เนื่องจากวันนี้จะเป็นคืนก่อนคริสต์มาส ก็เลยอยากจะทำอะไรซักอย่างเป็นของขวัญให้ตัวเองบ้าง แต่ก็อยากจะให้มันมีประโยชน์กับคนอื่นด้วย คิดว่าเขียนเรื่องอะไรที่มันเกี่ยวกับสุขภาพน่าจะดี รีวิวสตูดิโอโยคะที่เคยไปเล่นมาในรอบสิบปีละกัน เอาไว้เป็นข้อมุลให้ชาวพันทิปได้เอาไว้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ
เริ่มเรื่องก่อนเลยว่า เราเริ่มฝึกโยคะมาตั้งแต่ปี 2006 ปีหน้าก็จะครบสิบปีแล้ว เหตุผลที่ไปฝึกตอนนั้นคือ อยากเป็นครูสอนโยคะ ทั้งๆที่ไม่เคยเล่นโยคะมาก่อนเลย แต่เห็นป้าจิ๊ ออกทีวีพูดถึงการเป็นครูสอนโยคะว่ามันดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ เป็นอาชีพที่ทำได้จนแก่ตายกันไปข้างนึงเลย
ตอนนั้น เราไม่ได้ทำงานประจำนะ ก็รู้สึกว่าอยากจะหางานที่มันไม่บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจ ทำแล้วมีความสุข ร่างกายแข็งแรง รายได้ดี มองโลกสวยมาก 555
หลังจากได้แรงบันดาลใจจากป้าจิ๊ ซึ่งตอนนั้นเริ่มสอนที่ absolute yoga เราก็เริ่มหาข้อมูลว่าป้าแกไปเป็นครูสอนโยคะได้ยังไง จากการอ่านสัมภาษณ์ได้ความว่า แกไปเล่นบ่อยๆจนเค้าชวน แต่เราคิดว่า ถ้าเป็นเรา คงไม่มีใครชวนแหงๆ เราเลยเริ่มหาวิธีอื่นแทน เราเริ่มหาว่าที่ไหนมีการสอนให้เป็นครูสอนโยคะบ้าง ใช้กูเกิ้ล มีออกมาสองที่คือ yoga elements ตรงชิดลม และ หฐราชาโยคะศรมที่โรงแรมเอเชีย
หลังจากดูข้อมูลของทั้งสองที่แล้ว เราก็เลือกไปที่ yoga elements ด้วยเหตุผลที่ว่า มีใบรับรองที่ใช้ได้ทั่วโลกของ yoga alliance ไม่เกี่ยวกับว่าครูที่ไหนจะเก่งกว่ากันนะ เพราะดูจากโปรไฟล์ของครูทั้งสองที่ ก็สุดๆน่ะ เก่งโคตร
เราไปถึง yoga element แล้วบอกเค้าว่าอยากเรียนเป็นครู ตอนนั้นค่าเรียน teacher training อยู่ที่ ห้าหมื่นกว่าๆ เทียบกับตอนนี้เรียกว่าถูกมากกกกก แต่...เค้าถามว่า เคยเล่นโยคะมาก่อนมั้ย จะเรียนเป็นครูต้องฝึกมาอย่างน้อยปีนึง ต้องทำ head stand ได้ก่อนถึงจะเรียนได้ เราถึงกับอึ้งไป แล้วจะยังไงต่อไปล่ะ น้องที่เคาท์เตอร์บอก งั้นพี่ลองมาเล่นก่อนมั้ย ดูว่าเล่นแล้วชอบจริงรึเปล่า ถ้าชอบจริง อาจจะลองคุยกับครูว่าอยากเรียนเป็นครูอีกทีนึง เราก็ เอาวะ มาถึงที่แล้ว ก็เลยสมัครแพคเกจไป หกเดือน unlimited
สรุป สตูดิโอแรกที่เราเริ่มฝึกก็คือ ที่ yoga elements นั่นเอง ที่นี่ เจ้าสำนักคือ Adrian Cox ซึ่งเราคิดว่า เป็นครูสอนโยคะที่เก่งที่สุดคนนึง ที่เราเคยฝึกด้วย Adrian ไม่ได้เก่งในแง่ของการทำท่าอาสนะกว่าคนอื่นเลย ร่างกายเขาค่อนข้างแข็งตึงแบบฝรั่งทั่วๆไปนั่นแหละ แต่สิ่งที่ Adrian เก่งมาก คือเขาสอนให้เราทำท่าต่างๆได้ถึงขีดสุดตามแต่ร่างกายของแต่ละคนจะไปได้จริงๆ โดยที่ไม่สร้างความพังให้กับร่างกายตัวเอง
นอกจาก Adrian ก็ยังมี Cerissa ครูสาวหุ่นดี พูดไทยแข็งแรงเว่อร์ เราชอบคลาสของ Cerissa เพราะเธออธิบายรายละเอียดของการทำท่าต่างๆได้เคลียร์มาก ไม่ใช่แค่การทำท่า แต่ลงลึกถึงเหตุผลต่างๆว่า ทำไมต้องแบบนั้นแบบนี้ มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามเป็นภาษาไทยได้เลย
ครูอีกคนที่เราชอบเรียนด้วยคือ ครูสมชาย ซึ่งตอนนี้แกไปอยู่ที่ absolute yoga แล้ว เราชอบคลาสครูสมชายเพราะ แกมีอาสนะระดับมหัศจรรย์มาโชว์ให้นักเรียนได้อ้าปากค้างกันบ่อยๆ เรียกว่าเห็นแล้วก็ได้แต่นั่งดูว่า ทำได้ไงนะ แต่การได้เห็นท่ายากๆ สำหรับนักเรียนใหม่นี่มันเป็นแรงบันดาลใจได้ดีนะ แบบว่า เฮ้ยยย อยากทำได้บ้าง จริงๆแล้ว ที่ yoga elements มีครูอีกหลายคน แต่หลักๆที่เราฝึกด้วยในตอนนั้นก็มีสามคนนี่แหละ เราฝึกอยู่ที่นี่ไปอีกสองปี ก็ยังไม่ได้เรียนเป็นครูเลย เพราะพอเรายิ่งฝึกไปเรื่อยๆ ก็รู้ตัวเองแหละ ว่ายังไม่พร้อมที่จะเป็นครู Adrian เคยบอกเราว่า จะเป็นครูได้จริงๆอย่างน้อยก็ควรจะฝึกมาซักสองสามปี ถ้าจะให้ดี ห้าปีขึ้นไปเลย แต่บางทีคนที่อยากจะเรียน teacher training ก็ไม่ได้อยากเป็นครูทุกคนหรอก บางคนก็อยากเรียนเพราะอยากรู้และเข้าใจโยคะให้ลึกซึ้งขึ้น
ตอนนั้นเราอยากเป็นครูโยคะแบบจริงจังมาก ก็เลยคิดว่าฝึกไปก่อน เอาแบบรู้สึกว่าพร้อมแล้วค่อยมาเรียนก็ไม่เห็นเป็นไร แต่....นั่นคือความพลาดครั้งใหญ่มาก สำหรับเรา เพราะ ค่าเรียนจากปีแรกที่ฝึก อยู่ที่ห้าหมื่นกว่า ปีต่อมาเพิ่มขึ้นมาเป็น หกหมื่นกว่า เราก็รู้สึกว่าแพงกว่านิดหน่อย คงขึ้นตามค่าครองชีพแหละ แต่พอขึ้นปีที่สามของการฝึก ค่าเรียน teacher training โดดขึ้นไปเกือบแสนบาท และเกินแสนในปีต่อมา สรุปเราฝึกจนคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะเรียนแล้ว แต่กระเป๋าตังไม่พร้อมซะแล้ว
ความคิดที่จะเรียน teacher training แล้วไปหางานเป็นครูจบลงชั่วคราว เหลือทางเลือกทางเดียวคือ ต้องเล่นไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีใครมาชวนให้เป็นครูแบบที่ป้าจิ๊เล่าให้ฟัง เราถามครูว่า ที่นี่เค้าจะรับครูเพิ่มมั้ย ครูบอกว่ายาก เพราะครูประจำก็เยอะอยู่แล้ว ถ้าอยากเป็นจริงๆให้ไปเรียนกับโรงเรียนที่มีสตูดิโอรองรับหลายๆสาขา ซึ่งตอนนั้น ก็คงมีแค่ absolute yoga เท่านั้น แต่ค่าเรียนของ absolute yoga ตอนนั้น แพงมหาศาลมากเพราะต้องไปเรียนที่สมุย สรุปตัดทางเลือกนี้ทิ้งไป
เราไม่เหลือทางเลือกอื่นนะ วิธีที่พอทำได้คือ เดินสายไปเล่นตามที่ต่างๆเผื่อว่าจะมีใครเห็นแววบ้าง เราเดินสายเล่นโยคะไปตามที่ต่างๆหลายแห่ง แต่ไม่มีใครเห็นแววเลย จนความอยากเป็นครูก็ค่อยๆเลือนหายไป เหลือแค่ความอยากเล่นโยคะเพื่อประโยชน์ในเรื่องสุขภาพกายและใจเท่านั้น
จากนี้ไปเราจะรีวิว สตูดิโอโยคะที่เราเคยไปเล่นมาหลังจากที่ฝึกกับ yoga elements ผ่านไปสามปี
Absolute yoga:
ที่นี่มีโยคะร้อนเป็นหลัก แต่ก็มีโยคะแบบอื่นๆด้วย ตอนหลังนี่ก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามา นอกเหนือจากโยคะ
เราจะสรุปรวมๆละกันนะ คลาสวินยาสะ ของ absolute นี่ค่อนข้างง่ายกว่า yoga elements แต่อาจจะเหนื่อยหนักกว่าในบางครั้ง เพราะ absolute ยังเน้นท่าพื้นฐาน ค้างท่านาน ทำให้เหนื่อยมาก เรียกว่า ใครที่อยากจะลดน้ำหนัก ก็จะชอบ absolute yoga เพราะเล่นแล้วเหงื่อโชกมาก ทั้งๆที่ท่าก็ไม่ได้ยากอะไรนะ ซึ่งจริงๆมันก็ดีนะ ท่าง่าย ไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ แต่บางทีก็น่าเบื่อสำหรับคนที่อยากจะเจออะไรที่มันท้าทายมากๆน่ะ
ส่วนครูที่ absolute yoga นี่ต้องดูเป็นคนๆไปนะ เนื่องจากที่นี่ มีครูบางส่วนที่มาจากโรงเรียนของสตูดิโอเอง ซึ่งเน้นโยคะร้อนเป็นหลัก วิธีการสอนก็จะมีสไตล์ชัดเจน ซึ่งสำหรับเรา ค่อนข้างน่าเบื่อน่ะ เพราะเราชอบท่าที่มีการบิดตัวเยอะๆ แต่ซีรี่ย์ของ absolute มีท่าบิดตัวน้อยมาก เมื่อเทียบกับท่าอื่นๆ
ส่วนครูที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากโรงเรียนของ absolute ที่เราชอบก็มี Luke กับ Peter และครูมน ทั้งสามคนนี่ มีสไตล์ต่างกันชัดเจน Luke สอนบนพื้นฐานของ Ashtanga ชัดเจน ส่วน Peter ก็มีการผสมผสานหลายอย่าง แต่จุดเด่นคือ เหนื่อยมาก วันไหนอยากระบายอารมณ์ อยากเจอแบบหนักๆ เชิญคลาส Peter ได้เลย ส่วนคลาสครูมน เป็นอะไรที่เน้นการเหยียด ยืดแบบสุดๆ วันไหนเมื่อยๆนี่ขอเชิญ
สรุปข้อดีของ absolute คือสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมที่สุด ห้องน้ำกว้างขวาง เล่นเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวไปเที่ยวต่อได้เลย
ส่วนข้อเสีย คือ ต้องเลือกครูนะ เพราะที่นี่มีครูเยอะมาก ต้องหาแบบที่เราชอบให้เจอน่ะ
ที่ต่อไป pure suthee yoga :
หลังจากเบื่อๆกับ absolute ก็ไปลองหาที่ใหม่ดูบ้าง เริ่มไปเล่นกับครูสุธีตั้งแต่ยังอยู่ที่สีลม ตอนนี้แกย้ายไปทองหล่อแล้ว สำหรับที่นี่ เน้นแบบ hatha yoga ไม่ flow นะ สำหรับครูสุธีนี่ เราว่าแกเก่งมากนะ ฝึกเอง บอดี้เหมาะกับโยคะมาก สอนก็ดีนะ แต่ไม่ใช่แนวเราน่ะ เล่นแล้วมันไม่ค่อยเหนื่อย ไม่เสียเหงื่อ รู้สึกไม่ได้ระบายเท่าไหร่ เราว่าสไตล์แกเหมาะกับคนชอบเหยียดๆยืดๆ ซอฟๆเล่นเพื่อผ่อนคลายเบาๆ น่ะ พวกบ้าพลังนี่มองข้ามไปเลย
เราเล่นที่นี่แค่เดือนเดียวเพราะตอนมีโปรไม่จำกัด สองพัน หนึ่งเดือน ก็ลองเล่นดู แต่ไม่ใช่แนวน่ะ
ข้อเสียหลักๆตอนที่อยู่ที่สีลมคือ ไม่มีห้องอาบน้ำ ที่จอดรถแพง รถติด เราเป็นคนที่ออกกำลังกายเสร็จแล้วอยากอาบน้ำเลยน่ะ ให้แช่เหงื่อกลับบ้านนี่ ไม่ไหวน่ะ
ที่ต่อไป lullaby yoga :
เราไปเล่นที่นี่เพราะมีโปรน่าสนใจน่ะ เรียกว่า หลังๆนี่ ที่ไหนโปรดี เราก็ไปน่ะ ช่วงแรกๆที่ Lullaby เพิ่งเปิด ครูที่นี่แทบจะยกมาจาก yoga elements กันเลย เพราะฉะนั้น สไตล์ก็แทบจะเหมือนกันเลย จนระยะหลัง lullaby yoga มี teacher training ของตัวเอง ก็เริ่มใช้ครูจากโรงเรียนของตัวเองมากขึ้น แต่ครูหลักๆที่เราเล่นด้วยบ่อยๆก็มีแค่ Mark ที่ย้ายจาก yoga elements มาประจำการอยู่ที่นี่ และ Cerissa ที่แวบมาสอนที่นี่บ้าง และอีกคนที่น่าสนใจมากคือ ครูนว ครั้งแรกที่เราเจอครูนว คือนางกำลังขึ้น Hand stand อยู่ในห้องแบบไม่ต้องใช้กำแพงนะ คือ เราฝึกมาหลายปี ไม่เคยเจอครูผู้หญิงคนไหนที่ขึ้น hand stand แบบไม่ต้องใช้ตัวช่วยแบบนี้เลยนะ ครูนวนี่ต้องเรียกว่าเป็นสายโหดของที่นี่เลย เป็นครูผู้หญิงไทยไม่กี่คนที่เป็น authorized teacher ของ Ashtanga yoga
สรุปสไตล์หลักของที่นี่ก็คือ วินยาสะ ผสมกับ ashtanga เหมือนกับ yoga elements นั่นแหละ แต่ข้อเสียของทีนี่คือ มันเป็นคลาสหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ yoga elements เป็นคลาสชั่วโมงครึ่ง ซึ่งสำหรับเราแล้ว คลาสหนึ่งชั่วโมงมันน้อยไปน่ะ ไม่ใช่ว่าแค่หนึ่งชั่วโมง จะไม่เหนื่อยนะ สอนหนักๆมันก็เหนื่อย แต่เราว่ามันไม่ครอบคลุมการเคลื่อนไหวของร่างกายในทุกทิศทางน่ะ เพราะเราเชื่อว่า สำหรับการฝึกในแต่ละครั้ง ควรจะฝึกท่ายืน สำหรับการอบอุ่นร่างกายให้พร้อม ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ท่ายืนเกือบทั้งหมดก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ท่านั่งพื้นฐานที่เป็นการพับตัว บิดตัว เปิดสะโพก รวมๆกันก็หมดไปอีกครึ่งชั่วโมง สรุปหมดไปแล้วชั่วโมงนึง ถ้าเป็นคลาสชั่วโมงครึ่ง เราก็จะได้ใช้เวลากับท่าที่ยากขึ้น ลึกขึ้นได้ แต่พอเป็นคลาสหนึ่งชั่วโมง มันทำให้ต้องตัดท่าพื้นฐานในท่ายืน และท่านั่งหลายท่าออกไป พอจะถึงท่ายากของคลาส บางทีร่างกายมันวอร์มไม่พอสำหรับบางคนน่ะ อย่างท่าหนุมาน ฉีกขาเนี่ย สำหรับเรา ต้องวอร์มไปซักชั่วโมงนึงเลย ถึงจะทำได้ แต่พอลงคลาสหนึ่งชั่วโมง เวลามันไม่พอ ทำไม่ได้เลย แต่ในคลาสชั่วโมงครึ่งนี่ทำได้นะ เพราะร่างกายมันเหยียดยืดจนเลือดมันฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อจนมันร้อนพอที่จะทำท่าได้แล้วน่ะ
ข้อเสียอีกอย่างนึงคือ ห้องน้ำชายคับแคบและวุ่นวายมาก ใครเคยไปคงนึกภาพออกนะ 555
มีต่อนะ >>>
[CR] รีวิวสตูดิโอโยคะที่ฝึกมาในรอบสิบปี
เริ่มเรื่องก่อนเลยว่า เราเริ่มฝึกโยคะมาตั้งแต่ปี 2006 ปีหน้าก็จะครบสิบปีแล้ว เหตุผลที่ไปฝึกตอนนั้นคือ อยากเป็นครูสอนโยคะ ทั้งๆที่ไม่เคยเล่นโยคะมาก่อนเลย แต่เห็นป้าจิ๊ ออกทีวีพูดถึงการเป็นครูสอนโยคะว่ามันดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้ เป็นอาชีพที่ทำได้จนแก่ตายกันไปข้างนึงเลย
ตอนนั้น เราไม่ได้ทำงานประจำนะ ก็รู้สึกว่าอยากจะหางานที่มันไม่บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจ ทำแล้วมีความสุข ร่างกายแข็งแรง รายได้ดี มองโลกสวยมาก 555
หลังจากได้แรงบันดาลใจจากป้าจิ๊ ซึ่งตอนนั้นเริ่มสอนที่ absolute yoga เราก็เริ่มหาข้อมูลว่าป้าแกไปเป็นครูสอนโยคะได้ยังไง จากการอ่านสัมภาษณ์ได้ความว่า แกไปเล่นบ่อยๆจนเค้าชวน แต่เราคิดว่า ถ้าเป็นเรา คงไม่มีใครชวนแหงๆ เราเลยเริ่มหาวิธีอื่นแทน เราเริ่มหาว่าที่ไหนมีการสอนให้เป็นครูสอนโยคะบ้าง ใช้กูเกิ้ล มีออกมาสองที่คือ yoga elements ตรงชิดลม และ หฐราชาโยคะศรมที่โรงแรมเอเชีย
หลังจากดูข้อมูลของทั้งสองที่แล้ว เราก็เลือกไปที่ yoga elements ด้วยเหตุผลที่ว่า มีใบรับรองที่ใช้ได้ทั่วโลกของ yoga alliance ไม่เกี่ยวกับว่าครูที่ไหนจะเก่งกว่ากันนะ เพราะดูจากโปรไฟล์ของครูทั้งสองที่ ก็สุดๆน่ะ เก่งโคตร
เราไปถึง yoga element แล้วบอกเค้าว่าอยากเรียนเป็นครู ตอนนั้นค่าเรียน teacher training อยู่ที่ ห้าหมื่นกว่าๆ เทียบกับตอนนี้เรียกว่าถูกมากกกกก แต่...เค้าถามว่า เคยเล่นโยคะมาก่อนมั้ย จะเรียนเป็นครูต้องฝึกมาอย่างน้อยปีนึง ต้องทำ head stand ได้ก่อนถึงจะเรียนได้ เราถึงกับอึ้งไป แล้วจะยังไงต่อไปล่ะ น้องที่เคาท์เตอร์บอก งั้นพี่ลองมาเล่นก่อนมั้ย ดูว่าเล่นแล้วชอบจริงรึเปล่า ถ้าชอบจริง อาจจะลองคุยกับครูว่าอยากเรียนเป็นครูอีกทีนึง เราก็ เอาวะ มาถึงที่แล้ว ก็เลยสมัครแพคเกจไป หกเดือน unlimited
สรุป สตูดิโอแรกที่เราเริ่มฝึกก็คือ ที่ yoga elements นั่นเอง ที่นี่ เจ้าสำนักคือ Adrian Cox ซึ่งเราคิดว่า เป็นครูสอนโยคะที่เก่งที่สุดคนนึง ที่เราเคยฝึกด้วย Adrian ไม่ได้เก่งในแง่ของการทำท่าอาสนะกว่าคนอื่นเลย ร่างกายเขาค่อนข้างแข็งตึงแบบฝรั่งทั่วๆไปนั่นแหละ แต่สิ่งที่ Adrian เก่งมาก คือเขาสอนให้เราทำท่าต่างๆได้ถึงขีดสุดตามแต่ร่างกายของแต่ละคนจะไปได้จริงๆ โดยที่ไม่สร้างความพังให้กับร่างกายตัวเอง
นอกจาก Adrian ก็ยังมี Cerissa ครูสาวหุ่นดี พูดไทยแข็งแรงเว่อร์ เราชอบคลาสของ Cerissa เพราะเธออธิบายรายละเอียดของการทำท่าต่างๆได้เคลียร์มาก ไม่ใช่แค่การทำท่า แต่ลงลึกถึงเหตุผลต่างๆว่า ทำไมต้องแบบนั้นแบบนี้ มีอะไรไม่เข้าใจก็ถามเป็นภาษาไทยได้เลย
ครูอีกคนที่เราชอบเรียนด้วยคือ ครูสมชาย ซึ่งตอนนี้แกไปอยู่ที่ absolute yoga แล้ว เราชอบคลาสครูสมชายเพราะ แกมีอาสนะระดับมหัศจรรย์มาโชว์ให้นักเรียนได้อ้าปากค้างกันบ่อยๆ เรียกว่าเห็นแล้วก็ได้แต่นั่งดูว่า ทำได้ไงนะ แต่การได้เห็นท่ายากๆ สำหรับนักเรียนใหม่นี่มันเป็นแรงบันดาลใจได้ดีนะ แบบว่า เฮ้ยยย อยากทำได้บ้าง จริงๆแล้ว ที่ yoga elements มีครูอีกหลายคน แต่หลักๆที่เราฝึกด้วยในตอนนั้นก็มีสามคนนี่แหละ เราฝึกอยู่ที่นี่ไปอีกสองปี ก็ยังไม่ได้เรียนเป็นครูเลย เพราะพอเรายิ่งฝึกไปเรื่อยๆ ก็รู้ตัวเองแหละ ว่ายังไม่พร้อมที่จะเป็นครู Adrian เคยบอกเราว่า จะเป็นครูได้จริงๆอย่างน้อยก็ควรจะฝึกมาซักสองสามปี ถ้าจะให้ดี ห้าปีขึ้นไปเลย แต่บางทีคนที่อยากจะเรียน teacher training ก็ไม่ได้อยากเป็นครูทุกคนหรอก บางคนก็อยากเรียนเพราะอยากรู้และเข้าใจโยคะให้ลึกซึ้งขึ้น
ตอนนั้นเราอยากเป็นครูโยคะแบบจริงจังมาก ก็เลยคิดว่าฝึกไปก่อน เอาแบบรู้สึกว่าพร้อมแล้วค่อยมาเรียนก็ไม่เห็นเป็นไร แต่....นั่นคือความพลาดครั้งใหญ่มาก สำหรับเรา เพราะ ค่าเรียนจากปีแรกที่ฝึก อยู่ที่ห้าหมื่นกว่า ปีต่อมาเพิ่มขึ้นมาเป็น หกหมื่นกว่า เราก็รู้สึกว่าแพงกว่านิดหน่อย คงขึ้นตามค่าครองชีพแหละ แต่พอขึ้นปีที่สามของการฝึก ค่าเรียน teacher training โดดขึ้นไปเกือบแสนบาท และเกินแสนในปีต่อมา สรุปเราฝึกจนคิดว่าตัวเองพร้อมที่จะเรียนแล้ว แต่กระเป๋าตังไม่พร้อมซะแล้ว
ความคิดที่จะเรียน teacher training แล้วไปหางานเป็นครูจบลงชั่วคราว เหลือทางเลือกทางเดียวคือ ต้องเล่นไปเรื่อยๆจนกว่าจะมีใครมาชวนให้เป็นครูแบบที่ป้าจิ๊เล่าให้ฟัง เราถามครูว่า ที่นี่เค้าจะรับครูเพิ่มมั้ย ครูบอกว่ายาก เพราะครูประจำก็เยอะอยู่แล้ว ถ้าอยากเป็นจริงๆให้ไปเรียนกับโรงเรียนที่มีสตูดิโอรองรับหลายๆสาขา ซึ่งตอนนั้น ก็คงมีแค่ absolute yoga เท่านั้น แต่ค่าเรียนของ absolute yoga ตอนนั้น แพงมหาศาลมากเพราะต้องไปเรียนที่สมุย สรุปตัดทางเลือกนี้ทิ้งไป
เราไม่เหลือทางเลือกอื่นนะ วิธีที่พอทำได้คือ เดินสายไปเล่นตามที่ต่างๆเผื่อว่าจะมีใครเห็นแววบ้าง เราเดินสายเล่นโยคะไปตามที่ต่างๆหลายแห่ง แต่ไม่มีใครเห็นแววเลย จนความอยากเป็นครูก็ค่อยๆเลือนหายไป เหลือแค่ความอยากเล่นโยคะเพื่อประโยชน์ในเรื่องสุขภาพกายและใจเท่านั้น
จากนี้ไปเราจะรีวิว สตูดิโอโยคะที่เราเคยไปเล่นมาหลังจากที่ฝึกกับ yoga elements ผ่านไปสามปี
Absolute yoga:
ที่นี่มีโยคะร้อนเป็นหลัก แต่ก็มีโยคะแบบอื่นๆด้วย ตอนหลังนี่ก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามา นอกเหนือจากโยคะ
เราจะสรุปรวมๆละกันนะ คลาสวินยาสะ ของ absolute นี่ค่อนข้างง่ายกว่า yoga elements แต่อาจจะเหนื่อยหนักกว่าในบางครั้ง เพราะ absolute ยังเน้นท่าพื้นฐาน ค้างท่านาน ทำให้เหนื่อยมาก เรียกว่า ใครที่อยากจะลดน้ำหนัก ก็จะชอบ absolute yoga เพราะเล่นแล้วเหงื่อโชกมาก ทั้งๆที่ท่าก็ไม่ได้ยากอะไรนะ ซึ่งจริงๆมันก็ดีนะ ท่าง่าย ไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ แต่บางทีก็น่าเบื่อสำหรับคนที่อยากจะเจออะไรที่มันท้าทายมากๆน่ะ
ส่วนครูที่ absolute yoga นี่ต้องดูเป็นคนๆไปนะ เนื่องจากที่นี่ มีครูบางส่วนที่มาจากโรงเรียนของสตูดิโอเอง ซึ่งเน้นโยคะร้อนเป็นหลัก วิธีการสอนก็จะมีสไตล์ชัดเจน ซึ่งสำหรับเรา ค่อนข้างน่าเบื่อน่ะ เพราะเราชอบท่าที่มีการบิดตัวเยอะๆ แต่ซีรี่ย์ของ absolute มีท่าบิดตัวน้อยมาก เมื่อเทียบกับท่าอื่นๆ
ส่วนครูที่ไม่ได้มีพื้นฐานมาจากโรงเรียนของ absolute ที่เราชอบก็มี Luke กับ Peter และครูมน ทั้งสามคนนี่ มีสไตล์ต่างกันชัดเจน Luke สอนบนพื้นฐานของ Ashtanga ชัดเจน ส่วน Peter ก็มีการผสมผสานหลายอย่าง แต่จุดเด่นคือ เหนื่อยมาก วันไหนอยากระบายอารมณ์ อยากเจอแบบหนักๆ เชิญคลาส Peter ได้เลย ส่วนคลาสครูมน เป็นอะไรที่เน้นการเหยียด ยืดแบบสุดๆ วันไหนเมื่อยๆนี่ขอเชิญ
สรุปข้อดีของ absolute คือสิ่งอำนวยความสะดวกเพียบพร้อมที่สุด ห้องน้ำกว้างขวาง เล่นเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวไปเที่ยวต่อได้เลย
ส่วนข้อเสีย คือ ต้องเลือกครูนะ เพราะที่นี่มีครูเยอะมาก ต้องหาแบบที่เราชอบให้เจอน่ะ
ที่ต่อไป pure suthee yoga :
หลังจากเบื่อๆกับ absolute ก็ไปลองหาที่ใหม่ดูบ้าง เริ่มไปเล่นกับครูสุธีตั้งแต่ยังอยู่ที่สีลม ตอนนี้แกย้ายไปทองหล่อแล้ว สำหรับที่นี่ เน้นแบบ hatha yoga ไม่ flow นะ สำหรับครูสุธีนี่ เราว่าแกเก่งมากนะ ฝึกเอง บอดี้เหมาะกับโยคะมาก สอนก็ดีนะ แต่ไม่ใช่แนวเราน่ะ เล่นแล้วมันไม่ค่อยเหนื่อย ไม่เสียเหงื่อ รู้สึกไม่ได้ระบายเท่าไหร่ เราว่าสไตล์แกเหมาะกับคนชอบเหยียดๆยืดๆ ซอฟๆเล่นเพื่อผ่อนคลายเบาๆ น่ะ พวกบ้าพลังนี่มองข้ามไปเลย
เราเล่นที่นี่แค่เดือนเดียวเพราะตอนมีโปรไม่จำกัด สองพัน หนึ่งเดือน ก็ลองเล่นดู แต่ไม่ใช่แนวน่ะ
ข้อเสียหลักๆตอนที่อยู่ที่สีลมคือ ไม่มีห้องอาบน้ำ ที่จอดรถแพง รถติด เราเป็นคนที่ออกกำลังกายเสร็จแล้วอยากอาบน้ำเลยน่ะ ให้แช่เหงื่อกลับบ้านนี่ ไม่ไหวน่ะ
ที่ต่อไป lullaby yoga :
เราไปเล่นที่นี่เพราะมีโปรน่าสนใจน่ะ เรียกว่า หลังๆนี่ ที่ไหนโปรดี เราก็ไปน่ะ ช่วงแรกๆที่ Lullaby เพิ่งเปิด ครูที่นี่แทบจะยกมาจาก yoga elements กันเลย เพราะฉะนั้น สไตล์ก็แทบจะเหมือนกันเลย จนระยะหลัง lullaby yoga มี teacher training ของตัวเอง ก็เริ่มใช้ครูจากโรงเรียนของตัวเองมากขึ้น แต่ครูหลักๆที่เราเล่นด้วยบ่อยๆก็มีแค่ Mark ที่ย้ายจาก yoga elements มาประจำการอยู่ที่นี่ และ Cerissa ที่แวบมาสอนที่นี่บ้าง และอีกคนที่น่าสนใจมากคือ ครูนว ครั้งแรกที่เราเจอครูนว คือนางกำลังขึ้น Hand stand อยู่ในห้องแบบไม่ต้องใช้กำแพงนะ คือ เราฝึกมาหลายปี ไม่เคยเจอครูผู้หญิงคนไหนที่ขึ้น hand stand แบบไม่ต้องใช้ตัวช่วยแบบนี้เลยนะ ครูนวนี่ต้องเรียกว่าเป็นสายโหดของที่นี่เลย เป็นครูผู้หญิงไทยไม่กี่คนที่เป็น authorized teacher ของ Ashtanga yoga
สรุปสไตล์หลักของที่นี่ก็คือ วินยาสะ ผสมกับ ashtanga เหมือนกับ yoga elements นั่นแหละ แต่ข้อเสียของทีนี่คือ มันเป็นคลาสหนึ่งชั่วโมง ในขณะที่ yoga elements เป็นคลาสชั่วโมงครึ่ง ซึ่งสำหรับเราแล้ว คลาสหนึ่งชั่วโมงมันน้อยไปน่ะ ไม่ใช่ว่าแค่หนึ่งชั่วโมง จะไม่เหนื่อยนะ สอนหนักๆมันก็เหนื่อย แต่เราว่ามันไม่ครอบคลุมการเคลื่อนไหวของร่างกายในทุกทิศทางน่ะ เพราะเราเชื่อว่า สำหรับการฝึกในแต่ละครั้ง ควรจะฝึกท่ายืน สำหรับการอบอุ่นร่างกายให้พร้อม ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว ท่ายืนเกือบทั้งหมดก็กินเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ท่านั่งพื้นฐานที่เป็นการพับตัว บิดตัว เปิดสะโพก รวมๆกันก็หมดไปอีกครึ่งชั่วโมง สรุปหมดไปแล้วชั่วโมงนึง ถ้าเป็นคลาสชั่วโมงครึ่ง เราก็จะได้ใช้เวลากับท่าที่ยากขึ้น ลึกขึ้นได้ แต่พอเป็นคลาสหนึ่งชั่วโมง มันทำให้ต้องตัดท่าพื้นฐานในท่ายืน และท่านั่งหลายท่าออกไป พอจะถึงท่ายากของคลาส บางทีร่างกายมันวอร์มไม่พอสำหรับบางคนน่ะ อย่างท่าหนุมาน ฉีกขาเนี่ย สำหรับเรา ต้องวอร์มไปซักชั่วโมงนึงเลย ถึงจะทำได้ แต่พอลงคลาสหนึ่งชั่วโมง เวลามันไม่พอ ทำไม่ได้เลย แต่ในคลาสชั่วโมงครึ่งนี่ทำได้นะ เพราะร่างกายมันเหยียดยืดจนเลือดมันฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อจนมันร้อนพอที่จะทำท่าได้แล้วน่ะ
ข้อเสียอีกอย่างนึงคือ ห้องน้ำชายคับแคบและวุ่นวายมาก ใครเคยไปคงนึกภาพออกนะ 555
มีต่อนะ >>>