5. หมอชิตซูริค
เช้าวันที่ 2 ของการท่องเที่ยวครั้งนี้ พวกเราตื่นกันตั้งแต่ประมาณ 6 โมงกว่าๆ แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนกันค่อนข้างดึก อาจจะเพราะว่ายังไม่ชินกับเวลาที่ปรับเปลี่ยนไปช้าลงกว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง (พวกเราอยู่ในเยอรมันตอนที่เขาปรับเวลาให้ช้าลงอีก 1 ชั่วโมงหลังจากเที่ยงคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2558 ไปแล้ว ซึ่งทำให้พวกเราปั่นป่วนเล็กน้อยอีกแล้ว) ลงมาทานอาหารเช้าตอน 6:30 น. ที่ชั้นล่างข้างล็อบบี้ ในห้องอาหารมีฝรั่งนั่งอยู่ประปราย เดินสำรวจอาหารที่โรงแรมจัดไว้ให้ก็ค่อนข้างพอใจ ไม่ใช่มีให้บริการแบบขอไปที เดินวนไปมาสุดท้ายก็ได้ไข่คน เบคอน ขนมปัง น้ำส้ม นมสด และกาแฟมาคนละมากน้อยตามความชอบของแต่ละคน นั่งทานอาหารเช้ากันไปก็สำรวจดูแขกที่มาพักที่โรงแรมนี้ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งทั้งนั้น มีเอเซียไม่กี่คน ไม่มีคนไทย แต่มีพนักงานโรงแรมคนหนึ่งเป็นคนไทยทำให้ได้พูดคุยภาษาไทยกันพอหอมปากหอมคอ จากนั้นก็ร่ำลากันเพราะว่าต้องเช็คเอาท์ออกวันนี้เพื่อเดินทางไปมิวนิค
อิ่มท้องกันแล้วก็ขอออกไปเดินสำรวจเมืองซูริครอบๆ โรงแรมสักเล็กน้อยตอนที่เดินออกไปก็ 7 โมงกว่าๆ แล้วแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลย มีคนเดินไปมาบ้างแล้ว คนจะมาเดินกันขวักไขว่ช่วงใกล้ๆ กับสถานีรถไฟหลักของเมืองเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟหลักจึงทำให้มีเส้นทางรถราง รถบัสประจำทางวิ่งไปมาขวักไขว่พอสมควร เพราะที่สถานีรถไฟเปรียบเสมือนศูนย์กลางระบบขนส่งทุกระบบในซูริค (และทุกเมืองที่ไปมาในคราวนี้) เวลาจะข้ามถนนจึงต้องคอยสังเกตซ้ายขวาดีๆ แต่ทางที่ดีควรข้ามที่ทางข้ามที่จะมีไฟสีเขียวเป็นสัญญาณสำหรับคนที่จะเดินข้ามถนนโดยเฉพาะซึ่งปลอดภัยกว่าวิ่งข้ามที่อื่น เดินไปมาจนจะแปดโมงกว่าฟ้าก็ยังไม่สว่างซะที จึงกลับโรงแรมมาส่งแม่ยาย และเดินออกมากันสองคนอีกรอบเพื่อถ่ายรูปเล่น กับเข้าไปสำรวจในสถานีรถไฟดูลู่ทางไว้ก่อน จากนั้นเดินมาที่ COOP ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีอาหารสำเร็จรูปประเภทแซนด์วิช ขนมปังขายในราคาไม่แพงขาย เพื่อตุนเสบียงไว้เวลาเดินทางไปมิวนิค โดยเสบียงที่หมายตาไว้คือ แซนด์วิสกับน้ำ แม้ว่าแซนด์วิชที่มีแค่ขนมปังกับไส้กรอกหรือแฮมหนึ่งชิ้นจะมีราคามากกว่า 100 บาทไทยก็ตาม น้ำเปล่าแบบไม่มีแก๊สก็หายากดั่งงมเข็มจึงได้น้ำแบบมีแก๊ส กับน้ำแร่มาในราคาที่ซื้อน้ำในประเทศไทยได้เป็น 20 ลิตร แต่ก็ต้องตัดใจซื้อมาเพื่อเอาขวดมากรอกน้ำประปาในอีกหลายวันข้างหน้า จากนั้นก็เดินกลับโรงแรมไปเก็บกระเป๋าเพื่อเช็คเอาท์
ตอนเช็คเอาท์ก็ง่ายๆ สบายๆ แค่ส่งกุญแจห้องคืนเจ้าหน้าที่แกไม่ได้ถามอะไรสักคำ แค่จิ้มเม้าส์ 2 – 3 ทีก็เงยหน้ามาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว ถามว่าพวกเราจะไปไหน พอรู้ว่าจะไปเยอรมันก็แค่อวยพรให้เดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุก เราเลยหยอดว่าอีก 10 วันเจอกันใหม่ เพราะว่าเราจะกลับมาพักที่นี่ก่อนกลับประเทศไทย
เข็นกระเป๋าออกมาจากโรงแรมตั้งแต่ยังไม่ 10 โมงเพราะคิดว่าจะใช้เวลาเช็คเอาท์นานกว่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไรจะได้มาดูลาดเลาของสถานีขนส่งรวมทั้งเดินหารถของตัวเองก่อนเพื่อความสบายใจ เดินกันเรื่อยๆ แค่ประมาณ 5 นาทีเพราะห่างจากโรงแรมแค่ 300 เมตรได้ สภาพโดยทั่วไปของสถานีขนส่งที่มีชื่อเรียกว่า Bus-Parkplatz Sihlquai น่าจะเรียกว่าเป็นลานจอดรถบัสมากกว่า เพราะไม่มีอาคารใหญ่โตมีแค่ที่นั่งรอกับที่ขายตั๋วเล็กๆ ร้านขายของที่เน้นไปทางกาแฟ ขนมปัง บุหรี่ น้ำอัดลม แซนด์วิช กับห้องน้ำหยอดเหรียญ 2 ตู้เท่านั้น พาแม่ยายไปหาที่นั่งกับพร้อมกับกระเป๋าทั้ง 3 ใบก็เอาตั๋วที่ได้รับทางอีเมล์จากทาง DB Bahn ออกมาเพื่อนำไปถามเจ้าหน้าที่ว่ารถคันที่พวกเราจองมานั้นอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่หน้าติดหนวดร่างใหญ่แต่หน้าตาใจดียิ้มกว้างแล้วบอกว่านั่นไงกำลังเลี้ยวเข้ามาพอดี เราหันไปมองเห็นเป็นรถปรับอากาศสองชั้นทันสมัย เลยเดินตามไปถึงที่จอด ผู้โดยสารที่ทยอยลงมามีทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเต็มไปหมด ส่วนใหญ่มีสัมภาระขนาดพอๆ กับของพวกเราทั้งนั้น แต่กระเป๋าใบใหญ่นั้นจะเก็บไว้ทางท้ายรถทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าคุณพี่คนขับรถหายเหนื่อยจากการยกกระเป๋าลงจากรถแล้วก็เดินเข้าไปถามว่าพวกเราสามารถนำกระเป๋ามาเก็บไว้ที่รถได้หรือยัง คุณพี่แกตอบว่าประมาณ 11 โมงค่อยมาละกันและก็เดินขึ้นรถไปปิดประตู ปล่อยเรายืนงงอยู่สักพักเพราะว่าอีกเกือบชั่วโมงได้กว่าจะ 11 โมง แต่ก็ทำไงได้ล่ะ เดินกลับมารายงานผลรวมทั้งชี้เป้ารถคันที่พวกเราต้องขึ้นให้ภรรยาและแม่ยายทราบเพื่อช่วยกันจับตามองเผื่อคุณพี่คนขับแกเปลี่ยนที่จอดจะได้ไม่ต้องวิ่งตามหากัน
นั่งไปสักประมาณ 30 นาทีผู้โดยสารพากันลากกระเป๋า แบกเป้ เข็นรถเข็นเด็ก มากันเต็มที่นั่งรอจับกลุ่มสูบบุหรี่ พูดคุยกัน แต่ไม่มีคนเอเซียเลย จากนั้นก็ลองไปสำรวจห้องน้ำหยอดเหรียญดูสักหน่อย
ค่าเข้าห้องน้ำที่นี่แพงมากคนละ 1 สวิสฟรังก์หรือคนละ 1 ยูโร คิดเป็นเงินบาทก็คนละ 37 บาทหรือ 40 บาททีเดียว และใช้ได้ 15 นาทีถ้าเกินแล้วยังไม่ออกมานี่สงสัยประตูจะเปิดเองอัตโนมัติ (ไม่ได้ลองเลยยังไม่รู้) ลองๆ แอบมองตอนที่มีคนเข้าออกดูสภาพภายในนี่ก็ห้องน้ำสาธารณะดีๆ นี่เอง น้ำนองเต็มพื้นเลย
ตอนเกือบ 11 โมงพวกเราก็เข็นกระเป๋ามารอคุณพี่คนขับรถแกเปิดประตู จากนั้นก็มีผู้โดยสารมายืนออรอตรงที่รถกันเต็มเลย แต่คุณพี่แกก็ยังไม่เปิดประตูจนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ของ DB Bahn มาตรวจความเรียบร้อยภายในรถ และมายืนรอตรงประตูทางขึ้นตรงกลางนั่นแหละจึงเปิดประตูได้ พวกเรานำกระเป๋าไปให้คุณพี่คนขับนำขึ้นไปเก็บแต่เราสงสารกลัวหลังจะเดาะแล้วไม่สามารถขับรถได้จึงช่วยคุณพี่แกยกขึ้นไปเก็บให้ทั้ง 3 ใบ คุณพี่แกจะมีเบอร์ติดกระเป๋าทุกใบและฉีกกระดาษแผ่นเล็กๆ ส่วนท้ายที่มีเบอร์เดียวกับที่ติดกระเป๋าเรามาส่งกลับมาให้เราเพื่อนำมาใช้รับกระเป๋า หรือว่ากรณีเกิดการสูญหายภายหลัง
จากนั้นก็นำตั๋วใบที่ได้รับตอนจองตั๋วออนไลน์นั่นแหละออกมา แล้วนำไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ของ DB Bahn ที่ยืนหน้าเคร่งตรวจตั๋วอยู่ พี่แกขอดูบัตรเครดิตที่ใช้ในการจองตั๋วรถก่อนที่จะเอาเครื่องมาสแกนตรงคิวอาร์โค้ด (มั้ง) และปล่อยให้ขึ้นรถ โดยต้องนั่งตามที่นั่งที่ระบุบนตั๋วเท่านั้นพวกเราได้ทำเลแถวที่สองกับสามหน้ารถเลย ไม่นานผู้โดยสารทั้งหมดก็มีที่นั่งเรียบร้อยรอคุณพี่คนขับแกออกรถ เท่าที่มองดูผู้โดยสารไม่เต็มคันอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่เวลาที่จะเดินทางข้ามประเทศช่วงเช้ามืด หรือวันเสาร์ – อาทิตย์น่าจะคนเยอะกว่านี้พอเวลา 11:18 น. ล้อรถบัสก็หมุนออกเดินทางล่าช้าไป 2 นาทีพออภัยได้
ทันทีที่ล้อหมุนนั่นเป็นสัญญาณบอกว่าการผจญภัยในต่างแดนของพวกเราเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วครับ
[CR] เดินช้าๆ ฝ่าลมหนาวที่สวิส เยอรมัน และออสเตรีย ตอนที่ 2
เช้าวันที่ 2 ของการท่องเที่ยวครั้งนี้ พวกเราตื่นกันตั้งแต่ประมาณ 6 โมงกว่าๆ แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนกันค่อนข้างดึก อาจจะเพราะว่ายังไม่ชินกับเวลาที่ปรับเปลี่ยนไปช้าลงกว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง (พวกเราอยู่ในเยอรมันตอนที่เขาปรับเวลาให้ช้าลงอีก 1 ชั่วโมงหลังจากเที่ยงคืนวันที่ 24 ตุลาคม 2558 ไปแล้ว ซึ่งทำให้พวกเราปั่นป่วนเล็กน้อยอีกแล้ว) ลงมาทานอาหารเช้าตอน 6:30 น. ที่ชั้นล่างข้างล็อบบี้ ในห้องอาหารมีฝรั่งนั่งอยู่ประปราย เดินสำรวจอาหารที่โรงแรมจัดไว้ให้ก็ค่อนข้างพอใจ ไม่ใช่มีให้บริการแบบขอไปที เดินวนไปมาสุดท้ายก็ได้ไข่คน เบคอน ขนมปัง น้ำส้ม นมสด และกาแฟมาคนละมากน้อยตามความชอบของแต่ละคน นั่งทานอาหารเช้ากันไปก็สำรวจดูแขกที่มาพักที่โรงแรมนี้ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งทั้งนั้น มีเอเซียไม่กี่คน ไม่มีคนไทย แต่มีพนักงานโรงแรมคนหนึ่งเป็นคนไทยทำให้ได้พูดคุยภาษาไทยกันพอหอมปากหอมคอ จากนั้นก็ร่ำลากันเพราะว่าต้องเช็คเอาท์ออกวันนี้เพื่อเดินทางไปมิวนิค
อิ่มท้องกันแล้วก็ขอออกไปเดินสำรวจเมืองซูริครอบๆ โรงแรมสักเล็กน้อยตอนที่เดินออกไปก็ 7 โมงกว่าๆ แล้วแต่ฟ้ายังไม่สว่างเลย มีคนเดินไปมาบ้างแล้ว คนจะมาเดินกันขวักไขว่ช่วงใกล้ๆ กับสถานีรถไฟหลักของเมืองเท่านั้น เนื่องจากโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟหลักจึงทำให้มีเส้นทางรถราง รถบัสประจำทางวิ่งไปมาขวักไขว่พอสมควร เพราะที่สถานีรถไฟเปรียบเสมือนศูนย์กลางระบบขนส่งทุกระบบในซูริค (และทุกเมืองที่ไปมาในคราวนี้) เวลาจะข้ามถนนจึงต้องคอยสังเกตซ้ายขวาดีๆ แต่ทางที่ดีควรข้ามที่ทางข้ามที่จะมีไฟสีเขียวเป็นสัญญาณสำหรับคนที่จะเดินข้ามถนนโดยเฉพาะซึ่งปลอดภัยกว่าวิ่งข้ามที่อื่น เดินไปมาจนจะแปดโมงกว่าฟ้าก็ยังไม่สว่างซะที จึงกลับโรงแรมมาส่งแม่ยาย และเดินออกมากันสองคนอีกรอบเพื่อถ่ายรูปเล่น กับเข้าไปสำรวจในสถานีรถไฟดูลู่ทางไว้ก่อน จากนั้นเดินมาที่ COOP ซึ่งเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีอาหารสำเร็จรูปประเภทแซนด์วิช ขนมปังขายในราคาไม่แพงขาย เพื่อตุนเสบียงไว้เวลาเดินทางไปมิวนิค โดยเสบียงที่หมายตาไว้คือ แซนด์วิสกับน้ำ แม้ว่าแซนด์วิชที่มีแค่ขนมปังกับไส้กรอกหรือแฮมหนึ่งชิ้นจะมีราคามากกว่า 100 บาทไทยก็ตาม น้ำเปล่าแบบไม่มีแก๊สก็หายากดั่งงมเข็มจึงได้น้ำแบบมีแก๊ส กับน้ำแร่มาในราคาที่ซื้อน้ำในประเทศไทยได้เป็น 20 ลิตร แต่ก็ต้องตัดใจซื้อมาเพื่อเอาขวดมากรอกน้ำประปาในอีกหลายวันข้างหน้า จากนั้นก็เดินกลับโรงแรมไปเก็บกระเป๋าเพื่อเช็คเอาท์
ตอนเช็คเอาท์ก็ง่ายๆ สบายๆ แค่ส่งกุญแจห้องคืนเจ้าหน้าที่แกไม่ได้ถามอะไรสักคำ แค่จิ้มเม้าส์ 2 – 3 ทีก็เงยหน้ามาบอกว่าเรียบร้อยแล้ว ถามว่าพวกเราจะไปไหน พอรู้ว่าจะไปเยอรมันก็แค่อวยพรให้เดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุก เราเลยหยอดว่าอีก 10 วันเจอกันใหม่ เพราะว่าเราจะกลับมาพักที่นี่ก่อนกลับประเทศไทย
เข็นกระเป๋าออกมาจากโรงแรมตั้งแต่ยังไม่ 10 โมงเพราะคิดว่าจะใช้เวลาเช็คเอาท์นานกว่านี้ แต่ก็ไม่เป็นไรจะได้มาดูลาดเลาของสถานีขนส่งรวมทั้งเดินหารถของตัวเองก่อนเพื่อความสบายใจ เดินกันเรื่อยๆ แค่ประมาณ 5 นาทีเพราะห่างจากโรงแรมแค่ 300 เมตรได้ สภาพโดยทั่วไปของสถานีขนส่งที่มีชื่อเรียกว่า Bus-Parkplatz Sihlquai น่าจะเรียกว่าเป็นลานจอดรถบัสมากกว่า เพราะไม่มีอาคารใหญ่โตมีแค่ที่นั่งรอกับที่ขายตั๋วเล็กๆ ร้านขายของที่เน้นไปทางกาแฟ ขนมปัง บุหรี่ น้ำอัดลม แซนด์วิช กับห้องน้ำหยอดเหรียญ 2 ตู้เท่านั้น พาแม่ยายไปหาที่นั่งกับพร้อมกับกระเป๋าทั้ง 3 ใบก็เอาตั๋วที่ได้รับทางอีเมล์จากทาง DB Bahn ออกมาเพื่อนำไปถามเจ้าหน้าที่ว่ารถคันที่พวกเราจองมานั้นอยู่ที่ไหน เจ้าหน้าที่หน้าติดหนวดร่างใหญ่แต่หน้าตาใจดียิ้มกว้างแล้วบอกว่านั่นไงกำลังเลี้ยวเข้ามาพอดี เราหันไปมองเห็นเป็นรถปรับอากาศสองชั้นทันสมัย เลยเดินตามไปถึงที่จอด ผู้โดยสารที่ทยอยลงมามีทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเต็มไปหมด ส่วนใหญ่มีสัมภาระขนาดพอๆ กับของพวกเราทั้งนั้น แต่กระเป๋าใบใหญ่นั้นจะเก็บไว้ทางท้ายรถทั้งหมด
เมื่อเห็นว่าคุณพี่คนขับรถหายเหนื่อยจากการยกกระเป๋าลงจากรถแล้วก็เดินเข้าไปถามว่าพวกเราสามารถนำกระเป๋ามาเก็บไว้ที่รถได้หรือยัง คุณพี่แกตอบว่าประมาณ 11 โมงค่อยมาละกันและก็เดินขึ้นรถไปปิดประตู ปล่อยเรายืนงงอยู่สักพักเพราะว่าอีกเกือบชั่วโมงได้กว่าจะ 11 โมง แต่ก็ทำไงได้ล่ะ เดินกลับมารายงานผลรวมทั้งชี้เป้ารถคันที่พวกเราต้องขึ้นให้ภรรยาและแม่ยายทราบเพื่อช่วยกันจับตามองเผื่อคุณพี่คนขับแกเปลี่ยนที่จอดจะได้ไม่ต้องวิ่งตามหากัน
นั่งไปสักประมาณ 30 นาทีผู้โดยสารพากันลากกระเป๋า แบกเป้ เข็นรถเข็นเด็ก มากันเต็มที่นั่งรอจับกลุ่มสูบบุหรี่ พูดคุยกัน แต่ไม่มีคนเอเซียเลย จากนั้นก็ลองไปสำรวจห้องน้ำหยอดเหรียญดูสักหน่อย
ค่าเข้าห้องน้ำที่นี่แพงมากคนละ 1 สวิสฟรังก์หรือคนละ 1 ยูโร คิดเป็นเงินบาทก็คนละ 37 บาทหรือ 40 บาททีเดียว และใช้ได้ 15 นาทีถ้าเกินแล้วยังไม่ออกมานี่สงสัยประตูจะเปิดเองอัตโนมัติ (ไม่ได้ลองเลยยังไม่รู้) ลองๆ แอบมองตอนที่มีคนเข้าออกดูสภาพภายในนี่ก็ห้องน้ำสาธารณะดีๆ นี่เอง น้ำนองเต็มพื้นเลย
ตอนเกือบ 11 โมงพวกเราก็เข็นกระเป๋ามารอคุณพี่คนขับรถแกเปิดประตู จากนั้นก็มีผู้โดยสารมายืนออรอตรงที่รถกันเต็มเลย แต่คุณพี่แกก็ยังไม่เปิดประตูจนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่ของ DB Bahn มาตรวจความเรียบร้อยภายในรถ และมายืนรอตรงประตูทางขึ้นตรงกลางนั่นแหละจึงเปิดประตูได้ พวกเรานำกระเป๋าไปให้คุณพี่คนขับนำขึ้นไปเก็บแต่เราสงสารกลัวหลังจะเดาะแล้วไม่สามารถขับรถได้จึงช่วยคุณพี่แกยกขึ้นไปเก็บให้ทั้ง 3 ใบ คุณพี่แกจะมีเบอร์ติดกระเป๋าทุกใบและฉีกกระดาษแผ่นเล็กๆ ส่วนท้ายที่มีเบอร์เดียวกับที่ติดกระเป๋าเรามาส่งกลับมาให้เราเพื่อนำมาใช้รับกระเป๋า หรือว่ากรณีเกิดการสูญหายภายหลัง
จากนั้นก็นำตั๋วใบที่ได้รับตอนจองตั๋วออนไลน์นั่นแหละออกมา แล้วนำไปยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ของ DB Bahn ที่ยืนหน้าเคร่งตรวจตั๋วอยู่ พี่แกขอดูบัตรเครดิตที่ใช้ในการจองตั๋วรถก่อนที่จะเอาเครื่องมาสแกนตรงคิวอาร์โค้ด (มั้ง) และปล่อยให้ขึ้นรถ โดยต้องนั่งตามที่นั่งที่ระบุบนตั๋วเท่านั้นพวกเราได้ทำเลแถวที่สองกับสามหน้ารถเลย ไม่นานผู้โดยสารทั้งหมดก็มีที่นั่งเรียบร้อยรอคุณพี่คนขับแกออกรถ เท่าที่มองดูผู้โดยสารไม่เต็มคันอาจจะเป็นเพราะว่าไม่ใช่เวลาที่จะเดินทางข้ามประเทศช่วงเช้ามืด หรือวันเสาร์ – อาทิตย์น่าจะคนเยอะกว่านี้พอเวลา 11:18 น. ล้อรถบัสก็หมุนออกเดินทางล่าช้าไป 2 นาทีพออภัยได้
ทันทีที่ล้อหมุนนั่นเป็นสัญญาณบอกว่าการผจญภัยในต่างแดนของพวกเราเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้วครับ