M I N I N O V E L
-1-
คานทองวิลลา
3
“พี่ปีคะๆ คุณอรเธอโทรมาแจ้งแล้วค่ะเรื่องสถานที่จัดงาน”
ลูกน้องสาวที่วิ่งปรี่เข้ามาพร้อมเอกสารบางอย่างในมือยื่นให้เขา เจ้าหล่อนหัวเราะ
“อย่าว่าหนูเสียมารยาทเลยนะคะ แต่หนูอดไม่ได้จริงๆ อ่ะ มีอย่างที่ไหน จัดงานแต่งที่หมู่บ้านชื่อคานทองวิลลา มงค๊ลมงคล”
นาปีช็อกไปชั่วขณะ ความรู้สึกเหมือนยิ่งหนียิ่งเจอยิ่งเข้าใกล้ขึ้นไปทุกที เขาหลับตาตั้งสติก่อนลืมตาอีกครั้งถามลูกน้องเสียงสั่นนิดๆ
“แน่ใจนะว่าคุณอรบอกว่าคานทองวิลลา เราอาจจะได้ยินผิดก็ได้ แบบ...ปลาทองวิลลาไรงี้”
อีกฝ่ายหัวเราะหนักกว่าเดิม
“โอ้โหพี่ ชื่อหนักยิ่งกว่าคานทองอีก มุ้งมิ้งดีเนอะปลาทองวิลลา”
“เฮ้ย อย่านอกเรื่องดิ ตกลงแน่ใจนะว่าได้ยินมาถูก?”
“แน่ใจสิคะ หนูนี่ถามหลายรอบเลย คุณอรเธอก็เลยสะกดมาให้ทีละตัวเลยหมดเรื่อง...คานทองวิลลาจริงๆ ค่ะพี่ หนูได้ไม่ผิดหรอก”
นาปียกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง เออ เจริญล่ะทีนี้ ไม่ใช่แค่มึนที่ฝ่ายเจ้าสาวคิดอะไรอยู่ถึงจัดงานแต่งที่หมู่บ้านจัดสรรชื่ออัปมงคลแบบนั้น แต่ที่ทำให้เขามึนหัวจนต้องขอยาดมจากลูกน้องสาวก็คือ...จะคุยเรื่องนี้กับยัยนาพังยังไง?!
เที่ยงวันนั้นนาปีจ้องเบอร์อัมราอยู่นานจนลูกน้องทักว่าเป็นอะไร เขาถอนใจบอกเปล่า ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกเพื่อกดโทรออกทำลายความอึดอัดลังเลใจเสียที
[ฮัลโหล ว่าไงไอ้ปี]
นาปีขมวดคิ้วเพราะปลายสายพูดเสียงแหบแปลกๆ หรือว่า...
“ปรังมันอยู่แถวนั้นใช่มะ?”
[เออ นี่มันกำลังคุยเรื่องบ้านกับลูกค้าอยู่ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นคนแห่มากันเต็มเลยแก นี่ได้ลูกค้ามาห้าคนแล้วนะ เงินลอยมาแล้วแกเอ้ยยย] ปลายสายมีน้ำเสียงดีใจแต่ก็ยังแหบพร่าซ่อนไว้ไม่ให้เพื่อนสาวได้ยิน
“โห จริงดิ นี่มีคนยอมรับกฎเงื่อนไขบ้าบออะไรนั่นด้วยเหรอวะ”
[มีสิยะ คนหัวอกเดียวกับไอ้ปรังมีน้อยซะที่ไหน ว่าแต่นี่เมื่อไรแกจะเข้าเรื่องสักทีเนี่ย ออกมานานเดี๋ยวปรังมันก็ฟาดงวงใส่ฉันหรอกโทษฐานอู้งาน]
“เคๆๆ เข้าเรื่องและๆ คือว่างี้เว้ยแอปเปิล ลูกค้าฉันอ่ะเขาอยากจะได้หมู่บ้านแกเป็นโลเคชันจัดงานแต่ง...”
[บ้า! ฮ่าๆๆ มีที่ไหนกันจัดงานแต่งชื่อหมู่บ้านแบบนี้ เออ แล้วยังไงเนี่ย อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันพูดกับไอ้ปรังให้อ่ะ?]
“ก็...ประมาณนั้นแหละ นะๆ แอปเปิลนะ ถือว่าช่วยฉันสักครั้งนะเพื่อนเลิฟ”
[เหย สิ้นสติและถ้าฉันยื่นมือเข้าไปช่วยแกคุยกับมันให้อ่ะ ไม่เอาๆๆ ให้แกคุยเองดีกว่า นี่ลูกค้าก็เพิ่งกลับพอดี เดี๋ยวแกคุยเลยละกัน...
ปรังๆ ไอ้ปีมันจะคุยด้วย”
“เฮ้ย! แอปเปิล!”
นาปีตกใจแทบสิ้นสติที่เพื่อนสาวไม่คิดจะถามความพร้อมเขาเลยสักคำ ก็รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเขาและเธอคุยกันมันจะลงเอยแบบไหน
[มีอะไร] เสียงห้วนถามมา ชายหนุ่มจำได้ทันทีว่าเสียงใคร มีอยู่คนเดียว เขาลอบถอนใจเมื่อคิดว่าศึกที่เขาไม่ได้อยากก่อกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“เข้าเรื่องเลยนะ คือฉันอยากจะขอเช่าหมู่บ้านแกบางส่วนมาจัดงานแต่งให้ลูกค้าฉันหน่อยอ่ะ พอจะสะดวกมั้ย?”
[ไม่ กฎของหมู่บ้านฉันคือคนที่นี่ห้ามรักกัน เพราะฉะนั้น...ฉันไม่ให้แกเช่าไปจัดงานแต่งอะไรนั่นหรอก]
“เดี๋ยวปรัง ลูกค้าฉันไม่ใช่คนของคานทองวิลลานะ เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น และฉันเองก็ขอเช่าสถานที่แค่วันสองวัน แค่นี้จะให้กันไม่ได้เลยเหรอ”
[เออ ก็ไม่ให้อ่ะ ถึงพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่งานที่จัดก็อยู่บนพื้นที่ฉันอยู่ดี โอเคนะ ชัด]
นาปีอ้าปากค้างในความเอาแต่ใจไร้เหตุผลไม่รู้จักโตของอีกฝ่าย เขาหมดความอดทน คิดว่าต่อให้คุยดีด้วยยังไงก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งนั้นนอกจากเขาจะเป็นฝ่ายอกแตกตายอยู่ฝ่ายเดียว!
“เออได้! ไม่ให้ก็ไม่เอาวะ! คนบ้าอะไรอกหักผัวทิ้งแล้วก็มาพาลใส่คนอื่น ไอ้คนใจแคบ! ไอ้แพ้แล้วพาล!!!”
ตู้ดๆๆๆ
นาปรังอ้าปากค้างเมื่อถูกอีกฝ่ายด่ามาเป็นชุดโดยไม่เว้นจังหวะไว้ให้ตั้งตัวด่ากลับ แถมฝ่ายนั้นยังตัดสายทิ้งไปเสียดื้อๆ อีก นี่มัน...นี่มันจะมากไปแล้วนะ!
ว่าแต่...ไอ้เจ้าบ้านั่นมันรู้เรื่องแฟนเธอได้ยังไง?
ควับ!
“เฮือก!” อัมราสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเพื่อนสาวหันควับมาด้วยสายตาเอาเรื่องพร้อมทั้งยังเดินปรี่เข้ามาหาอีก
“นี่แอปเปิล! แกเป็นคนบอกมันใช่มั้ยเรื่องที่ฉันถูกไอ้เวรนั่นหักหลังน่ะ อย่าโกหกนะ!”
อัมราปากสั่นเหงื่อแตก ยิ้มแหยสู้สายตาอาฆาตของเพื่อนสาวตรงหน้าที่น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“เอ่อ...ชะ...ชะ...ใช่ ฉันขอโทษนะปรัง ทั้งที่ฉันรู้ว่าแกไม่อยากให้ไอ้ปีมันรู้เรื่องส่วนตัวอ่ะ แต่ฉัน...ฉันอดไม่ได้จริงๆ อ่ะ” ประโยคหลังคนพูดหลบตาพูดเสียงเบาหวิว แต่คนฟังก็ได้ยินชัดเจนทุกคำจนอดถลึงตาโกรธไม่ได้ เธอกำโทรศัพท์แน่น พลันอารมณ์พาลก็เริ่มหันเหไปลงกับเจ้าของเบอร์เมื่อครู่ที่โทรมา นาปรังเดินเลี่ยงออกไปพลางกดโทรกลับไปหาคู่จิ้นเก่า เสียงสัญญาณดังไม่เท่าไรปลายสายก็กดรับราวกับรู้ล่วงหน้า
[มีอะไรจะแก้ตัวรึไงครับแม่คนพาล]
“ฉันไม่ได้พาล! ก็แค่...ตั้งกฎพวกนั้นมาเพื่อให้เข้ากับชื่อหมู่บ้านเท่านั้น”
[ถ้าแค่นั้นจริงแกก็ต้องยอมตกลงสิ นอกเสียจากแกจะมีอคติกับฉันแล้วมาพาลใส่ลูกค้าฉันแบบนี้]
“ใช่ ฉันอคติแก แต่ฉันก็เป็นคนแยกออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”
[อ๋อเหรอครับ ใช้เวลาคิดนานเท่าไรล่ะกว่าจะทำใจแยกเรื่องงานกับส่วนตัวออกอ่ะ]
นาปรังกัดฟันกรอด ควันโกรธเริ่มออกหู
“นี่ถ้าขืนแกยังปากดีอยู่อีกฉันจะเพิ่มค่าเช่าที่อีกห้าเปอร์เซ็นต์ เอาให้แกขาดทุนย่อยยับเลยคอยดู”
นาปีหลุดยิ้มกว้างดีใจที่ในที่สุดเพื่อนสาวก็หลุดปากตกลง คงเพราะเรื่องค่าผลประโยชน์ล่ะมั้งเธอถึงยอม เพราะถ้าให้ตายยังไงคนขี้งกอย่างเธอก็ไม่มีทางยอมเขาง่ายๆ หรอก ถ้าไม่นึกถึงเรื่องเงินก้อนโตที่กำลังจะลอยมาโดยไม่ต้องเสียบ้านไปสักหลัง เขายิ้มกวนประสาท แม้จะดีใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะกัดเพื่อนสาวให้หอมปากหอมคอ
[อ้าว นี่แกยอมตกลงตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ไม่คิดจะให้รู้ตัวหน่อยเหรอ]
“ไอ้ปี”
[ครับ?]
“หกเปอร์เซ็นต์”
[เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆ ฉันยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะ มาเพิ่มค่าเช่าปุบปับงี้ได้ไงวะ]
“เจ็ด”
[เฮ้ย!! ไอ้ปรัง!!]
“แปด”
[!!!]
ปลายสายเงียบไป มีแต่เสียงอึกอักเหมือนอยากจะก่นด่าแต่ไม่กล้าแม้แต่อุทาน นาปรังกระตุกยิ้มชนะ รู้ทันว่าอีกฝ่ายคงกำลังโกรธควันออกหูอยู่ตอนนี้ ซึ่งก็จริง นาปีกัดฟันกรอดกรอกเสียงตะคอกลงไปชัดคำ
[เออครับ! แปดก็แปด!]
หญิงสาวยิ้ม แอบหัวเราะในใจ ก่อนจะแกล้งพูดเสียงปกติต่อไปอีกว่า
“ที่พูดมานี่เอาจริงนะ ไม่ได้ขู่”
นาปีพ่นลมทิ้งแรงๆ ก่อนตอบกระแทกเสียงอีก
“เออ!” แล้วก็ตัดสายทิ้งทันที มาตอนนี้เขาจ้องมองโทรศัพท์ตัวเองแล้วก็ให้สบถด่าอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้นเพราะเมื่อกี้ไม่ได้ด่า
“หึ ไอ้ผู้หญิงขี้ตืด! ไอ้ขี้แข็ง!! งกงี้ไงเล่าผู้ชายถึงทิ้งไปน่ะ ไอ้ขี้งก! งกๆๆๆๆ!”
MINI NOVEL #1 คานทองวิลลา [ตอนที่ 3]
-1-
คานทองวิลลา
3
“พี่ปีคะๆ คุณอรเธอโทรมาแจ้งแล้วค่ะเรื่องสถานที่จัดงาน”
ลูกน้องสาวที่วิ่งปรี่เข้ามาพร้อมเอกสารบางอย่างในมือยื่นให้เขา เจ้าหล่อนหัวเราะ
“อย่าว่าหนูเสียมารยาทเลยนะคะ แต่หนูอดไม่ได้จริงๆ อ่ะ มีอย่างที่ไหน จัดงานแต่งที่หมู่บ้านชื่อคานทองวิลลา มงค๊ลมงคล”
นาปีช็อกไปชั่วขณะ ความรู้สึกเหมือนยิ่งหนียิ่งเจอยิ่งเข้าใกล้ขึ้นไปทุกที เขาหลับตาตั้งสติก่อนลืมตาอีกครั้งถามลูกน้องเสียงสั่นนิดๆ
“แน่ใจนะว่าคุณอรบอกว่าคานทองวิลลา เราอาจจะได้ยินผิดก็ได้ แบบ...ปลาทองวิลลาไรงี้”
อีกฝ่ายหัวเราะหนักกว่าเดิม
“โอ้โหพี่ ชื่อหนักยิ่งกว่าคานทองอีก มุ้งมิ้งดีเนอะปลาทองวิลลา”
“เฮ้ย อย่านอกเรื่องดิ ตกลงแน่ใจนะว่าได้ยินมาถูก?”
“แน่ใจสิคะ หนูนี่ถามหลายรอบเลย คุณอรเธอก็เลยสะกดมาให้ทีละตัวเลยหมดเรื่อง...คานทองวิลลาจริงๆ ค่ะพี่ หนูได้ไม่ผิดหรอก”
นาปียกมือขึ้นตบหน้าผากตัวเอง เออ เจริญล่ะทีนี้ ไม่ใช่แค่มึนที่ฝ่ายเจ้าสาวคิดอะไรอยู่ถึงจัดงานแต่งที่หมู่บ้านจัดสรรชื่ออัปมงคลแบบนั้น แต่ที่ทำให้เขามึนหัวจนต้องขอยาดมจากลูกน้องสาวก็คือ...จะคุยเรื่องนี้กับยัยนาพังยังไง?!
เที่ยงวันนั้นนาปีจ้องเบอร์อัมราอยู่นานจนลูกน้องทักว่าเป็นอะไร เขาถอนใจบอกเปล่า ก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปข้างนอกเพื่อกดโทรออกทำลายความอึดอัดลังเลใจเสียที
[ฮัลโหล ว่าไงไอ้ปี]
นาปีขมวดคิ้วเพราะปลายสายพูดเสียงแหบแปลกๆ หรือว่า...
“ปรังมันอยู่แถวนั้นใช่มะ?”
[เออ นี่มันกำลังคุยเรื่องบ้านกับลูกค้าอยู่ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นคนแห่มากันเต็มเลยแก นี่ได้ลูกค้ามาห้าคนแล้วนะ เงินลอยมาแล้วแกเอ้ยยย] ปลายสายมีน้ำเสียงดีใจแต่ก็ยังแหบพร่าซ่อนไว้ไม่ให้เพื่อนสาวได้ยิน
“โห จริงดิ นี่มีคนยอมรับกฎเงื่อนไขบ้าบออะไรนั่นด้วยเหรอวะ”
[มีสิยะ คนหัวอกเดียวกับไอ้ปรังมีน้อยซะที่ไหน ว่าแต่นี่เมื่อไรแกจะเข้าเรื่องสักทีเนี่ย ออกมานานเดี๋ยวปรังมันก็ฟาดงวงใส่ฉันหรอกโทษฐานอู้งาน]
“เคๆๆ เข้าเรื่องและๆ คือว่างี้เว้ยแอปเปิล ลูกค้าฉันอ่ะเขาอยากจะได้หมู่บ้านแกเป็นโลเคชันจัดงานแต่ง...”
[บ้า! ฮ่าๆๆ มีที่ไหนกันจัดงานแต่งชื่อหมู่บ้านแบบนี้ เออ แล้วยังไงเนี่ย อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันพูดกับไอ้ปรังให้อ่ะ?]
“ก็...ประมาณนั้นแหละ นะๆ แอปเปิลนะ ถือว่าช่วยฉันสักครั้งนะเพื่อนเลิฟ”
[เหย สิ้นสติและถ้าฉันยื่นมือเข้าไปช่วยแกคุยกับมันให้อ่ะ ไม่เอาๆๆ ให้แกคุยเองดีกว่า นี่ลูกค้าก็เพิ่งกลับพอดี เดี๋ยวแกคุยเลยละกัน...ปรังๆ ไอ้ปีมันจะคุยด้วย”
“เฮ้ย! แอปเปิล!”
นาปีตกใจแทบสิ้นสติที่เพื่อนสาวไม่คิดจะถามความพร้อมเขาเลยสักคำ ก็รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเขาและเธอคุยกันมันจะลงเอยแบบไหน
[มีอะไร] เสียงห้วนถามมา ชายหนุ่มจำได้ทันทีว่าเสียงใคร มีอยู่คนเดียว เขาลอบถอนใจเมื่อคิดว่าศึกที่เขาไม่ได้อยากก่อกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“เข้าเรื่องเลยนะ คือฉันอยากจะขอเช่าหมู่บ้านแกบางส่วนมาจัดงานแต่งให้ลูกค้าฉันหน่อยอ่ะ พอจะสะดวกมั้ย?”
[ไม่ กฎของหมู่บ้านฉันคือคนที่นี่ห้ามรักกัน เพราะฉะนั้น...ฉันไม่ให้แกเช่าไปจัดงานแต่งอะไรนั่นหรอก]
“เดี๋ยวปรัง ลูกค้าฉันไม่ใช่คนของคานทองวิลลานะ เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น และฉันเองก็ขอเช่าสถานที่แค่วันสองวัน แค่นี้จะให้กันไม่ได้เลยเหรอ”
[เออ ก็ไม่ให้อ่ะ ถึงพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่งานที่จัดก็อยู่บนพื้นที่ฉันอยู่ดี โอเคนะ ชัด]
นาปีอ้าปากค้างในความเอาแต่ใจไร้เหตุผลไม่รู้จักโตของอีกฝ่าย เขาหมดความอดทน คิดว่าต่อให้คุยดีด้วยยังไงก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งนั้นนอกจากเขาจะเป็นฝ่ายอกแตกตายอยู่ฝ่ายเดียว!
“เออได้! ไม่ให้ก็ไม่เอาวะ! คนบ้าอะไรอกหักผัวทิ้งแล้วก็มาพาลใส่คนอื่น ไอ้คนใจแคบ! ไอ้แพ้แล้วพาล!!!”
ตู้ดๆๆๆ
นาปรังอ้าปากค้างเมื่อถูกอีกฝ่ายด่ามาเป็นชุดโดยไม่เว้นจังหวะไว้ให้ตั้งตัวด่ากลับ แถมฝ่ายนั้นยังตัดสายทิ้งไปเสียดื้อๆ อีก นี่มัน...นี่มันจะมากไปแล้วนะ!
ว่าแต่...ไอ้เจ้าบ้านั่นมันรู้เรื่องแฟนเธอได้ยังไง?
ควับ!
“เฮือก!” อัมราสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นเพื่อนสาวหันควับมาด้วยสายตาเอาเรื่องพร้อมทั้งยังเดินปรี่เข้ามาหาอีก
“นี่แอปเปิล! แกเป็นคนบอกมันใช่มั้ยเรื่องที่ฉันถูกไอ้เวรนั่นหักหลังน่ะ อย่าโกหกนะ!”
อัมราปากสั่นเหงื่อแตก ยิ้มแหยสู้สายตาอาฆาตของเพื่อนสาวตรงหน้าที่น่ากลัวยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
“เอ่อ...ชะ...ชะ...ใช่ ฉันขอโทษนะปรัง ทั้งที่ฉันรู้ว่าแกไม่อยากให้ไอ้ปีมันรู้เรื่องส่วนตัวอ่ะ แต่ฉัน...ฉันอดไม่ได้จริงๆ อ่ะ” ประโยคหลังคนพูดหลบตาพูดเสียงเบาหวิว แต่คนฟังก็ได้ยินชัดเจนทุกคำจนอดถลึงตาโกรธไม่ได้ เธอกำโทรศัพท์แน่น พลันอารมณ์พาลก็เริ่มหันเหไปลงกับเจ้าของเบอร์เมื่อครู่ที่โทรมา นาปรังเดินเลี่ยงออกไปพลางกดโทรกลับไปหาคู่จิ้นเก่า เสียงสัญญาณดังไม่เท่าไรปลายสายก็กดรับราวกับรู้ล่วงหน้า
[มีอะไรจะแก้ตัวรึไงครับแม่คนพาล]
“ฉันไม่ได้พาล! ก็แค่...ตั้งกฎพวกนั้นมาเพื่อให้เข้ากับชื่อหมู่บ้านเท่านั้น”
[ถ้าแค่นั้นจริงแกก็ต้องยอมตกลงสิ นอกเสียจากแกจะมีอคติกับฉันแล้วมาพาลใส่ลูกค้าฉันแบบนี้]
“ใช่ ฉันอคติแก แต่ฉันก็เป็นคนแยกออกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว”
[อ๋อเหรอครับ ใช้เวลาคิดนานเท่าไรล่ะกว่าจะทำใจแยกเรื่องงานกับส่วนตัวออกอ่ะ]
นาปรังกัดฟันกรอด ควันโกรธเริ่มออกหู
“นี่ถ้าขืนแกยังปากดีอยู่อีกฉันจะเพิ่มค่าเช่าที่อีกห้าเปอร์เซ็นต์ เอาให้แกขาดทุนย่อยยับเลยคอยดู”
นาปีหลุดยิ้มกว้างดีใจที่ในที่สุดเพื่อนสาวก็หลุดปากตกลง คงเพราะเรื่องค่าผลประโยชน์ล่ะมั้งเธอถึงยอม เพราะถ้าให้ตายยังไงคนขี้งกอย่างเธอก็ไม่มีทางยอมเขาง่ายๆ หรอก ถ้าไม่นึกถึงเรื่องเงินก้อนโตที่กำลังจะลอยมาโดยไม่ต้องเสียบ้านไปสักหลัง เขายิ้มกวนประสาท แม้จะดีใจแต่ก็อดไม่ได้ที่จะกัดเพื่อนสาวให้หอมปากหอมคอ
[อ้าว นี่แกยอมตกลงตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย ไม่คิดจะให้รู้ตัวหน่อยเหรอ]
“ไอ้ปี”
[ครับ?]
“หกเปอร์เซ็นต์”
[เฮ้ย เดี๋ยวๆๆๆ ฉันยังไม่ทันพูดอะไรเลยนะ มาเพิ่มค่าเช่าปุบปับงี้ได้ไงวะ]
“เจ็ด”
[เฮ้ย!! ไอ้ปรัง!!]
“แปด”
[!!!]
ปลายสายเงียบไป มีแต่เสียงอึกอักเหมือนอยากจะก่นด่าแต่ไม่กล้าแม้แต่อุทาน นาปรังกระตุกยิ้มชนะ รู้ทันว่าอีกฝ่ายคงกำลังโกรธควันออกหูอยู่ตอนนี้ ซึ่งก็จริง นาปีกัดฟันกรอดกรอกเสียงตะคอกลงไปชัดคำ
[เออครับ! แปดก็แปด!]
หญิงสาวยิ้ม แอบหัวเราะในใจ ก่อนจะแกล้งพูดเสียงปกติต่อไปอีกว่า
“ที่พูดมานี่เอาจริงนะ ไม่ได้ขู่”
นาปีพ่นลมทิ้งแรงๆ ก่อนตอบกระแทกเสียงอีก
“เออ!” แล้วก็ตัดสายทิ้งทันที มาตอนนี้เขาจ้องมองโทรศัพท์ตัวเองแล้วก็ให้สบถด่าอีกฝ่ายอย่างเจ็บแค้นเพราะเมื่อกี้ไม่ได้ด่า
“หึ ไอ้ผู้หญิงขี้ตืด! ไอ้ขี้แข็ง!! งกงี้ไงเล่าผู้ชายถึงทิ้งไปน่ะ ไอ้ขี้งก! งกๆๆๆๆ!”