M I N I N O V E L
-1-
คานทองวิลลา
9
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง...
ก๊อกๆๆ
นาปีที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จพอดี ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องก็เดินไปเปิด ครั้นพอเห็นเป็นอัมราที่เอาชุดมาให้ก็รับมาพลางเอ่ยขอบใจ
“ขอบใจนะ เลยต้องลำบากแกไปด้วยเลยว่ะ” คนพูดหัวเราะแบบสำนึกผิด อัมราโบกมือ
“เหย เพื่อนกัน แค่นี้เองจิ๊บๆ ว่าแต่แกน่ะรีบไปแต่งตัวเหอะ นี่เดี๋ยวอีกสักไม่เกินยี่สิบนาทีปรังมันก็คงเสร็จแล้ว ฉันอยากให้แกลงไปรอมันก่อนดีกว่า”
“โอเค ได้ ฉันแต่งตัวไม่นานหรอก”
“เออ ดี งั้นฉันไปรอข้างล่างก่อนนะ”
“เคๆ เดี๋ยวตามไป”
“เออ”
อัมราพเยิดหน้า หมุนตัวเดินลงข้างล่างไป ส่วนนาปีพอเพื่อนเดินออกไปแล้วจึงได้ปิดประตูห้องรับรองแขกลงรีบกลับเข้าไปแต่งตัวให้ทันก่อนนาปรังจะอาบน้ำเสร็จ
ผ่านไปอีกสิบห้านาที...
นาปรังที่เพิ่งจะแต่งตัวด้วยชุดใหม่เสร็จก็เดินลงมาจากชั้นบน ครั้นเห็นนาปีนั่งรออยู่ในชุดเดิมแต่แห้งก็ให้ขมวดคิ้วแปลกใจ แต่ในความแปลกใจเธอเองก็พอเดาออก หันไปถามเพื่อนสาว
“นี่แกได้เก็บค่าซักรีดกับมันรึเปล่าแอปเปิล เก็บด้วยนะ ทั้งเสื้อนอกเสื้อใน เกงนอกเกงในเก็บให้หมด ตัวละสามสิบกี่ชิ้นก็คูณไป” เธอพูดหน้าตาย ส่วนคนที่ต้องจ่ายห่อปาก
“โหย ไอ้ขี้งก กับเพื่อนก็ยังจะเก็บอีกเหรอวะ”
“โน้ว แกไม่ใช่เพื่อนฉัน แต่เป็นศัตรูต่างหาก อ้อใช่สิ ถ้าเป็นศัตรูนี่...ต้องเพิ่มราคาเป็นชิ้นละสี่สิบนะแอปเปิล ไงแกเก็บเสร็จแล้วก็เอาลงบัญชีด้วยเลยนะ ฉันจะได้รู้ว่าแกซื่อสัตย์กับฉัน ไม่เข้าข้างศัตรู” นาปรังลอยหน้าพูดกวนๆ ใส่เพื่อนหนุ่ม ส่วนคนที่ต้องเสียทรัพย์มหาศาลในวันนี้ก็นั่งหน้างอไปแล้ว เขาเหลือบมองเพื่อนสาวเคืองๆ
“มาไอ้ปี จ่ายมา เสื้อเชิ้ต เกงนอก เกงใน ทั้งหมดร้อยยี่สิบ”
“เฮ้ย เอาจริงดิ?”
“เออ จริง ไม่จริงฉันก็เละสิ มาเร็ว” อัมรากระดิกมือเร่ง นาปีร้องโห่ก่อนจะยอมล้วงมืออ่อนแรงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิดหยิบธนบัตรด้วยอาการเชื่องช้ายืดยาด
“อย่าลีลา”
เสียงดุจากอีกคนที่นั่งกอดอกไขว่ห้างทำให้นาปีค้อนควับอย่างหมั่นไส้ แหม ได้ทีขูดรีดขูดเนื้อ
“อึฮ์!” เขาหยิบธนบัตรออกมาร้อยยี่สิบบาท วางกระแทกใส่มืออัมราทั้งที่ตายังจ้องเคืองนาปรังไม่เลิก อีกฝ่ายเหยียดยิ้มเยาะ ทำเป็นลอยหน้าลอยตาหันไปมองทางอื่น
ทั้งสองต่างนั่งรอจนกระทั่งอัมราที่เพิ่งเอาเงินเข้าบัญชีหมู่บ้านเสร็จเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมหนังสือเซ็นสัญญาซื้อขายบ้าน หล่อนวางมันลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปให้ชายหนุ่ม
“อ่ะ อ่านกฎอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดก่อนค่อยเซ็น” พูดพร้อมส่งปากกาให้ นาปีรับมาถือไว้ ก่อนจะขยับหนังสือสัญญาให้ถูกองศาแล้วก้มหน้าอ่านอย่างละเอียดถี่ยิบไม่ขาดแม้สักตัวอักษร นาปรังมองก่อนจะก้มหน้าแคะเล็บเล่น เพราะคิดว่าคงอีกนานเลยกว่าชายหนุ่มจะอ่านจบ
นาปีใช้เวลาในการอ่านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จำและเข้าใจกฎทุกข้อ จึงได้ลงมือเซ็นชื่อตัวเองจนครบทุกหน้าก่อนเลื่อนคืนอัมรา หล่อนรับมาเปิดตรวจดูทุกหน้า
“โอเค เรียบร้อย เอาเป็นว่าถ้าเงินแกเข้าบัญชีหมู่บ้านเมื่อไรก็ย้ายของเข้ามาได้เลยนะ บ้านหลังนั้นเป็นของแกแล้ว”
“อือ”
“อะไรกันนน ช่วยทำหน้าให้มันดีใจหน่อยสิคะคุณนาปี ชอบเรือนไทยหลังนั้นมากไม่ใช่เหรอ?” นาปรังแซวเพราะเห็นเขาหน้าบึ้งตั้งแต่เซ็นเสร็จแล้ว
นาปีมองหางตางอนๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนพูดกับอัมรา
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มะ”
“อือฮึ ทำไม แกจะกลับแล้วเหรอ?”
“เออ นั่งนานไม่ได้หรอก ขี้เกียจเสียค่านั่งตากแอร์” เขาประชดอีกคนที่เลิกคิ้ว อมยิ้มกลั้นขำ
“เอ่อ...เออ งั้นรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
“ค่าบริการเดินส่งลูกค้าเมตรละยี่สิบ”
เสียงเจ้าของวิลลาพูดเปรยๆ พลางก้มหน้าเล่นเล็บตัวเอง อัมราที่กำลังจะลุกเอาหนังสือสัญญาไปเก็บชะงัก เงยหน้ามองเพื่อสาวอย่างอึ้งๆ ที่ว่ามันมีค่าบริการนี้ด้วยเหรอวะ? ส่วนนาปีนี่โวยลั่นอย่างหมดความอดทน
“โอ้ย! ไอ้ผู้หญิงใจยักษ์ใจมาร ถ้าแกจะเก็บขนาดนั้นทำไมไม่เก็บค่าอากาศที่ฉันใช้หายใจไปด้วยเลยล่ะจะได้รวยๆๆ! โอ้ย!! ส่วนแกอ่ะนั่งอยู่นี่แหละแอปเปิล ฉันเดินกลับเองได้” ประโยคหลังเขามองค้อนนาปรังที่อมยิ้มขำดูน่าหมั่นไส้ ชายหนุ่มจ้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินฟึดฟัดๆ ออกไป อัมรามองก่อนเดินมาหาเพื่อนสาวที่นั่งไม่ทิ้งรอยยิ้มขำ
“เฮ้ยปรัง เรามีค่าบริการนั้นด้วยเหรอวะ ทำไมฉันไม่รู้?”
“เปล่ามีหรอก ฉันแกล้งมันเฉยๆ” เธอพูดกลั้วขำ เท่านั้นอัมราก็ถึงบางอ้อ หัวเราะออกมาอีกคน หันกลับไปดูเพื่อนหนุ่มที่เดินลิ่วๆ ไปถึงรถแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะขึ้นไปสตาร์ทรถแล้วถอยหลังเหยียบคันเร่งเลี้ยวออกไปทันที
“เฮ้อ...เฮอะๆ เพื่อนฉันแต่ละคนนี่นะ...”
อัมราส่ายหน้าขำ
เวลาผ่านไปสองวัน...
หลังจากที่นาปีโอนค่าบ้านและเคลียร์งานสำหรับอาทิตย์หน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขับรถกลับมาเยี่ยมที่เรือนไทยอีกครั้งในฐานะเจ้าของบ้าน...ไม่ใช่เพียงผู้เข้าชมอีกต่อไปแล้ว
เขาเพิ่งเข้าใจว่าการเห่อบ้านใหม่เป็นยังไง แม้จะเคยมาเดินดูสำรวจทั่วบ้านครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนครั้งนี้ มันต่างกัน...ต่างกันมากทีเดียว ในความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมันทำให้เขาทั้งรัก...และภูมิใจที่ได้เรือนไทยหลังนี้มาครอง
พูดถึงเอาจริงๆ เขาอยากโชว์บ้านนะ อยากโชว์ให้มันทุกซอกทุกมุมเลยเพราะมันสวยจริงๆ ตอนแรกกะว่าพอถึงวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรจะโอเพนเฮาส์ทันทีแบบเอาให้โจรรู้กันไปเลยว่าทางเข้าออกนอกในมีอะไรบ้าง ทว่าเมื่อมาคิดๆ ดู...นึกถึงคำพูดของอัมราที่เคยบอกเขาว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรพิเศษ...
ไอ้อะไรพิเศษๆ ที่ว่านี่ล่ะที่ทำให้เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน เพราะถ้ามันพิเศษจริง เขาคงเปิดโจ้งให้ใครดูไม่ได้อีกแล้วล่ะ แม้เขาจะเปิดเผยเหมือนไม่มีอะไร แต่ข้างในลึกๆ แล้วเขาเป็นคนหวงของตัวเองมากนะบอกเลย ไม่ใช่แค่กับสิ่งของหรอก แต่กับคนก็ด้วย ทว่า...
จะทว่าอะไร! ก็ตอนนี้มันยังไม่ใช่น่ะสิ! อย่าว่าแต่เป็นเจ้าของเลย เพื่อนมันยังไม่นับให้เป็นเหลอะ! โว๊ะ!!
นาปีพ่นลมโมโห เขามองตาขวางใส่ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวอย่างพาลๆ โดยลืมไปว่าก่อนหน้าจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเขามีความสุขกับทุกสิ่งที่ว่าแค่ไหน
ชายหนุ่มก้าวขาไปทางซ้าย ก่อนจะชะงักแล้วก็เปลี่ยนไปทางขวา ทว่าก็หยุดอีก เขาถอยเท้ากลับมายืนที่เดิม ยกมือขึ้นเกาหัว
“อา...! นี่เรากำลังจะหาอะไรวะเนี่ย?”
เขาเกาหลังหัวแรงๆ ระบายอารมณ์จนผมฟู แต่ก็ไม่สนหรอก ตอนเขาหงุดหงิดความหล่อมักจะไม่ค่อยมีค่าเท่าไร
ครืดดดดดดดดดดด
แรงสั่นครืดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกให้เจ้าของรู้สึกตัวล้วงหยิบขึ้นมาดูชื่อก่อนกดรับ
“เออ ว่าไงแอปเปิล?”
[ไอ้ปี นี่ฉันนั่งดูแกมาตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้วนะ แกเป็นบ้าอะไรวะ เดี๋ยวทำหน้ายิ้ม เดี๋ยวทำหน้าเหมือนอยากตีหัวใครสักคน และนี่เมื่อกี้นี้อีก...จะไปซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เดิน เมาอะไรมาป่ะวะถามจริง?]
“เฮ้ย บ้า แกก็รู้ฉันไม่ดื่มไม่เล่น”
[เออ ก็นั่นน่ะสิ ที่ประชดนี่จะถามไงว่าแกเป็นบ้าอะไร ดูๆ อยู่นี่แม่มปรับโหมดไม่ทันเลย]
“เอ่อ...ก็...หงุดหงิดนิดหน่อยว่ะ คิดไม่ออกว่าไอ้สิ่งพิเศษที่แกเคยว่ามันคืออะไร แกใบ้มาได้มะ?”
[อ๋ออออ อะโถ่! เรื่องนี้เนี่ยนะที่ทำแกหงุดหงิด โอ้ย ไอ้ปี คือมันไม่ยากเลยนะถ้าเกิดแกนึกถึงตัวเองแล้วตามหาสิ่งๆ นั้นอ่ะ ลองหาดู ไม่ยากหรอก มันใช้วัดได้ด้วยนะว่าแกเปลี่ยนสิ่งที่ชอบไปแล้วหรือยัง หรือยังชอบ...สิ่งๆ เดิมอยู่] ปลายสายเหมือนจะแอบหัวเราะด้วย ซึ่งเป็นหัวเราะที่ดูเหมือนคนตื่นเต้น อะไร? ไอ้ที่ตื่นเต้นตามไปด้วยเพราะมันต้องมีอะไรแน่ๆ ใช่มั้ยเนี่ย?
“เฮ้ย แก ใบ้หน่อยดิ อย่างเช่น...แบบ..เป็นต้นไม้...รึว่าเป็นสิ่งของ..รึว่า...”
[โอ้ย ถ้าใบ้ขนาดนั้นแกก็รู้สิยะ! ไม่รุ ไม่บอก ไม่ใบ้และ หาเอาเอง]
ตู้ดๆๆๆ
“เฮ้ย แอปเปิล แอปเปิล! แอปเปิ๊ลลล!!”
ชายหนุ่มเสียงหลงเมื่อดูท่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้วจริงๆ เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย นี่เขาแค่ให้ใบ้นะว่าเมนใหญ่มันคืออะไร อ่อ...คงไม่ต้องแล้ว เพราะเมนใหญ่คือตัวเขาเอง แต่เมนรองนี่สิ...อะไร? ความชอบงั้นเหรอ? เออ น่าจะใช่ เพราะเมื่อกี้อัมราบอกว่ามันใช้วัดได้ด้วยว่าเขายังชอบไอ้สิ่งนั้นอยู่รึเปล่า...อะไรวะ?
นาปีขมวดคิ้ว หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะเริ่มทางไหนก่อน เขามองตั้งแต่ต้นกล้วย ต้นลีลาวดีที่ปลูกปนๆ กันอยู่ตรงสวนหน้าบ้านก็ให้ส่ายหัว ไม่ใช่อ่ะ ไม่ได้พิเศษอะไรเล้ย ส่วนนั่นก็ศาลานั่ง เออ ชอบ แต่ไม่ถึงขนาดพิเศษอ่ะ
“โฮ่ยยยย อะไรกันวะเนี่ย นี่แอปเปิลมันจะเล่นอะไรของมัน บอกตรงๆ ได้ม้ายยย อ้ากกก!!” ชายหนุ่มพูดเสียงลอดไรฟันทำมือเหมือนจะปล่อยพลัง แต่ก็เท่านั่น เขาทำได้แค่เหมือนแค่นั้นแหละแล้วก็ตั้งใจหาสิ่งพิเศษที่ว่าต่อ
MINI NOVEL #1 คานทองวิลลา [ตอนที่ 9]
-1-
คานทองวิลลา
9
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง...
ก๊อกๆๆ
นาปีที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จพอดี ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องก็เดินไปเปิด ครั้นพอเห็นเป็นอัมราที่เอาชุดมาให้ก็รับมาพลางเอ่ยขอบใจ
“ขอบใจนะ เลยต้องลำบากแกไปด้วยเลยว่ะ” คนพูดหัวเราะแบบสำนึกผิด อัมราโบกมือ
“เหย เพื่อนกัน แค่นี้เองจิ๊บๆ ว่าแต่แกน่ะรีบไปแต่งตัวเหอะ นี่เดี๋ยวอีกสักไม่เกินยี่สิบนาทีปรังมันก็คงเสร็จแล้ว ฉันอยากให้แกลงไปรอมันก่อนดีกว่า”
“โอเค ได้ ฉันแต่งตัวไม่นานหรอก”
“เออ ดี งั้นฉันไปรอข้างล่างก่อนนะ”
“เคๆ เดี๋ยวตามไป”
“เออ”
อัมราพเยิดหน้า หมุนตัวเดินลงข้างล่างไป ส่วนนาปีพอเพื่อนเดินออกไปแล้วจึงได้ปิดประตูห้องรับรองแขกลงรีบกลับเข้าไปแต่งตัวให้ทันก่อนนาปรังจะอาบน้ำเสร็จ
ผ่านไปอีกสิบห้านาที...
นาปรังที่เพิ่งจะแต่งตัวด้วยชุดใหม่เสร็จก็เดินลงมาจากชั้นบน ครั้นเห็นนาปีนั่งรออยู่ในชุดเดิมแต่แห้งก็ให้ขมวดคิ้วแปลกใจ แต่ในความแปลกใจเธอเองก็พอเดาออก หันไปถามเพื่อนสาว
“นี่แกได้เก็บค่าซักรีดกับมันรึเปล่าแอปเปิล เก็บด้วยนะ ทั้งเสื้อนอกเสื้อใน เกงนอกเกงในเก็บให้หมด ตัวละสามสิบกี่ชิ้นก็คูณไป” เธอพูดหน้าตาย ส่วนคนที่ต้องจ่ายห่อปาก
“โหย ไอ้ขี้งก กับเพื่อนก็ยังจะเก็บอีกเหรอวะ”
“โน้ว แกไม่ใช่เพื่อนฉัน แต่เป็นศัตรูต่างหาก อ้อใช่สิ ถ้าเป็นศัตรูนี่...ต้องเพิ่มราคาเป็นชิ้นละสี่สิบนะแอปเปิล ไงแกเก็บเสร็จแล้วก็เอาลงบัญชีด้วยเลยนะ ฉันจะได้รู้ว่าแกซื่อสัตย์กับฉัน ไม่เข้าข้างศัตรู” นาปรังลอยหน้าพูดกวนๆ ใส่เพื่อนหนุ่ม ส่วนคนที่ต้องเสียทรัพย์มหาศาลในวันนี้ก็นั่งหน้างอไปแล้ว เขาเหลือบมองเพื่อนสาวเคืองๆ
“มาไอ้ปี จ่ายมา เสื้อเชิ้ต เกงนอก เกงใน ทั้งหมดร้อยยี่สิบ”
“เฮ้ย เอาจริงดิ?”
“เออ จริง ไม่จริงฉันก็เละสิ มาเร็ว” อัมรากระดิกมือเร่ง นาปีร้องโห่ก่อนจะยอมล้วงมืออ่อนแรงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกระเป๋าเงินออกมาเปิดหยิบธนบัตรด้วยอาการเชื่องช้ายืดยาด
“อย่าลีลา”
เสียงดุจากอีกคนที่นั่งกอดอกไขว่ห้างทำให้นาปีค้อนควับอย่างหมั่นไส้ แหม ได้ทีขูดรีดขูดเนื้อ
“อึฮ์!” เขาหยิบธนบัตรออกมาร้อยยี่สิบบาท วางกระแทกใส่มืออัมราทั้งที่ตายังจ้องเคืองนาปรังไม่เลิก อีกฝ่ายเหยียดยิ้มเยาะ ทำเป็นลอยหน้าลอยตาหันไปมองทางอื่น
ทั้งสองต่างนั่งรอจนกระทั่งอัมราที่เพิ่งเอาเงินเข้าบัญชีหมู่บ้านเสร็จเดินกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมหนังสือเซ็นสัญญาซื้อขายบ้าน หล่อนวางมันลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปให้ชายหนุ่ม
“อ่ะ อ่านกฎอ่านเงื่อนไขให้ละเอียดก่อนค่อยเซ็น” พูดพร้อมส่งปากกาให้ นาปีรับมาถือไว้ ก่อนจะขยับหนังสือสัญญาให้ถูกองศาแล้วก้มหน้าอ่านอย่างละเอียดถี่ยิบไม่ขาดแม้สักตัวอักษร นาปรังมองก่อนจะก้มหน้าแคะเล็บเล่น เพราะคิดว่าคงอีกนานเลยกว่าชายหนุ่มจะอ่านจบ
นาปีใช้เวลาในการอ่านไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็จำและเข้าใจกฎทุกข้อ จึงได้ลงมือเซ็นชื่อตัวเองจนครบทุกหน้าก่อนเลื่อนคืนอัมรา หล่อนรับมาเปิดตรวจดูทุกหน้า
“โอเค เรียบร้อย เอาเป็นว่าถ้าเงินแกเข้าบัญชีหมู่บ้านเมื่อไรก็ย้ายของเข้ามาได้เลยนะ บ้านหลังนั้นเป็นของแกแล้ว”
“อือ”
“อะไรกันนน ช่วยทำหน้าให้มันดีใจหน่อยสิคะคุณนาปี ชอบเรือนไทยหลังนั้นมากไม่ใช่เหรอ?” นาปรังแซวเพราะเห็นเขาหน้าบึ้งตั้งแต่เซ็นเสร็จแล้ว
นาปีมองหางตางอนๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนพูดกับอัมรา
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มะ”
“อือฮึ ทำไม แกจะกลับแล้วเหรอ?”
“เออ นั่งนานไม่ได้หรอก ขี้เกียจเสียค่านั่งตากแอร์” เขาประชดอีกคนที่เลิกคิ้ว อมยิ้มกลั้นขำ
“เอ่อ...เออ งั้นรอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันเดินไปส่ง”
“ค่าบริการเดินส่งลูกค้าเมตรละยี่สิบ”
เสียงเจ้าของวิลลาพูดเปรยๆ พลางก้มหน้าเล่นเล็บตัวเอง อัมราที่กำลังจะลุกเอาหนังสือสัญญาไปเก็บชะงัก เงยหน้ามองเพื่อสาวอย่างอึ้งๆ ที่ว่ามันมีค่าบริการนี้ด้วยเหรอวะ? ส่วนนาปีนี่โวยลั่นอย่างหมดความอดทน
“โอ้ย! ไอ้ผู้หญิงใจยักษ์ใจมาร ถ้าแกจะเก็บขนาดนั้นทำไมไม่เก็บค่าอากาศที่ฉันใช้หายใจไปด้วยเลยล่ะจะได้รวยๆๆ! โอ้ย!! ส่วนแกอ่ะนั่งอยู่นี่แหละแอปเปิล ฉันเดินกลับเองได้” ประโยคหลังเขามองค้อนนาปรังที่อมยิ้มขำดูน่าหมั่นไส้ ชายหนุ่มจ้องอยู่พักหนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินฟึดฟัดๆ ออกไป อัมรามองก่อนเดินมาหาเพื่อนสาวที่นั่งไม่ทิ้งรอยยิ้มขำ
“เฮ้ยปรัง เรามีค่าบริการนั้นด้วยเหรอวะ ทำไมฉันไม่รู้?”
“เปล่ามีหรอก ฉันแกล้งมันเฉยๆ” เธอพูดกลั้วขำ เท่านั้นอัมราก็ถึงบางอ้อ หัวเราะออกมาอีกคน หันกลับไปดูเพื่อนหนุ่มที่เดินลิ่วๆ ไปถึงรถแล้ว ก่อนเจ้าตัวจะขึ้นไปสตาร์ทรถแล้วถอยหลังเหยียบคันเร่งเลี้ยวออกไปทันที
“เฮ้อ...เฮอะๆ เพื่อนฉันแต่ละคนนี่นะ...”
อัมราส่ายหน้าขำ
เวลาผ่านไปสองวัน...
หลังจากที่นาปีโอนค่าบ้านและเคลียร์งานสำหรับอาทิตย์หน้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ขับรถกลับมาเยี่ยมที่เรือนไทยอีกครั้งในฐานะเจ้าของบ้าน...ไม่ใช่เพียงผู้เข้าชมอีกต่อไปแล้ว
เขาเพิ่งเข้าใจว่าการเห่อบ้านใหม่เป็นยังไง แม้จะเคยมาเดินดูสำรวจทั่วบ้านครั้งหนึ่งแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนครั้งนี้ มันต่างกัน...ต่างกันมากทีเดียว ในความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมันทำให้เขาทั้งรัก...และภูมิใจที่ได้เรือนไทยหลังนี้มาครอง
พูดถึงเอาจริงๆ เขาอยากโชว์บ้านนะ อยากโชว์ให้มันทุกซอกทุกมุมเลยเพราะมันสวยจริงๆ ตอนแรกกะว่าพอถึงวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่เมื่อไรจะโอเพนเฮาส์ทันทีแบบเอาให้โจรรู้กันไปเลยว่าทางเข้าออกนอกในมีอะไรบ้าง ทว่าเมื่อมาคิดๆ ดู...นึกถึงคำพูดของอัมราที่เคยบอกเขาว่าบ้านหลังนี้มันมีอะไรพิเศษ...
ไอ้อะไรพิเศษๆ ที่ว่านี่ล่ะที่ทำให้เขาเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากะทันหัน เพราะถ้ามันพิเศษจริง เขาคงเปิดโจ้งให้ใครดูไม่ได้อีกแล้วล่ะ แม้เขาจะเปิดเผยเหมือนไม่มีอะไร แต่ข้างในลึกๆ แล้วเขาเป็นคนหวงของตัวเองมากนะบอกเลย ไม่ใช่แค่กับสิ่งของหรอก แต่กับคนก็ด้วย ทว่า...
จะทว่าอะไร! ก็ตอนนี้มันยังไม่ใช่น่ะสิ! อย่าว่าแต่เป็นเจ้าของเลย เพื่อนมันยังไม่นับให้เป็นเหลอะ! โว๊ะ!!
นาปีพ่นลมโมโห เขามองตาขวางใส่ทุกสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวอย่างพาลๆ โดยลืมไปว่าก่อนหน้าจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเขามีความสุขกับทุกสิ่งที่ว่าแค่ไหน
ชายหนุ่มก้าวขาไปทางซ้าย ก่อนจะชะงักแล้วก็เปลี่ยนไปทางขวา ทว่าก็หยุดอีก เขาถอยเท้ากลับมายืนที่เดิม ยกมือขึ้นเกาหัว
“อา...! นี่เรากำลังจะหาอะไรวะเนี่ย?”
เขาเกาหลังหัวแรงๆ ระบายอารมณ์จนผมฟู แต่ก็ไม่สนหรอก ตอนเขาหงุดหงิดความหล่อมักจะไม่ค่อยมีค่าเท่าไร
ครืดดดดดดดดดดด
แรงสั่นครืดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงเรียกให้เจ้าของรู้สึกตัวล้วงหยิบขึ้นมาดูชื่อก่อนกดรับ
“เออ ว่าไงแอปเปิล?”
[ไอ้ปี นี่ฉันนั่งดูแกมาตั้งแต่ห้านาทีก่อนแล้วนะ แกเป็นบ้าอะไรวะ เดี๋ยวทำหน้ายิ้ม เดี๋ยวทำหน้าเหมือนอยากตีหัวใครสักคน และนี่เมื่อกี้นี้อีก...จะไปซ้ายก็ไม่เอา ขวาก็ไม่เดิน เมาอะไรมาป่ะวะถามจริง?]
“เฮ้ย บ้า แกก็รู้ฉันไม่ดื่มไม่เล่น”
[เออ ก็นั่นน่ะสิ ที่ประชดนี่จะถามไงว่าแกเป็นบ้าอะไร ดูๆ อยู่นี่แม่มปรับโหมดไม่ทันเลย]
“เอ่อ...ก็...หงุดหงิดนิดหน่อยว่ะ คิดไม่ออกว่าไอ้สิ่งพิเศษที่แกเคยว่ามันคืออะไร แกใบ้มาได้มะ?”
[อ๋ออออ อะโถ่! เรื่องนี้เนี่ยนะที่ทำแกหงุดหงิด โอ้ย ไอ้ปี คือมันไม่ยากเลยนะถ้าเกิดแกนึกถึงตัวเองแล้วตามหาสิ่งๆ นั้นอ่ะ ลองหาดู ไม่ยากหรอก มันใช้วัดได้ด้วยนะว่าแกเปลี่ยนสิ่งที่ชอบไปแล้วหรือยัง หรือยังชอบ...สิ่งๆ เดิมอยู่] ปลายสายเหมือนจะแอบหัวเราะด้วย ซึ่งเป็นหัวเราะที่ดูเหมือนคนตื่นเต้น อะไร? ไอ้ที่ตื่นเต้นตามไปด้วยเพราะมันต้องมีอะไรแน่ๆ ใช่มั้ยเนี่ย?
“เฮ้ย แก ใบ้หน่อยดิ อย่างเช่น...แบบ..เป็นต้นไม้...รึว่าเป็นสิ่งของ..รึว่า...”
[โอ้ย ถ้าใบ้ขนาดนั้นแกก็รู้สิยะ! ไม่รุ ไม่บอก ไม่ใบ้และ หาเอาเอง]
ตู้ดๆๆๆ
“เฮ้ย แอปเปิล แอปเปิล! แอปเปิ๊ลลล!!”
ชายหนุ่มเสียงหลงเมื่อดูท่าจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้วจริงๆ เฮ้ย อะไรกันวะเนี่ย นี่เขาแค่ให้ใบ้นะว่าเมนใหญ่มันคืออะไร อ่อ...คงไม่ต้องแล้ว เพราะเมนใหญ่คือตัวเขาเอง แต่เมนรองนี่สิ...อะไร? ความชอบงั้นเหรอ? เออ น่าจะใช่ เพราะเมื่อกี้อัมราบอกว่ามันใช้วัดได้ด้วยว่าเขายังชอบไอ้สิ่งนั้นอยู่รึเปล่า...อะไรวะ?
นาปีขมวดคิ้ว หันซ้ายหันขวาไม่รู้จะเริ่มทางไหนก่อน เขามองตั้งแต่ต้นกล้วย ต้นลีลาวดีที่ปลูกปนๆ กันอยู่ตรงสวนหน้าบ้านก็ให้ส่ายหัว ไม่ใช่อ่ะ ไม่ได้พิเศษอะไรเล้ย ส่วนนั่นก็ศาลานั่ง เออ ชอบ แต่ไม่ถึงขนาดพิเศษอ่ะ
“โฮ่ยยยย อะไรกันวะเนี่ย นี่แอปเปิลมันจะเล่นอะไรของมัน บอกตรงๆ ได้ม้ายยย อ้ากกก!!” ชายหนุ่มพูดเสียงลอดไรฟันทำมือเหมือนจะปล่อยพลัง แต่ก็เท่านั่น เขาทำได้แค่เหมือนแค่นั้นแหละแล้วก็ตั้งใจหาสิ่งพิเศษที่ว่าต่อ