ผ่าริดสีดวง ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพิ่งไปผ่ามาเมื่อวันคริสต์มาสนี้เอง อยากเล่าครับ

อยากเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองเกี่ยวกับโรคริดสีดวงทวาร  มาเล่าสู่กันฟังครับ  เมื่อวานนี้เองที่ผมได้ไปผ่าตัดริดสีดวงมา  วันนี้กลับบ้านได้แล้ว หายไว ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด  เลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์และเป็นกำลังใจให้ผู้เป็นโรคนี้ ถ้าอยากผ่าตัด อ่านเรื่องราวของผมแล้วอาจช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้นได้บ้าง

อยากเล่าเป็นเรื่องราวอ่านกันเล่นเพลิน ๆ นะครับ เป็นคนชอบเล่าชอบเขียน  อ่านแล้วถ้าชอบก็กดบวกให้ด้วย  จะได้เก็บเข้าคลังกระทู้เป็นประโยชน์แก่ผู้มาเสิร์ชเกี่ยวกับริดสีดวงทวารในภายหลัง

ผมอายุ 54 ปี เริ่มเป็นริดสีดวงระยะแรกมาตั้งแต่อายุ 15-16 แล้ว ตอนนั้นเป็นติ่งเล็ก ๆ ที่หดกลับเข้าไปได้เองหลังถ่ายอุจจาระ  แต่นานวันเข้าติ่งนี้ก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และเพิ่มจำนวนขึ้นจากหัวเดียวกลายเป็นหลายหัว  จากหดเข้าไปเองได้ก็ต้องใช้มือดันเข้าไป   ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร  ใช้ชีวิตปกติดี พออุจจาระเสร็จดันเข้าที่แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีส่วนเกินอะไรให้รำคาญ

จนมาเมื่อสี่ปีที่แล้ว  ตอนที่ผมอายุได้ 50 ปี  ผมเป็นนักกอล์ฟครับ วันหนึ่งผมตีสุดวงสวิง รู้สึกว่าติ่งริดสีดวงมันหลุดออกมาจากที่ดันเข้าไปแล้วในตอนถ่ายก่อนมาออกรอบ แล้วทำไงล่ะครับ  ก็ต้องทำทีเป็นอยากเข้าห้องน้ำ  แล้วไปใช้มือดันให้มันกลับเข้าไปอยู่ข้างในตามเดิมแล้วก็ทำไม่รู้ไม่ชี้กลับไปออกรอบต่อ

จากวันนั้นมา อาการแบบนี้เกิดขึ้นอีกบ่อยมาก จนสุดท้ายผมไม่ไหวจะแกล้งเข้าห้องน้ำแล้ว  ต้องนึกว่าบางทีอยู่กลางสนามจะไปเข้าห้องน้ำก็ลำบาก  ผมจำต้องเลิกเล่นกอล์ฟ กีฬาแสนรักไปเลย เพื่อนฝูงถามเหตุผลก็ไม่กล้าตอบตามจริง อายครับ  ก็บอกว่าติดงานโน่นนี่ไปตามเรื่อง สุดท้ายเพื่อน ๆ ก็เบื่อจะชวนไปเอง

พอเลิกตีกอล์ฟ นึกว่าอาการริดสีดวงหลุดออกมาจะหายไป เพราะเรางดกิจกรรมที่ใช้แรงเยอะไปแล้ว  แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ต่อมามันก็ยิ่งเป็นบ่อยขึ้น แค่เดินไปเดินมามากหน่อย ลุก ๆ นั่ง ๆ เดี๋ยวก็ออกมาชมโลกแล้ว เวลามันกลับออกมานี่เราจะเจ็บนะครับ ยิ่งไม่สามารถปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อดันมันกลับได้นี่  ทรมานมาก เพราะเวลามันเสียดสีกับก้นเรามันเจ็บอย่าบอกใคร  ถ้าปล่อยไว้เลยตามเลยสักครึ่งชั่วโมงมันจะเริ่มอักเสบ  และดันเข้ายาก ใช้เวลาดันนานและเจ็บด้วยครับ

จากที่ผมเคยรู้มาว่าคนเราอาจอยู่ร่วมกับริดสีดวงไปได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องผ่าตัด เพราะมันก็เหมือนเป็นอวัยวะส่วนหนึ่ง ดูแลดี ๆ ก็อยู่ร่วมกันไปได้เรื่อย ๆ   ตอนนี้ชักไม่ไหวแล้ว  iริดสีดวงเกิดขึ้นรอบรูทวารและมีขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยทุกหัว ความคิดเรื่องผ่าตัดก็ผุดขึ้นมา  แต่พร้อมกันนั้นก็มีความกลัวเกิดขึ้นด้วย กลัวมาก กลัวหัวหดเลย เพราะเป็นคนไม่เคยผ่าตัด ไม่เคยนอนโรงพยาบาลเลยในชีวิต  มากสุดคือผ่าฟันคุดครับ

ย้อนไปเมื่อตอนอายุสิบห้าสิบหกบังเอิญได้อ่านบทความชิ้นหนึ่งว่าด้วยการผ่าตัดริดสีดวงทวาร คนเขียนให้ภาพไว้น่ากลัวมาก บอกว่าเจ็บปวดสุดแสน ทำให้ฝังใจมาตลอดว่าผ่าตัดริดสีดวงน่ากลัวเหลือเกิน  จนวันที่อายุห้าสิบกว่า ผมลองเสิร์ชหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตดู เผื่อว่าเวลาที่ผ่านไปหลายสิบปีอาจมีเทคโนโลยีใหม่มาช่วยให้การผ่าริดสีดวงทำได้ดีกว่าเมื่อสามสี่สิบปีก่อน

ก็ไปพบเรื่องการผ่าตัดริดสีดวงด้วยวิธี Stapled คือการใช้เครื่องมือสอดเข้าไปในทวารหนักเพื่อร่นลำไส้ใหญ่ขึ้นพร้อมดึงเอาริดสีดวงขึ้นไป  ริดสีดวงจะเหมือนหายไปเลย แต่จริง ๆ คือโดนดึงขึ้นไปไว้ไม่ให้มารบกวนเราได้อีก  เออ วิธีนี้น่าสนใจ เราไม่ต้องเจ็บปวดจากแผลผ่าตัดด้วย เพราะเป็นการผ่าตัดที่ลำไส้ใหญ่ซื่งไม่มีเส้นประสาทรับความรู้สึก เราก็จะไม่เจ็บปวดหลังผ่าตัด

ค้น ๆ อ่านไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจออีกวิธีหนึ่ง HAL RAR คือการใช้เซ็นเซอร์หรืออะไรสักอย่างนี่แหละตรวจจับหาตำแหน่งของเส้นเลือดที่ลงไปเลี้ยงริดสีดวงว่าอยู่ที่ไหนบ้าง แล้วทำการผูกเส้นเลือดเหล่านั้น เป็นการตัดเส้นทางลำเลียง จนริดสีดวงฝ่อไปเองโดยที่ไม่ต้องผ่าตัด  เออ วิธีนี้ก็ดูเข้าทีดีนะ   เรื่องของเรื่องที่มาหาข้อมูลพวกนี้คือความกลัวเจ็บนั้นเองครับ  เลยหาว่าวิธีไหนเจ็บน้อยสุดก็จะใช้วิธีนั้น

ช่วงนั้นหาข้อมูลทุกวัน อ่านพันทิป อ่านสารพัดเวปที่มีคนพูดเรื่องการผ่าริดสีดวง บ้างก็ว่าเจ็บ บ้างก็ว่าไม่เจ็บ  ยิ่งอ่านยิ่งลังเล  บางคนบอกว่าหลังผ่าจะปัสสาวะไม่ออกต้องใส่สายสวน  อุ๊ย กลัวมาก  บางคนบอกตอนฉีดยาบล็อกหลังนี่เจ็บสุด ๆ ก็เกิดความกลัวอีก  ความกลัวเหล่านี้ทำให้ผมไม่กล้าไปหาหมอ  เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านกับทีทำงาน ไม่ออกไปเล่นกีฬา ไม่ไปมีกิจกรรมกลางแจ้ง ชีวิตน่าเบื่อมาก  วัน ๆ เหมือนถูกพันธนาการอยู่ด้วยเจ้าริดสีดวงพวกนี้  และไม่กล้าเอาออกด้วย

จนเมื่ออยู่กับบ้านมาได้ประมาณสองปี หมายถึงว่านับตั้งแต่ริดสีดวงมันกลับออกมาได้ถ้าขยับร่างกายมาก ๆ นี่นะครับ ผมก็รวบรวมความกล้า ไปหาหมอ  ใจหวังเต็มเปี่ยมกับวิธี Stapled ที่ไม่เจ็บปวด  แต่หมอกลับบอกว่าวิธีนี้อาจไม่ได้ผล  ผนังลำไส้อาจหย่อนลงเมื่อเวลาผ่านไป  และเจ้าริดสีดวงก็จะกลับลงมาอยู่ที่เดิม เศร้าเลยผม

ผมลองถามว่าแล้ววิธีผูกเส้นเลือดที่มาเลี้ยงริดสีดวงล่ะหมอ   หมอบอกว่าวิธีนี้ฮือฮากันพักใหญ่แล้วก็เงียบ ๆ ไป  เพราะว่าเวลาเราผูกเส้นเลือดแล้ว  เส้นเลือดมันก็จะหาทางใหม่จนกลับไปที่ก้อนริดสีดวงจนได้  มันไม่ยอมแพ้ ไม่เหมือนผูกท่อทำหมันชายนะ   มีวิธีเดียวที่หมอแนะนำคือวิธีดั้งเดิมนี่แหละ  เอาไหม บล็อกหลังผ่า เอาออกให้หมดเลย  ฟังแล้วผมก็เศร้าอีกตามเคย  ความหวังที่จะได้รักษาด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ดับวูบลง  กลัวการผ่าตัดแบบดั่งเดิมมาก ฝังใจในความเจ็บปวดที่ได้ฟังมาเยอะ  สุดท้ายบอกหมอว่า  ขอกลับไปทำใจก่อนสักพักนะครับคุณหมอ

จากวันนั้นก็เลิกล้มความคิดเรื่องผ่าตัดไปเลย  ยอมรับกับตัวเองโดยดีว่าตัวเองขี้ขลาดตาขาว ไม่กล้าผ่า ไม่กล้าเผชิญความเจ็บปวดของการผ่าตัด   จิตใจมีแต่ความกลัว แม้จะรู้ว่าความกลัวคือสิ่งที่เราปรุงแต่งขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง แต่ก็ยังขจัดความกลัวไม่ได้ครับ

กลับมาอยู่บ้านอีกสองปี  ก็ไม่เชิงว่าไม่ได้ไปไหนนะครับ  ยังได้ไปท่องเที่ยวต่างประเทศ ได้เดินห้าง ไปโน่นมานี่ แต่บทเจ้าริดสีดวงจะหลุดออกมาตอนไหนมันก็หลุด  กลางห้าง กลางถนน หรือกำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยง ถ้าหาห้องน้ำได้ก็โชคดีไป  แต่ถ้าแถวนั้นไม่มีห้องน้ำก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ผลคือปวด บวม และเจ็บมาก  เวลาเอากลับเข้าไปนี่ปวดมากครับ

สี่ปีแล้วที่ไม่ได้ออกกำลังอะไรเลย น้ำหนักขึ้น คิดในใจว่าถ้ามัวแต่กลัวอยู่อย่างนี้อาจมีโรคภัยไข้เจ็บอย่างอื่นตามมาจากการไม่ได้ออกกำลัง ทั้งหัวใจ ความดัน เบาหวาน  คิดให้ดีนะ ก็ขู่ ๆ ปลอบ ๆ ตัวเอง   ประกอบกับริดสีดวงกำเริบบ่อย  เวลากำเริบคือเดินสี่ห้าก้าวก็หลุดออกมาแล้ว   ดันกันหน้าเขียวหน้าเหลือง  สุดท้ายไม่ไหวจริง ๆ  พูดกับตัวเองว่าเอาไงเอากันเราต้องไปผ่าแล้วนะ  นึกถึงกอล์ฟเข้าไว้ เราจะได้กลับไปเล่นกอล์ฟ  เราจะได้กลับไปท่องเที่ยวในโลกกว้าง  อย่าให้พันธนาการของเจ้าริดสีดวงนี้มันกักขังเราไว้อีกเลย

เอาน่า วิธีดั้งเดิมนี่แหละ  จะเจ็บจะปวดอย่างไรก็คงดีกว่าวันที่เราปวดริดสีดวง ดีกว่าวันที่เราดันริดสีดวงเข้าหน้าเขียวหน้าเหลือง  และมันเป็นการเจ็บปวดที่ไม่มีสิ้นสุด  วิธีเดียวที่จะยุติมันได้คือยอมไปผ่าตัด  ก็ตกลงใจว่าผ่าแน่  ช่วงนั้นก็นอนไม่หลับเลยครับ ใจหวิว ๆ หวาดหวั่นทุกครั้งที่นึกถึงการผ่าตัด จินตนาการสารพัดมันเข้ามาหลอกหลอนตัวเองทั้งยามตื่นยามหลับ

สุดท้ายเมื่อไม่กี่วันมานี้รวบรวมความกล้าสุดชีวิต  กลับไปโรงพยาบาลเดิม แต่เปลี่ยนหมอ เวลาผ่านไปสองปีนับจากมาหาหมอครั้งแรกนะครับ  คราวนี้บอกหมอเลยว่าขอผ่า  หมอท่าทางใจดีกว่าหมอคนเดิมด้วย  พูดดี น่าไว้ใจว่าคงทำให้เราไม่เจ็บมาก
  
หมอบอกไม่เจ๊บ  ไม่ใช่ไม่เจ็บนะ  ไม่เจ๊บ  บล๊อกหลังสมัยนี้เข็มนิดเดียว พอบล็อกแล้วหมอจะให้ยานอนหลับเคลิ้ม ๆ  ไม่น่ากลัวหรอก  หลังผ่าหมอมียาแก้ปวดอย่างดี ไม่ปวดมาก  เรื่องอาการปัสสาวะไม่ออกหลังบล๊อกก็อาจมีได้แต่พบไม่บ่อยหรอก ผมบอกว่าปกติผมก็ปัสสาวะยากอยู่แล้วนะหมอ  ยืนหลายนาทีกว่าจะฉี่ออก จะมีผลทำให้เกิดอาการฉี่ไม่ออกหลังบล๊อกไหม หรือผมเป็นต่อมลูกหมากโตไหม   หมอถามว่าฉี่พุ่งไหมล่ะ  ผมบอกพุ่งนะหมอ เพียงแต่มันต้องตั้งท่านานหน่อยเท่านั้นเอง   หมอบอกว่า ถ้าฉี่พุ่งก็ไม่เป็นต่อมลูกหมากหรอก

เอาเป็นว่าผมกลั้นอกกลั้นใจนัดวันผ่าไปแล้ว  นับอีก 3 วันจากวันพบหมอ  ซึ่งก็คือวันศุกร์ที่ 25 ธ.ค. 2558 ซึ่งบังเอิญตรงกับคริสต์มาสพอดี  ซึ่งผมไม่สนใจเรื่องนั้น  อยากผ่าให้รู้แล้วรู้รอดไป  ยิ่งรอหลายวัน ใจก็จะยิ่งสร้างภาพมาหลอนตัวเองให้หวาดกลัวไปเรื่อย ๆ  สู้รีบทำเสียเมื่อใจยังฮึดนี่แหละดี  ผมเลือกวิธีบล็อกหลังครับ

แล้ววันผ่าตัดก็มาถึง หมอบอกให้งดน้ำงดอาหารหลังเที่ยงคืน  ให้มาโรงพยาบาลเวลา 8.00 น. เพื่อเตรียมตัว  เมื่อคืนผมนอนกระสับกระส่าย  แล้วเกิดเปลี่ยนใจ อยากผ่าโดยวางยาสลบเพราะเกิดกลัวเข็มบล็อกหลังขึ้นมา  กลัวฉีไม่ออกจะต้องสวนสายยาง  พอถึงโรงพยาบาลรีบบอกเจ้าหน้าที่ว่าขอเปลี่ยนเป็นวางยาสลบ  เจ้าหน้าที่ก็รับว่าจะบอกคุณหมอให้

จากนั้นก็เป็นขั้นตอนตรวจสุขภาพก่อนผ่าตัดเพราะอายุเกินสี่สิบแล้ว  เช่นวัดความดัน เอ็กซเรย์ปอด ตรวจคลื่นหัวใจ  เก็บปัสสาวะ และมาใส่เข็มที่ข้อมือ เจ็บจิ๊ดเดียว  พยาบาลมือเบามาก  เข็มเดียวคาไว้ตลอด จะเอาเลือดไปตรวจ จะใส่สายน้ำเกลือหรือฉีดยาอะไรก็ทำผ่านเข็มเล่มนี้ไม่ต้องเจ็บหลายครั้ง  จากนั้นก็ขึ้นไปรอในห้องนอน เปลี่ยนชุดเป็นชุดคนไข้ นอนใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่บนเตียง รอเวลาที่เขาจะมาเข็นเตียงเข้าห้องผ่าตัดในเวลา 10.30 น.   นี่ยังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมง   นอนรอเวลาไปเรื่อย ๆ ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่