "แขกตี้" ตามชื่อ แต่เนินนี้มันถูกสร้างมาเพื่อ "ตัดกำลังเรา" เราเพิ่งมา เรากำลังห้าว เราพิชิตมอขี้แตกชื่อดังได้อย่างรวดเร็ว เรามีกำลังใจ .... แต่อย่าลืม ระยะทางยังเหลืออีกกว่าสิบกิโลเมตร หลังๆพิษจากมอจะเริ่มแล่นเข้าสู่น่อง ฤิทธิ์ของมันจะมาแผลงเอากิโลเมตรท้ายๆ บวกกับแดดแรงๆที่เผาหัว ทำเราเพลีย
ตรงจุดนี้แหละคือครั้งแรกที่ผมคิดแว๊บขึ้นมาในใจว่า "นี่เรามาลำบากทำไม ??"
มอขี้แตก : ระหว่างทางไปแคมป์แม่กระสา
จะมีหลักกี่โลบอกระหว่างทางเดิน
คณะลูกหาบทรงพลัง เดินนำไปลิ่วๆ
::::: แคมป์แม่กระสา :::::
จุดพักแรกในป่าของพวกเรา มีลักษณะเป็นลานกว้าง ติดลำธารน้ำใสไหลเย็น มีเพิง มีโต๊ะ เก้าอี้พร้อมสำหรับทำอาหาร ใครเอาเต้นท์มาก็กางนอน บางส่วนนอนถุงนอนเรียงกันใต้ฟลายชีท ลักษณะเป็นเพิงคล้ายที่นอนของผู้ประสบภัย สำหรับคนไม่เคยอยู่ป่า คงไม่คุ้นกับความลำบากแบบนี้ ห้องน้ำก็อยู่ไกล แถมน้ำไม่ไหลต้องตักน้ำจากลำธารไปใช้อีก แต่ผมบอกเลย ในบรรดาแคมป์ทั้งหมดที่เราจะพักกันตลอดทริปนี้ "แคมป์แม่กระสาอยู่สบายที่สุดแล้ว"
อาหารมื้อแรกๆ ยังหรูอยู่ออกสื่อได้ วันหลังๆนี่ ... ตามมีตามเกิด
ข้าวผัดของลูกหาบ ผู้มีพระคุณช่วยเหลือพวกเรา
กาแฟร้อนๆตัดกับอากาศเย็นๆ
แครกเกอร์เนยถั่ว นน.เบาแต่ให้พลังงานสูง
หุงข้าวด้วยหม้อสนาม ฟูขึ้นหม้ออร่อยทุกมื้อครับ
น้ำลำธาร ดื่มได้มั๊ย ??
เป็นที่สงสัยกันว่าเราควรนำเครื่องกรองน้ำไปหรือไม่? ผมขอบอกตรงนี้เลยครับว่า นอกจากดื่มได้โดยไม่ต้องกรองแล้ว "ยังอร่อยอีกด้วย!"ค่อยๆบรรจงกรอกใส่ขวด ให้ตะกอนไม่เข้า เราก็จะได้น้ำใสๆเย็นๆ ดื่มได้ชื่นใจ ครั้งแรกที่ลองผมขอชิมจากขวดของลูกหาบ
เค้ายื่นให้และพูดว่า "น้ำอย่างดีครับ" คนสมัยก่อนหลายร้อยหลายพันปีเค้าก็ดื่มกัน พวกเราซะอีกเป็น
"มนุษย์ยุคแรกของโลกใบนี้ที่ต้องซื้อน้ำดื่ม" น่าภูมิใจ ?? เจริญสุดๆ ??
ทั้งดื่มและอาบ ... ชื่นนนใจ
หินเรือใบ เป้าหมายของการเดินทาง
น้ำอย่างดี
สดๆ
วันที่ 2 : เรวา รีวา
การเดินทางในวันที่สองจะเป็นลักษณะ ***เดินใกล้แต่ยาก*** มันจะไม่ได้เป็นทางโล่งอีกแล้ว แต่เป็นการเริ่มเดินป่าอย่างแท้จริง เสื้อผ้าเบาๆ รองเท้าเดินป่ายึดเกาะดีๆ จะช่วยให้เราคล่อง และเดินง่ายขึ้น ระยะทางเพียง 3 กิโลเมตรก็ถึง
ลุยต่อวันที่ 2
มุ่งสู่แม่เรวา
สะพานท่อนไม้
ช่างสร้างสรรค์
พรมธรรมชาติ
::::: แคมป์แม่เรวา :::::
ติดลำธารอีกเช่นเคย แต่พื้นลาดนอนไม่ดีมีไหลตกหมอน มีรากไม้ทำให้เจ็บหลัง "อากาศเริ่มเย็นขึ้นตามความสูงที่ไต่ขึ้นมา" พักกินข้าว ยืดเส้นยืดสายซักพักเราก็เดินทางต่อ จุดหมายคือไปเล่นน้ำที่ "น้ำตกแม่รีวา" ระยะทางก็ประมาณ 3 กิโลเมตรเบาๆ น้ำตกที่นี่สวยงามน้ำไหลแรง ได้เล่นน้ำตกเย็นๆ ได้กระโดดน้ำจากโขดหินเล่นแบบเด็กๆอีกครั้ง "ชอบมากมาย" กลับมาทำกับข้าวกิน นั่งเมาท์มอยรอบกองไฟชิลๆใสๆ แต่ก็ต้องรีบเข้านอน เพราะเจ้าหน้าที่อุทยานเตือนว่า "พรุ่งนี้หนักมาก"
น้ำตกแม่รีวา
ชุ่มฉ่ำ
วันที่ 3 : มุ่งสู่แคมป์ขอนไม้ตีนดอย และ ยอดเขาโมโกจู
วันนี้แหละเป็นวันที่นรกทุกขุม "แตกพร้อมกัน" (All hell broke loose) การเดินในวันนี้จะเป็นลักษณะ ***เดินไกลและชัน*** ระยะทาง 9 กิโลเมตรและต้องปีนความชันระดับพญายม 6 ชั่วโมงต่อเนื่อง หนำซ้ำ "ยุง ผึ้งป่า ตัวคุ่น และ ทาก " ก็เล็งเล่นงานระหว่างทาง
เชคพอยต์ของวันนี้มี 4 จุด คือ
1.คลอง 1
2.คลอง 2
3.แคมป์ตีนดอย และ
4.ยอดเขาโมโกจู
"คลองทั้งสอง" มีลักษณะเป็นแค่ลำธารเล็กๆ ไว้เพื่อพักเติมน้ำใส่ขวด "แคมป์"คือที่นอนคืนนี้ .... และ"ยอดเขา"คือเป้าหมาย
มี 3 สิ่งที่ผมเตือนตัวเองเสมอว่าต้องทำให้ถูกต้องในทริปนี้ นั่นคือ "กิน-นอน-และขับถ่าย" หากอย่างใดอย่างหนึ่งผิด มันจะส่งผลทำให้ "ระบบร่างกายรวน" และทำให้ยากขึ้นไปอีก ผมพลาดที่ "การขับถ่าย" คิดเข้าข้างตัวเองว่ากินไม่มาก ย่อยหมดแล้ว ห้องน้ำก็ไม่สะดวกขี้เกียจจะเข้า .... ผมผิดมหันต์ และส่งผลร้ายแรงมาก
การเดินทางไปคลอง 1 โหดมากจริงๆชนิดที่ว่ากะเอากันถึงชีวิต ร่างกายพังทันทีตั้งแต่ช่วงแรก ข้อเท้าซ้ายเจ็บแปล๊บ น่องขวาก็ปวด แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือ "ผมปวดท้องอย่างรุนแรง" เหงื่อไหลไม่หยุด หน้าซีดปากก็สั่น
เมื่อระบบเออเร่อร์ ความคิดลบก็เข้าครอบงำ เรามาลำบากขนาดนี้ทำไม ? ทำไมไม่ไปเที่ยวที่อื่น ? หรืออยู่บ้านสบายๆก็ดีอยู่แล้ว ?
บ้าไปแล้ว ! ภูเขามันก็อยู่ของมันดีๆ เรามาปีนมันทำไม !!??
ความคิดโง่ๆเหล่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์เลยและสายไปแล้ว ..... สิ่งที่ควรใส่ใจคือ ขาซ้ายไหวมั๊ย? ขาขวายังก้าวต่อได้รึเปล่าต่างหาก มองเพื่อนร่วมเดินทาง เค้าก็เหนื่อยเหมือนกัน เค้ายังไหวเราก็ต้องยังไหวสิ "พลังใจเป็นสิ่งสำคัญสุดๆ"
น้องผู้หญิงคนหนึ่งในทีมร่างกายก็รวน ต้องนั่งพักทุก 10 ก้าว ก้มหน้าเอามือกุมท้องตลอดเวลา "แต่เธอก็ไม่หยุดที่จะปีน"
ขอคารวะในหัวจิตหัวใจของเธอมาก
ต้องสู้ !!!
พี่คนนึงในทีมแนะนำว่าให้ใช้กลยุทธ์ "แบบเต่า" ค่อยๆเดินช้าๆ แต่เราไม่หยุด ผมจัดระบบความคิดใหม่ ฮึดสู้ใหม่
ในสภาวะที่ร่างกายเจอกับสิ่งเลวร้ายอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน มันจะระเบิดพลังแฝง (ที่เค้ามักเรียกกันว่าก๊อก 2)
"ถ้าใจไม่ท้อซะก่อน ร่างกายมันเอาด้วย"
... ขาพังเรายังมีแขนช่วย แขนนึงใช้ไม้ค้ำดัน แขนอีกข้างจับกิ่งไม้ดึงช่วย คล้ายวรยุทธ์ของจิวแปะทง "ซ้ายขวาขัดแย้ง" 2 ข้างทำคนละหน้าที่แต่เสริมกัน พยายามมองในแง่บวก คิดให้สนุก และเมื่อถึงจุดเติมน้ำที่คลอง 2 นั่นก็หมายความว่า "มาไกลเกินจะถอยแล้ว"
ชันแบบต่อเนื่อง
คลอง 1
คลอง 2
ปีนกันยาวๆ ไม่ท้อ
ใกล้แล้ว
อีกนิด!!
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น