วันใดที่ฉันเป็นพ่อคนแม่คน ฉันจะไม่ทำแบบนี้กับลูกฉันเด็ดขาด

กระทู้คำถาม
กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ฉันตั้งใจเขียนขึ้น เพื่อสื่ออารมณ์และความรู้สึกของเหล่าลูกๆทั้งหลายที่มีต่อพ่อแม่ ในการกระทำนั้นๆที่ดูเหมือน พ่อกับแม่จะถูก แต่ถูกจริงหรือ? บางการบอกการสอนที่ดูเหมือนจะถูก แต่มันถูกจริงหรือ?  กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องอ่านเลยจริงๆ แล้วลองมองความเป็นพ่อเป็นแม่ในตัวคุณใหม่ ว่าวิธีการที่คุณใช้กับลูกคุณ มันส่งผลกระทบด้านใดบ้าง โดยเฉพาะลูกคุณที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่เขาจะดีหรือจะร้ายก็อยู่ตรงนี้
   ฉันใช้เวลาประมาณ1เดือนในการหาข้อมูลและรสุปกระทู้นี้ลงเว็บไซน์Pantip โดยหวังว่าจะพอเป็นแนวทางในการเลี้ยงลูกของคนเป็นพ่อเป็นแม่บ้าง จะได้ไม่เป็นแบบฉัน ที่วันนั้นได้เอ่ยขึ้นมาทั้งนำตาว่า "วันใดที่ฉันเป็นพ่อคนแม่คน ฉันจะไม่ทำแบบนี้กับลูกฉันเด็ดขาด"***

1)คำว่า"อธิบาย"คือ"อธิบาย" คำว่า"เถียง"คือคำว่า"เถียง"
   พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะแยกแยะระหว่าง"เถียง"กับ"อธิบาย"ไม่ออก หลายๆคน(รวมถึงผม) เวลาที่เราอธิบาย ่พอหรือแม่ก็มักจะบอกว่าเราเถียง พอเราบอกว่าเราไม่ได้เถียงเราอธิบาย เขาก็จะบอกว่าเราเถียงอยู่อย่างนั้น ซึ่งพอเราเถียงเรื่องก็มักจะไปกันใหญ่ อยากให้คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่อ่านอยู่ลองคิดดูดีๆว่า ประโยคที่ลูกๆคุณบอกคุณ มันเป็นประโยคเถียง หรือมันอดมไปด้วยเหตุและผลกันแน่ ลองคิดดูด้วยใจไร้อคติดีๆ

2)การเอาลูกเราไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น
   คนเป็นพ่อเป็นแม่ก็อยากให้ลูกดีทั้งนั้น เวลาที่เห็นลูกทำอะไรไม่ถูกใจ ก็มักจะเอาลูกๆของคุณไปเปรียบเทียบกับลูกบ้านอื่น ว่าเก่งกว่าบ้าง ว่าดีกว่าบ้าง แต่คุณลืมไปอย่างหนึ่ง คือลูกคุณไม่ได้เกิดมาในครอบครัวแบบเดียวกับเขา ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับเขา ชีวิตจิตใจต่างก็แตกต่างโดยสิ้นเชิง หนักสุดคือเรียนคนละที่คนละแบบด้วยซ้ำ แต่คุณก็เอาเขาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ในขณะที่พอไปถามลูกบ้านที่โดนเปรียบเทียบเขาก็บอกว่า พ่อกับแม่เขาก็เปรียบเทียบเขากับบ้านอื่นเหมือนกัน(ส่วนใหญ่จะบอกว่าลูกตัวเองไม่ดีเสมอ) โดยที่พ่อแม่ไม่รู้เลยว่า เขาเสียใจและฝึงจิตฝังใจกับมันมากแค่ไหน ลองคิดดูดีๆนะว่าประโยคเปรียบเทียบของคุณ มันมีคมอยู่กี่คม ในสังคมไม่ได้มีคนแค่คนเดียวที่เป็นแบบนี้ หลายๆคนก็เคยโดน บางคนที่เสียใจมากก็ทำประชดพ่อแม่เลยก็มี ถ้าการพูดแบบนั้นของคุณทำลายชีวิตทั้งชีวิตของลูก คุณคิดว่าควรหรือ คุณคิดว่าถูกต้องแล้วหรือ พ่อกับแม่อาจคิดว่าพูดแล้วก็แล้วไป แต่ลองกลับไปถามลูกๆของคุณดูสิ เขายังคิดถึงมันอย่หรือเปล่า ยังเจ็บปวดกับมันอยู่หรือเปล่า?

3)เหตุการณ์ที่มันยังไม่เกิดก็เอามาพูดเหมือนมันเกิดขึ้นแล้ว
    พอกับแม่หลายๆคนต้องเคยแน่ๆ ที่จะพูดถึงเหตุการณ์ที่เขาคาดคะเนขึ้นว่ามันจะเกิดขึ้น เป็นห่วงเรากลัวจะเป็นแบบนั้น เลยเอามาพูดกับเรา ขั้นตอนแห่งความเสียใจสุดๆไม่อยู่ตรงที่พ่อแม่คิดหรอก แต่มันเกิดขึ้นตอนที่เขาเลือกที่จะใช้วิธีใดสื่อสารกับเรา สิ่งที่สามารถสื่อสารได้ดีที่สุดก็คือ"คำพูด" เมื่อเขาพูดขึ้นมา ทำไมประโยคแห่งความเป็นห่วงมันถึงได้เปลี่ยนเป็นประโยคว่าร้ายล่ะ? หลายๆคนต้องเคยโดนแน่ๆ เวลาที่กลับบ้านค่ำๆ(ส่วนใหญ่จะเป็นลูกผู้หญิงที่โดนนะ) "กลับบ้านค่ำๆมืดๆ ไปเฝ้าผู้ชายที่ไหนมา" หรืออาจจะเป็นประโยคอื่นๆในทำนองนี้ อ่านๆดูแล้วก็เหมือนประโยคประชดนะ แต่มันมีอยู่จริงๆที่หลายคนโดนประโยคแบบนี้ก็เล่นเอาน้ำตาแทบร่วง ลองพิจารณาประโยคที่ใช้กับลูกๆคุณดีๆว่า จากที่บอกที่สอน มันจะกลายเป็นยิ่งกว่าโดนไม่แส้ไม้หวายฟาดมืออีก

4)สิ่งที่ดีที่สุดอยู่เหนือสิ่งที่ลูกชอบที่สุด
   ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่บนโลกนี้นะ พ่อแม่ที่บังคับลูกเพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเขา พยายามยัดเยียด(ในที่นี้ขอใช้คำนี้)คำว่า"ดีที่สุด"มาให้ จนลืมถามเขาไปว่า เขาชอบที่สุดหรือไม่? ลูกบางคนพูดได้ก็พอจะบอกออกมา บางคนที่พูดไม่ได้กลัวพ่อแม่เสียใจก็รับเอาความหวังดีนันมาแต่โดยดี พ่อแม่ก็ยิ้มระรื่นจนลืมมองว่า ลูกที่ยืนอยู่ข้างหลังจะน้ำตาร่วมหรือไม่?

5)บ่นให้อีกคนแต่เอามาลงกับอีกคน แล้วก็ลามมายังอีกคน
   พ่อกับแม่ทำงานมาเหนื่อยๆ มาเจอลูกทำตัวแย่ ก็อาจจะมีบ่นบ้าง แต่ดันบ่นไม่ถูกคนนี่สิ จะบ่นให้พี่แต่พี่ไม่อยู่ ก็มาบ่นเรื่องพี่กับน้องแทน บ่นไปบ่นมา คงมีหลายคน(รวมฉันคนนึง)ที่คงจะเคยพูดว่า"จะบ่นให้เขาแต่ผมลงกับหนู แล้วเขาจะได้ยินมั้ย" ไม่ว่าเราจะพูดหรือไม่ จะแย้งหรือไม่ เมื่อพ่อกับแม่ได้บ่นแล้ว จะหยุดที่เรื่องพี่ก็คงจะกะไรอยู่(- -) ก็เลยซื้อหนึ่งแถมหนึ่งมาบ่นเราด้วยเลย เรื่องที่แล้วมาแล้วก็เอามาบ่นประหนึ่งเป็นเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือกำลังเกิดขึ้น คราวนี้ก็เป็นเราแหละที่ต้องมารับรู้ทั้งคำบ่นของพี่และคำบ่นของเรา ได้ที่สองเด้ง คุ้มมั้ยล่ะ- -

6)อยู่ก็ว่า ไม่อยู่ก็ว่า
   ลูกๆหลายๆบ้านต้องเคยเป็นแน่นอน เวลาที่เราอยู่ที่บ้านพ่อกับแม่(หรือบุรุษอื่นๆที่มิได้เอ่ยสรรพนามไว้ ณ กระทู้แห่งนี้)ก็มักจะบ่นโน้นบ่นนี่ให้เรา เวลาที่โดนบ่นใครจะอยากอยู่ล่ะ? ก็เป็นธรรมดาแหละที่ลูกๆจะอยากออกไปอยู่กับเพื่อนๆที่ไร้ซึ้งคำบ่นใดๆมากกว่า แต่ก่อนที่เท้านั้นจะก้าวออกจากบ้าน หัวสมองของลูกๆหลายคนก็คงจะนึกถึงผลที่ตามมาแน่ๆ เพราะพอออกจากบ้านไปแล้วกลับเข้ามาก็โดยว่าอีกเรื่อง อยู่ก็โดนบ่น ไม่อยู่ก็โดนว่า ลองคิดดูดีๆสิ ว่าบ้านที่น่าอยู่มันจะกลายเป็นสถานที่ๆลูกๆไม่อยากกลับมากแค่ไหน

จากการรวบรวมในข้างต้นนี้ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหลายๆส่วนเท่านั้น คนเป็นพ่อเป็นแม่ที่อ่านอยู่ลองคิดดูดีๆนะ ว่าอยากให้ลูกอยู่อย่ามีความสุข หรืออยากให้เขาบ่มความทุกข์ไว้ในใจจนถึงวันสุดท้ายก็ตาม กระทู้นี้เป็นกระทู้แรก หากมีข้อผิดพลาดหรือข้อติชมก็ยินดีน้อมรับค่ะ^__________^

#KoonchayGray
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่