….การเมืองคือเรื่อง “นิกาย” บทความนี้ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการที่จะเรียนรู้การเมืองของคณะสงฆ์ไทย....

กระทู้คำถาม
หลังสิ้นสุดงานพระราชทานเพลิงพระศพของสมเด็จพระสังฆราช....ดูเหมือนว่าเมฆหมอกแห่งการเมืองในคณะสงฆ์จะเริ่มก่อเค้าทะมึนขึ้นเรื่อยๆ   โดยมีวาระเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชเป็น “เผือกร้อน” ที่ตอนนี้พุทธะอิสระหรือนายสุวิทย์ได้ยกขึ้นมาเป็นประเด็น   แล้วก็โยนเผือกร้อนดั่งว่าไปที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ว่าที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่แห่งวัดปากน้ำด้วยประโยคคำถามที่ร้อนแรงว่า “คนพันธุ์นี้ใช่ไหมที่เหมาะกับตำแหน่งสังฆราช?”    ด้านฝ่ายมหาเถรสมาคมเองก็โต้ตอบกลับด้วยการเชิญนายกรัฐมนตรี พณ ท่าน พลเอกประยุทธ์ไปเป็นประธานสวดมนต์ข้ามปีแห่งชาติที่วัดปากน้ำ   ไปๆ มาๆ เผือกร้อนมาตกแหมะบนตักของพณ ท่านนายกฯ คนปัจจุบันของประเทศไทยเฉยเลย(ใครว่าการเมืองในคณะสงฆ์ไม่แยบยล  เห็นเกมส์โยนเผือกร้อนตรงนี้แล้วก็คือคิดใหม่ได้เลย)   ที่นี้เรามาคอยดูกันว่าวันที่ 31 ธันวานนี้ พณ ท่านจะรับคำเชิญไปเป็นประธานที่วัดปากน้ำไหม?   ไม่อยากจะชี้นำเลยว่าการไปหรือไม่ไปมีผลอย่างไร.....เรามาคอยลุ้นไปพร้อมๆ กันดีกว่านะครับ


การเมืองในวงการสงฆ์มีมาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาล   การแตกนิกายต่างๆ ออกไปส่วนหนึ่งก็มาจากการเมืองคือความคิดเห็นไม่ตรงกันเป็นสาเหตุ....เช่นก่อนที่พระพุทธเจ้าปรินิพาน  ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า  เมื่อเวลาผ่านไป  สิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ที่ล้าหลังก็ให้เปลี่ยนให้เหมาะสมได้   พระสงฆ์ต่างก็มานั่งถกกันว่าสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่านั้นคืออะไร  บ้างก็ว่าเรื่องข้าวปลาอาหาร ของขบเขี้ยวขบฉัน   แต่เมื่อตกลงกันไม่ได้ก็แยกนิกายกันไปส่วนหนึ่งเป็นหินยาน(เถรวาท)ส่วนหนึ่งเป็นมหายานตามที่ทราบกัน


ในระยะแรกๆ สุโขทัยรับเอาพุทธศาสนาฝ่ายมหายานเข้ามาก่อน  ต่อมาเมื่อพ่อขุนรามคำแหงเริ่มเลื่อมใสพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทลัทธิลังกา  ก็ได้อาราธนานิมนต์พระจากนครศรีธรรมราชมาอยู่ที่สุโขทัย    แคว้นสุโขทัยเลยมีพระพุทธศาสนาสองนิกายสองคณะในเวลานั้น  นั่นก็คือฝ่ายคามวาสี(พระบ้าน)และอรัญญวาสี(พระป่า)   ซึ่งตรงนี้ไม่มีการบันทึกความขัดแย้งของสงฆ์จากสองคณะแต่อย่างใด    เมื่อสุโขทัยกลายเป็นของอยุธยาๆ ก็ได้รับเอาพระพุทธศาสนาจากสุโขทัยส่วนหนึ่งเข้ามา   คณะสงฆ์กลายเป็นสามนิกาย  คือคณะอรัญวาสี   คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย  คณะคามวาสีฝ่ายขวา (โดยส่วนตัวผมเชื่อว่า  การเมืองของคณะสงฆ์น่าจะเริ่มขึ้นตรงนี้  ไม่เช่นนั้นคงไม่แตกแยกออกมาอีกเป็นฝ่ายซ้าย  ฝ่ายขวา  แต่ผมยังหาหนังสืออ่านได้ลึกละเอียดตรงนี้ยังไม่ได้  จึงไม่กล้ายืนยันสาเหตุที่ต้องมีคณะสงฆ์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา)


ลุมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์....การเมืองในคณะสงฆ์เริ่มดุเดือดด้วยว่ามาการเมืองฝ่ายบ้านเมืองเข้ามาพัวพันด้วย  พระสงฆ์เริ่มแบ่งแยกกันอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างจากฝ่ายบ้านเมือง   เช่นกรณีของสมเด็จพระวันรัตพระอาจารย์สอนวิปัสสนาของพระเจ้าตากสินวัดบางหว้าใหญ่(วัดระฆัง)  หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าตากสิน  สมเด็จพระวันรัตน์ถูกนำไปตัวสึกแล้วประหาร


และที่แยกคณะสงฆ์ออกเป็นสองพรรคสองฝ่ายอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมที่สุดจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือการถือกำเนิดของคณะสงฆ์นิกายธรรมยุตในรัชสมัยของรัชกาลที่สาม  และนอกจากการถือกำเนิดของธรรมยุตนิกายแล้ว  สิ่งที่ตามมาอีกก็คือ พระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 (ประกาศใช้วันที่ 20 กรกฏาคม 2445) ที่ได้ให้อภิสิทธิ์แก่คณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตเหนือกว่าคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกายหลายด้าน  รวมไปถึงธรรมเนียมการแต่งตั้งตำแหน่งพระสังฆราชที่มีแต่พระฝ่ายธรรมยุติครองตำแหน่งเป็นเวลานานมาก   ตรงนี้นี่เองทำให้เกิดการกินแหนงแคลงใจระหว่างพระฝ่ายมหานิกายและธรรมยุติ   จนมีการเปรียบเทียบในเชิงน้อยอกน้อยใจว่าฝ่ายหนึ่งเป็นเหมือนลูกเมียหลวงอีกฝ่ายลูกเมียน้อย  ในหนังสือ “พุทธศาสนวงศ์”(พศ.2517) ของสมเด็จพระญาณสังวรที่ทรงเขียนไว้หน้าที่ 54 ว่า

“เมื่อรัชกาลที่สี่ เสด็จขึ้นครองราชย์พระองค์ก็ได้ทรงมอบหมายตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุตสืบทอดมาโดยไม่ขาดสาย  เช่น....ได้มอบหมายตำแหน่งเจ้าคณะให้สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาปรวิเรศวิรยางกรณ์  ต่อมาก็ได้มอบหมายตำแหน่งนี้แก่สมเด็นพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส  ต่อมาก็มอบหมายให้สมเด็นพระสังฆราชเจ้ากรมหลวงชินวรสิริวัฒน์  ต่อมาก็มอบหมายให้สมเด็จพระวิรญาณวงศ์ เป็นทอดๆ ตามลำดับ  จึงเข้าใจว่ามีการเตรียมสมเด็จพระสังฆราชไว้ในกลุ่มผู้นำฝ่ายธรรมยุตตลอดมา”



แต่เดิมทีอำนาจการปกครองสงฆ์ขึ้นอยู่กับกระทรวงธรรมการ  เมื่อมีพรบ.สงฆ์ ร.ศ. 121 ออกมา  อำนาจต่างๆ ก็ถูกโอนมาที่เถรสมาคม  ส่วนอำนาจแต่งตั้ง  พระสังฆราช  สมณะศักดิ์ และเจ้าคณะ  พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งตรงนั้น  ปัจจุบันนี้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ฉบับปัจจุบัน (2535) การแต่งตั้งพระสังฆราช  สมณะศักดิ์ และเจ้าคณะ ก็ยังเป็น “พระราชอำนาจ” ของพระมหากษัตริย์อยู่    พฤติกรรมของนายสุวิทย์ที่กำลังด่าสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์  ที่เป็นสมเด็จเด็จอาวุโสสูงสุดและดำรงรักษาการพระสังฆราชอยู่ตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทเท่าไหร่   เราก็คอยดูกันต่อไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่