เรื่องเล่าของ "ย่า" กับ "หมา" และ "หลาน"

จากกระทู้ที่แล้ว เรื่องเล่าของย่า กับหมาชื่อ "ป๋อง"
http://ppantip.com/topic/34609807

วันนี้เลยมีเรื่องที่เขียนไว้นานแล้ว เป็นสเตตัสในเฟสบุ๊ค มาเรียบเรียงและเล่าสู่กันฟัง เผื่อใครเอาไว้อ่านเล่นๆ หลังจากฉลองปีใหม่กันมาอย่างเต็มที่

เรื่องราวเหล่านี้ เป็นเรื่องจริงจากทางบ้าน บ้านเราเองเนี่ยแหละค่ะ ...


     ที่บ้านเราประกอบด้วยสมาชิกภายในครอบครัว ก็มี เรา ย่า อา และหมาจรจัดที่เก็บมาเลี้ยงอีกร่วม 20 ชีวิต

     หมาจรจัดข้างถนน ที่รถชนบ้าง อดอยากบ้าง ป่วยบ้าง อาของเราไปเที่ยวเก็บเอามารักษา และสุดท้ายทิ้งไม่ลง ก็ต้องเลี้ยงไว้จนเต็มบ้านไปหมด ตัวเราเองก็ไม่ได้รักหรือเอ็นดูหมาเหล่านี้ซักเท่าไหร่ เพราะมันนำมาซึ่งความยุ่งยาก ลำบาก วุ่นวาย สารพัด ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร หยูกยา ทำหมัน รักษาเวลาป่วย ไปต่างจังหวัดก็ลำบาก ไปพร้อมกันทั้งบ้านไม่ได้ เพราะไม่มีคนดูแลหมา แต่ก็ไม่ได้เกลียดจนอยู่ร่วมกันไม่ได้ แค่รำคาญบ้างเวลามันเห่า หรือหงุดหงิดเวลามันกระชากเสื้อตัวโปรดที่ราวลงมากัด และอาละวาดจนบ้านแทบแตกเมื่อมันแทะกันชนรถ

     แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหา คือ การที่หมา 20 ตัวมาอยู่รวมกันมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลยค่ะคุณขาาาาาา เวลามีหมาถิ่นอื่นมาเดินวนไปวนมายั่วประสาทหมาเราอยู่หน้าบ้านตอนตีห้า 6 โมง

     หมาทีมเยือน มักจะชอบมาเดินวนเวียนไปมากวนประสาททีมเหย้าอยู่หน้าบ้าน ถ้าเจ้าถิ่นทำเมินก็ต้องฉี่รดประตูรั้วซักหน่อย เพื่อกระตุ้นให้ตาสว่างกันตอนเช้าๆ หลังจากนั้นทีมเหย้ากว่า 20 ชีวิตที่อยู่ภายในรั้วบ้าน ก็จะพุ่งไปขู่กันโชกกันอยู่ที่รั้วประตู ทั้งขู่ ทั้งเห่า ทั้งแทะประตูข่มขวัญ นั่นคือนาฬิกาปลุกชั้นดี...

     นับว่าโชคดี ที่บ้านอยู่ห่างไกลจากผู้คน ไม่งั้นคงโดนยาเบื่อกันบ้าง ไหนจะคนเดินผ่าน นกบินผ่าน โอ้ยยยยย คุณขา สุดจะบรรยาย

     นั่นแหละค่ะ ปัญหาใหญ่ของเรา เราเป็นคนหลับยาก ตื่นง่าย แล้วถ้าตื่นก่อนเวลาจะหงุดหงิดมาก
     
     จนวันนึงเราถูกเสียงเห่ากรรโชกทะเลาะกันของบรรดาหมาๆปลุกตั้งแต่ 6 โมง โดยที่เมื่อคืนเลิกงานเกือบเที่ยงคืน ถึงบ้านเกือบตีสอง อารมณ์โมโหของคนนอนไม่พอ คว้าไม้กวาดวิ่งออกไปหน้าบ้าน อาละวาดใส่หมาซะยืดยาว ฉะทั้งทีมเหย้าจนมุดโต๊ะหนี ส่วนทีมเยือนวิ่งหางจุกตูดกลับถิ่นไปเรียบร้อย ไม่ได้ไปไล่ฟาดไล่ตีที่ตัวหมามันหรอกนะคะ ไม้กวาดน่ะ เอาไปฟาดตามโต๊ะ ตามถังให้เสียงมันดังข่มหมาไว้ก่อน

     หลังจากอาละวาดใส่บรรดาหมาๆแล้วก็พาลมาโวยวายกับย่า
     เรา : โอ้ย ไม่ไหวแล้วนะ ถ้าเป็นอย่างงี้จะออกไปเช่าห้องอยู่แล้วนะ ทำงานก็หนัก กลับบ้านมาหมาก็เห่าไม่ได้หลับได้นอน บ่นๆๆๆๆ บลาๆๆๆๆๆ
     ย่า : หนูไปนอนต่อสิ จะได้นอนอิ่มๆ ไม่หงุดหงิด
     เรา : โหยยยยย ตื่นมาอาละวาดซะตาสว่างขนาดนี้คงนอนต่อไม่ไหวแล้วล่ะย่า
     
      ย่าแกก็หันไปบ่นใส่หมา พร้อมเงื้อไม้เงื้อมือขู่ เหมือนเวลาย่าขู่เราตอนเด็กๆ เวลาเราซน "เห็นมั้ยพวกมุง กัดกันจนพี่เค้าตื่น เดี๋ยวเหอะมุง เดี๋ยวเหอะ...!!!"
      เราโมโหแปปๆ แล้วก็ลืมมันไป...
      หลังจากนั้น เราไม่ได้ยินเสียงหมากัดกันตอนเช้าอีกเลย...

     "เออ เดี๋ยวนี้มันไม่ค่อยเห่ากัดกันตอนเช้าแล้วเนอะ ค่อยนอนเต็มอิ่มหน่อย" เราพูดขณะบิดขี้เกียจอยู่หน้าตู้เย็น
     "ก็ป๋องกลัวพี่ตื่นงายยยยยย พี่ตื่นเช้าพี่ก็หงุดหงิดดดดดด หนูไม่ดื้อแล้วววววว อย่าดุป๋องน้าาาาา"ย่าพูดเสียงเล็กเสียงน้อย พร้อมกับก้มไปจับสองขาหน้าอิป๋องขึ้นมา จับขามันทำท่าทำทางเหมือนมันกำลังพูด

      เรายิ้มและหัวเราะในท่าทางของย่า และลืมมันไปอีกครั้ง...

      วันหนึ่งเราตื่นเช้าผิดปกติ ตื่นเอง โดยไม่ได้มีใครปลุก หลับเต็มอิ่ม ตื่นมาสดใสอารมณ์ดี เดินเงียบๆออกมาหน้าบ้าน

      ย่านั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติค ในมือมีกระดาษหนังสือพิมพ์ ม้วนเป็นท่อนกลมๆ เรายืนดูเงียบๆ ว่าย่าทำอะไร เป็นจังหวะเดียวกับที่มีเด็กหลายคนวิ่งผ่านหน้าบ้าน บรรดาหมาๆ ตั้งท่าจะพุ่งกระโจนใส่รั้ว ย่าเงื้อมือที่ถือหนังสือพิมพ์ม้วนอยู่ ฟาดหัวเรียงตัว หมาทั้งหลายก็ยังอดไม่ได้ที่จะเอาปากโผล่ไปตามช่องลูกกรง ทำท่าพยายามจะเห่า
    "อย่านะ...!!! เงียบๆเลยนะ ไปเห่าเค้าทำไม เค้าก็เดินผ่านหน้าบ้านทุกวัน" ย่ากระซิบกระซาบข้างหูอิป๋อง พร้อมกับเอาม้วนหนังสือพิมพ์ตีสะโพกอิป๋อง อิป๋องหมอบลงกับพื้น เอาปากมุดใต้รั้วออกไป แต่ยังมีเสียงขู่คำรามในคอ
    "ยัง ยัง เดี๋ยวพี่เค้าตื่นเหอะมุงตายยยยย บ้านแตกกกกกกกก เค้าเอาไปปล่อยวัดกุไม่ช่วยนะ....!!!" ย่าขู่บรรดาหมาๆซ้ำ โดยอ้างชื่อเรากับประโยคที่เราไม่เคยพูด ตั้งอกตั้งใจพูดเหมือนอิป๋องและบรรดาหมาจะฟังรู้เรื่อง พร้อมกับเอาม้วนหนังสือพิมพ์เงื้อง่าทำท่าจะตี

    ตั้งแต่วันนั้น พอตี 5 ย่าจะออกนั่งเฝ้าหมาไว้ทุกเช้า จนกว่าฝนจะตื่น ค่อยดุ ไม่ให้มันเห่า ไม่ให้หมากระโจนเขย่าประตู พอเราตื่น ย่าก็จะปล่อยมันเห่า

    "ปล่อยมันเห่าไปเหอะย่า ก็ดีเหมือนกัน หนูจะได้ไม่ตื่นสาย"
    "อ้าวตื่นแล้วเหรอลูก ตื่นเช้าจัง"

    หลังจากนั้น ย่าก็ยังไปนั่งเฝ้าหมาทุกเช้า แล้วเริ่มปล่อยให้มันเห่าประมาณ 7 โมง เพื่อปลุกเราไปในตัว

    หลายๆครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้เสียงของย่าที่กระซิบกระซาบดุหมา จะดังก้องอยู่ในหูเสมอ


"อย่านะ...!!! เงียบๆเลยนะ ไปเห่าเค้าทำไม เค้าก็เดินผ่านหน้าบ้านทุกวัน"
"ยัง ยัง เดี๋ยวพี่เค้าตื่นเหอะมุงตายยยยย บ้านแตกกกกกกกก เค้าเอาไปปล่อยวัดกุไม่ช่วยนะ....!!!"     


     และทำให้เรายิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว...

     "เรื่องที่เราโมโห อาละวาดแทบเป็นแทบตาย และลืมง่ายๆ ในไม่กี่นาที กลับกลายเป็นเรื่องสำคัญและถูกบรรจุลงในหน้าที่ประจำวันของอีกคน"

     คนแก่ที่อยู่บ้าน รอลูกหลานกลับมา และดูแลปรนนิบัติพัดวีอย่างดี เพื่อที่จะเอาอกเอาใจ ให้เราหายเหนื่อยจากการทำงาน มีเวลานั่งคุยเล่นกันซักแปปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ให้พอคลายเหงาจากการที่อยู่บ้านทั้งวัน
     บางครั้งเรากลับตอบแทนด้วยการ โมโหใส่...
     บางครั้งเรากลับตวาดใส่ว่า ไม่ต้องมาวุ่นวาย...
     บางครั้งเรารำคาญเค้าเอาง่ายๆ ในสิ่งที่เค้าทำเพื่อเรา...
    
     แต่...
     เค้ายังอยู่ตรงนั้น...
     ไม่ว่าเราจะโมโหซักกี่ครั้ง เค้ายังไม่ไปไหน...
     อยู่ที่บ้าน...
     รอเรากลับไปทานข้าว กลับไปถามไถ่ กลับไปเล่าให้ฟังว่าชีวิตเป็นยังไง เท่านั้นเอง...

     เราทำดีกับคนทั่วไป เกรงใจคนนอกหนักหนา ความเคยชินทำให้เรารู้สึกไปว่า เราจะทำยังไงกับคนใกล้ตัวก็ได้ เพราะยังไงเค้าก็ไม่ไปไหน

     แต่...
    
"มันจะดีกว่ามั้ย ถ้าเราหันมาใส่ใจความรู้สึกของคนที่รักและดูแลเราให้มากขึ้น ให้คนที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตของเค้ารักและดูแลเรา ได้มีความสุขมากในยามบั้นปลายชีวิต"



ปล. ว่าจะมาเล่าเรื่องหมา ไหงหักมุมดราม่าซะงั้น



แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่