พูดถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตตินี้มีปัญหามาก คือเขาอธิบายกันต่างๆ แล้วมีอธิบายกันอย่างหละหลวมกำกวม จนฟังได้ว่า เจโตวิมุตติ ก็หลุดพ้นด้วยอำนาจจิตล้วนๆ ปัญญาวิมุตติก็หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจปัญญาล้วนๆ อย่างนี้มันผิดหลัก หรือที่เราจะมองเห็นได้นั้น มันก็ผิดพระพุทธวจนะ ถ้าผมได้พูดไว้ที่ไหนว่ามีการ บรรลุมรรคผลได้ด้วยอำนาจปัญญาล้วนๆ แล้วละก็ ขอให้ถือว่าผิด แต่ไปค้นดูเถอะว่า ผมพูดไว้ที่ไหน ถ้าพูดไว้ที่ไหนมีพูดอย่างนั้นจริง ก็ขอให้ถือว่าพูดผิด เพราะว่าที่ถูกนั้น มีข้อเท็จจริงอยู่ว่า เจโตวิมุตติก็หลุดพ้นด้วยอำนาจจิต เป็นหลักสำคัญไม่ใช่ทั้งหมด ปัญญาวิมุตติก็หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญาเป็นส่วนสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ก็ทั้งจิตและทั้งปัญญานั้น ต้องมีอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีศีลอยู่โดยอัตโนมัติในจิตและปัญญานั้น แล้วมันก็ต้องหลุดพ้นด้วยทั้งศีล และสมาธิ และปัญญานั่นแหละ
แต่เดี๋ยวนี้ ทำไมไปแยก เรียกว่าเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ เพราะว่า บางคนเขามีความสามารถทำจิตให้เป็นสมาธิอย่างสูงสุด อย่างเกินความต้องการ แล้วก็หลุดพ้นกิเลสด้วยอำนาจปัญญา ซึ่งเป็นช้างเท้าหลัง ในกรณีนี้คือว่า เอากำลังจิตขึ้นเป็นเบื้องหน้า แต่กิเลสมันก็ขาดไปด้วยอำนาจของปัญญา คนโดยมาทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็เป็นพวกปัญญาวิมุตติ
พวกปัญญาวิมุตติ มีสมาธิพอสมควรซ่อนอยู่ในปัญญา อย่างไม่มองเห็นตัว ก็มีปัญญาเป็นเบื้องหน้า คือปัญญาตามแบบที่คนทั่วๆ ไปจะสร้างสมขึ้นมาได้ หมายความว่าอยู่ในโลกนาน ได้เห็นอะไรมาก มีความแก่หง่อมของปัญญา ก็พอมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างเด็ดขาด แต่ด้วยกำลังของสมาธิที่เพียงพอ พอเพียงเท่านั้น คือซ่อนอยู่พอดีกับปัญญา ไม่ล้นออกมาให้เห็น จึงมองไปในรูปว่าปัญญานี้เป็นเบื้องหน้า เป็นตัวการสำคัญของการบรรลุมรรคผลของคนประเภทนี้ ถึงแม้จะว่าบรรลุด้วยแบบสุกขวิปัสสก มันก็ด้วยปัญญาและก็ยังมีสมาธิอยู่ในขั้นตามสัดส่วน แต่ผู้ที่จะบรรลุได้อย่างสุกขวิปัสสก
ผมมองไม่เห็นว่า จะหลุดพ้นได้ด้วยอำนาจของปัญญา ล้วนๆ แต่ต้องมีสมาธิ อยู่โดยสัดส่วน ซ่อนอยู่ใต้ปัญญาพอดี แล้วมีศีลซ่อนอยู่ในนั้น อย่างไม่เห็นตัวด้วย แล้วสมาธิก็มี ปัญญาก็มี ศีลก็มี จะพูดกันแล้วก็ทั้ง ๓ พวกนั่นแหละ หรือทั้ง ๒ พวก คือทั้งอย่างเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ แต่ละพวกก็มีศีล สมาธิ ปัญญาในการบรรลุ แม้สุกขวิปัสสก ที่ว่าหย่อนกว่าใครแล้ว มันก็ยังมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่ยกเอามาเป็นเบื้องหน้า ไม่ยกเอามาเป็นเครื่องเชิดชู ไปเสียทั้งหมด
คนบางพวกเขา มีสมาธิเป็นเบื้องหน้า เรียกว่าเจโตวิมุตติ ถ้าจะพูดให้ฟังง่ายไม่ฟั่นเฝือก็ว่า เจโตวิมุตติ หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญาและกำลังจิตอันสูงสุด ปัญญาวิมุตติก็หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญา และด้วยอำนาจของสมาธิที่พอดีๆ ไม่แลบออกมาให้เห็น สุกขวิปัสสกก็หลุดพ้นด้วยอำนาจของปัญญา แล้วยิ่งจะมีอะไรน้อยไปกว่านั้นอีก แต่ก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แหละ
การหลุดพ้นมีด้วยปัญญาทั้งนั้น จะเป็นพวกไหน ถ้ามีการหลุดพ้น จะหลุดพ้นด้วยตัวปัญญา แล้ว นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์ เช่นสมาธิที่เป็นอุปกรณ์ เช่น ศีล เป็นอุปกรณ์ แล้วการตัดให้ขาดออกไป เราต้องถือเอาความคมนี้เป็นการตัดส่วนกำลังหรือน้ำหนัก หรืออุปกรณ์อื่นๆ นี้เรียกว่าอุปกรณ์ เพื่อให้ความคมทำหน้าที่ของมันสำเร็จ การตัดต้องตัดด้วยความคม การหลุดพ้นก็หลุดพ้นด้วยปัญญา ซึ่งเป็นความคม นอกนั้นเป็นอุปกรณ์แฝงอยู่เบื้องหลัง ตามสมควรแก่บุคคล ซึ่งมีอินทรีย์ มีนิสัย มีอะไรต่างๆ กัน ทุกคนไม่สามารถจะบรรลุด้วยแบบเจโตวิมุตติ แล้วอย่าลืมว่า แม้บรรลุด้วยเจโตวิมุตติก็มีปัญญาวิมุตติรวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะตัวปัญญานั้นเป็นตัวทำหน้าที่ตัด คำสอนหลังๆ มาใช้คำว่า สมถญาณิก วิปัสสนาญาณิกะ อันแรกมีสมถะแรงกว่าเป็นเบื้องหน้า อันหลังก็มีวิปัสสนาแรงกว่าเป็นเบื้องหน้า นี้ก็หลักเกณฑ์เดียวกับปัญญาวิมุตติเจโตวิมุตติ
พุทธทาสภิกขุ
เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุตติ - พุทธทาสภิกขุ
แต่เดี๋ยวนี้ ทำไมไปแยก เรียกว่าเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ เพราะว่า บางคนเขามีความสามารถทำจิตให้เป็นสมาธิอย่างสูงสุด อย่างเกินความต้องการ แล้วก็หลุดพ้นกิเลสด้วยอำนาจปัญญา ซึ่งเป็นช้างเท้าหลัง ในกรณีนี้คือว่า เอากำลังจิตขึ้นเป็นเบื้องหน้า แต่กิเลสมันก็ขาดไปด้วยอำนาจของปัญญา คนโดยมาทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็เป็นพวกปัญญาวิมุตติ
พวกปัญญาวิมุตติ มีสมาธิพอสมควรซ่อนอยู่ในปัญญา อย่างไม่มองเห็นตัว ก็มีปัญญาเป็นเบื้องหน้า คือปัญญาตามแบบที่คนทั่วๆ ไปจะสร้างสมขึ้นมาได้ หมายความว่าอยู่ในโลกนาน ได้เห็นอะไรมาก มีความแก่หง่อมของปัญญา ก็พอมองเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างเด็ดขาด แต่ด้วยกำลังของสมาธิที่เพียงพอ พอเพียงเท่านั้น คือซ่อนอยู่พอดีกับปัญญา ไม่ล้นออกมาให้เห็น จึงมองไปในรูปว่าปัญญานี้เป็นเบื้องหน้า เป็นตัวการสำคัญของการบรรลุมรรคผลของคนประเภทนี้ ถึงแม้จะว่าบรรลุด้วยแบบสุกขวิปัสสก มันก็ด้วยปัญญาและก็ยังมีสมาธิอยู่ในขั้นตามสัดส่วน แต่ผู้ที่จะบรรลุได้อย่างสุกขวิปัสสก
ผมมองไม่เห็นว่า จะหลุดพ้นได้ด้วยอำนาจของปัญญา ล้วนๆ แต่ต้องมีสมาธิ อยู่โดยสัดส่วน ซ่อนอยู่ใต้ปัญญาพอดี แล้วมีศีลซ่อนอยู่ในนั้น อย่างไม่เห็นตัวด้วย แล้วสมาธิก็มี ปัญญาก็มี ศีลก็มี จะพูดกันแล้วก็ทั้ง ๓ พวกนั่นแหละ หรือทั้ง ๒ พวก คือทั้งอย่างเจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ แต่ละพวกก็มีศีล สมาธิ ปัญญาในการบรรลุ แม้สุกขวิปัสสก ที่ว่าหย่อนกว่าใครแล้ว มันก็ยังมีทั้งศีล สมาธิ ปัญญา แต่ไม่ยกเอามาเป็นเบื้องหน้า ไม่ยกเอามาเป็นเครื่องเชิดชู ไปเสียทั้งหมด
คนบางพวกเขา มีสมาธิเป็นเบื้องหน้า เรียกว่าเจโตวิมุตติ ถ้าจะพูดให้ฟังง่ายไม่ฟั่นเฝือก็ว่า เจโตวิมุตติ หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญาและกำลังจิตอันสูงสุด ปัญญาวิมุตติก็หลุดพ้นด้วยอำนาจปัญญา และด้วยอำนาจของสมาธิที่พอดีๆ ไม่แลบออกมาให้เห็น สุกขวิปัสสกก็หลุดพ้นด้วยอำนาจของปัญญา แล้วยิ่งจะมีอะไรน้อยไปกว่านั้นอีก แต่ก็มี ศีล สมาธิ ปัญญา นี้แหละ
การหลุดพ้นมีด้วยปัญญาทั้งนั้น จะเป็นพวกไหน ถ้ามีการหลุดพ้น จะหลุดพ้นด้วยตัวปัญญา แล้ว นอกนั้นก็เป็นอุปกรณ์ เช่นสมาธิที่เป็นอุปกรณ์ เช่น ศีล เป็นอุปกรณ์ แล้วการตัดให้ขาดออกไป เราต้องถือเอาความคมนี้เป็นการตัดส่วนกำลังหรือน้ำหนัก หรืออุปกรณ์อื่นๆ นี้เรียกว่าอุปกรณ์ เพื่อให้ความคมทำหน้าที่ของมันสำเร็จ การตัดต้องตัดด้วยความคม การหลุดพ้นก็หลุดพ้นด้วยปัญญา ซึ่งเป็นความคม นอกนั้นเป็นอุปกรณ์แฝงอยู่เบื้องหลัง ตามสมควรแก่บุคคล ซึ่งมีอินทรีย์ มีนิสัย มีอะไรต่างๆ กัน ทุกคนไม่สามารถจะบรรลุด้วยแบบเจโตวิมุตติ แล้วอย่าลืมว่า แม้บรรลุด้วยเจโตวิมุตติก็มีปัญญาวิมุตติรวมอยู่ในนั้นด้วย เพราะตัวปัญญานั้นเป็นตัวทำหน้าที่ตัด คำสอนหลังๆ มาใช้คำว่า สมถญาณิก วิปัสสนาญาณิกะ อันแรกมีสมถะแรงกว่าเป็นเบื้องหน้า อันหลังก็มีวิปัสสนาแรงกว่าเป็นเบื้องหน้า นี้ก็หลักเกณฑ์เดียวกับปัญญาวิมุตติเจโตวิมุตติ
พุทธทาสภิกขุ