ดีจ้า^^ เพื่อนๆชาวพันทิป ต้องขอออกตัวก่อนนะจ๊ะ ว่านี่เป็นการมาแชร์เรื่องศัลๆ(ศัลยกรรม)เป็นครั้งแรก วันนี้ เฟิร์น จะมาแบ่งปันเรื่องราวประสบการณ์ให้เพื่อนๆได้เป็นอีกแนวทางในการเลือกในการตัดสินใจนะจุ๊….
ต้องขอเท้าความ(ยาวๆๆๆ)ก่อนนะว่าทำไมถึงคิดจะศัลยกรรมตา 2 ชั้น จากที่เมื่อก่อนบอกเลยว่าปล่อยตัวไม่ได้สนใจเรื่องความสวย ความงามสักเท่าไหร่หน้าเราก็บ้านๆแต่เมื่อโตขึ้น ทุกคนเราเชื่อว่าคงต้องอยากสวยกันเป็นธรรมดา เราก็เช่นกัน พยายามอยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้น มาดูรูปเก่าๆกันก่อนละกัน(เรียงจากขี้เร่มาก ไปหาน้อยละกัน555)
แต่แล้วการที่สวยแบบธรรมชาติโดยที่ไม่เคยคิดจะทำอะไร ไม่ได้ช่วยให้เราออกมาจากจุดด้อยที่เรามีอยู่ ที่คนอื่นพูด ย้ำกับเราจนมันทำให้เราคอยมองกระจกแล้ว เตือนบอกตัวเอง “ว่าสักวัน ฉันจะดูดีขึ้นกว่านี้ให้ได้”
มันเลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เราคิดที่อยากจะทำศัลยกรรมคือการโดนล้อ หน้าโลนบ้าง อาซิ่มบ้าง หน้าจืด ตาตี่ ใยป้าบ้าง(เราว่าไม่บ้างแล้วล่ะ เริ่มเยอะ 55 )จะตาไหนๆ บอกเลยว่าเจ็บจี๊ดTT เพราะตัวเราเองเป็นคนหนังตาเยอะ (ตาสองชั้นหลบใน)ดูยังไงก็ไม่มีมิติ ไม่สวยเลย(พูดแล้วเศร้า)
มาดูรูปหน้าสดๆกันดีกว่า>>>>ดูยังไงๆก็อาซิ่ม
แต่เราก็มีวิธีแก้ตาตี่ๆให้หายไป…เมื่อก่อนเห็นเค้าใช้ๆกันเวลาแต่งหน้าเราก็ใช้บ้างจะใช้สติ๊กเกอร์แปะตาสองชั้นมาติดก็จะทำให้เรามีชั้นตาขึ้นมาชัดขึ้น
มาดูรูปกันเวลาแปะสติ๊กเกอร์กัน>>>ว่าจะต่างกันขนาดไหนมาดูกัน555)
ดูจากภาพเพื่อนๆจะเห็นว่าชั้นตาเราเริ่มชัดใหญ่ขึ้นเนื่องจากแรกๆเราติด 1 แผ่น พอหนังเริ่มเยอะก็ใช้ 2แผ่น อิอิ
แต่ถึงยังไง มันไม่ทน ซื่อสัตย์กะเราหรอกไอ้เจ้าสติ๊กเกอร์เนี่ย หลุดบ้าง ติดสูงๆหน่อยก็ปวดตา เสียเวลากับมันจริง อยากสวยไง และเราทำงานอีเว้นท์ด้วยเราก็ต้องใช้หน้าตาในการทำงานด้วย คือเวลาไม่แต่งหน้า ล้างหน้าออกมาก็จะโดนว่า โดนทักแบบนี้ จนบ้างที รู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง น้อยใจในโชคชะตา ว่าทำไมเราไม่ตาโต จะล้างหน้าไม่ล้างหน้าก็สวยอะไรงี้^^จนตั้งใจคิดว่าสักวันฉันจะตาโตๆ(เท่าไข่ห่าน)ให้ดูว่าเราดีนัก นั่นคือแรงผลักดันได้ดีทีเดียว
จะรอช้าอยู่ใย!!เราก็เริ่มหาข้อมูลตามเพจ ตามเว็บ ต่างๆ อย่างละเอียด เพราะเรากลัวการทำอะไรเกี่ยวกับตามาก เพราะคนเรามีตาเพียงคู่เดียวเราต้องศึกษาข้อมูลดีๆ จนโชคชะตาทำให้เราไป เจอเพจของโรงพยาบาลบางมด ซึ่งจริงๆแล้วก็มีหลายๆที่ แต่สนใจ รพ.บางมด เพราะ เรามองหาสถานที่ที่เป็นโรงพยาบาล เราอยากได้ความปลอดภัยมากกว่าจะเสียเงินทั้งทีทำดีๆไปเลย ก็เข้าไปดูรีวิวการทำตา ก็เริ่มสนใจ แต่ยังไม่มั่นใจ เลยเข้าไปสอบถามกับคุณหมอเลยดีกว่า ก็ได้เข้าไปปรึกษาคุณหมอซึ่งคุณหมอเป็นกันเองมาก ใจดี (แถม หล่อด้วย 555) ซึ่งคุณหมอได้ให้ความรู้ข้อมูลเราอย่างละเอียดว่าการทำตานั้นมันขึ้นอยู่ที่ตาของแต่ละคนว่ามีปัญหาที่จุดไหน บางคนเป็นเพราะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง บางคนมีไขมันตาเยอะ บางคนอายุมากขึ้นหนังตาเยอะร่วมด้วยก็จะทำให้ตกลงมาได้ บางคนตาสองชั้นหลบใน ซึ่งเหมาะกับเทคนิคไหนนั้นต้องให้คุณหมอดูและต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และการที่ทำตาโดยส่วนใหญ่ก็จะอยู่ได้ประมาณ 5ปี หรือแล้วแต่หนังตาแต่ละคน แต่อย่างเราคุณหมอบอกว่าเราเป็นคนตาสองชั้นหลบใน(มากกก) (แต่ที่เราคิดมาตลอดว่าเราหนังตาตก) และคุณหมอดูเรารู้อีกนะว่าเราเป็นแผลคีรอยด์ง่าย ซึ่งถ้าเราทำแผลด้านนอกจะทำให้แผลไม่สวย เราก็แอบกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่คุณหมอเข้าใจว่าเราอายุยังน้อย ก็ไม่ต้องการไม่ให้เกิดแผลมากที่สุด คุณหมอบอกไม่ต้องห่วง คุณหมอจะทำให้เต็มที่ตามที่เราต้องการิ เราเลยตกลงปลงใจกับคุณหมอ (อ๊ะๆๆอย่าๆ เฮ้ย!! ไม่ใช่แบบนั้น 555) ตกลงที่จะทำตาที่ รพ.บางมด
นัดคุณหมอทำเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 58 นี้
Let Go!!! เริ่มมาดูความเปลี่ยนแปลง
ก่อนทำ
ก่อนคุณหมอมา พี่พยาบาล จะพาไปวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก และก็กินยาที่จัดไว้ให้ (น่าจะยาลดบวม กับยาแก้อักเสบ) แต่เรา กินยาแคปซูลใบบัวบกกับขมิ้นด้วยนะ(พกไปเอง) และหยอดยาแก้ระคายเคืองตาระหว่างทำตา(แสบนิดๆแปปเดียว)ระหว่างทำ
คุณหมอเข้ามาพูดคุยให้เราไม่กลัว(กลัวอยู่ดีล่ะ)และคุณหมอก็จะฉีดยาชาเข้าด้านในหนังตาเราทั้งสองข้าง และ บนหนังตาด้านนอกด้วยอย่างละเข็ม ทั้งหมด 4เข็มได้ (ไม่เจ็บ แต่เสียวมากกว่าอะ) จากนั้นคุณหมอก็จะทำการพลิกหนังตาขั้นและกรีดด้านใน เอาอะไรไม่รู้มากดเอาไขมันออก เสร็จก็จะใช้เทคนิคการทำโดยการใช้เลเซอร์ช่วย ทำจากด้านในหนังตา และเอาไขมันส่วนเกินออกทางด้านในตา และก็เย็บเรา 4จุด ใช้เวลาในการทำเพียง 15-30นาที บอกเลยว่าบีบลูกส้มยางตลอดตั้งแต่ทำจนจบเลย55 คุณหมอก็ชวนคุยไปเรื่อย เราก็คุยไปเสียวตาไป
หลังทำ
Day 1
เราขอคุณหมอบอกเอาโตๆเอาชั้นใหญ่เลยนะ กลัวตกลงมาอีก เก็บมันขึ้นไปเลยคะ อย่าให้มันมาทิ่มตาทิ่มใจหนูอีก
คุณหมอบอกจัดให้55 ก็ออกมาตามที่ต้องการ(ตานกฮูก)เชียว… ออกมาพี่พยาบาลจะพาไปประคบความเย็นก่อนกลับบ้านประมาน ครึ่งชั่วโมง
วิธีการดูแล
1.48ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยความเย็นตลอดเลยหลังจากนั้นก็ประคบบ่อยๆ
2. ห้ามล้างหน้า 2วัน (แต่เราไม่ล้าง 4-5วันเลยอยากหายไวๆ)
3.นอนหัวสูงๆ แต่อย่านอนเยอะนะคะ
4.กินยาที่หมอให้มาให้ครบ!!!
Day2เคืองๆตาเล็กน้อย เริ่มช้ำนิดหน่อย
Day3 ช้ำตรงช่วงหัวตาหน่อย เพราะเราโปะน้ำแข็งไม่โดน
Day4 ล้างหน้าได้แล้ว (แอบขี้เกียจ แต่กลัวสิวขึ้นล้างดีกว่า555)
Day5 เริ่มหายบวมแล้ว เย้ๆๆ
Day6 หายบวมแล้ว มีรอยเย็บนิดหน่อย ดูตาโตเชียว ชอบๆ
Day7 แผลหายแล้ว สวยๆ หายเร็วมาก
Day8 ตาโตๆ
รูปตอนแต่งหน้ากับตาคู่ใหม่>>>
แผลเล็ก บวมน้อย หายเร็วขึ้นและดูเป็นธรรมชาติมาก โดยส่วนตัวประทับใจทั้งคุณหมอ ตาคู่ใหม่ เทคนิคการทำ และความน่ารักของพี่ๆนางพยาบาลทุกคนเลย บริการดีตั้งแต่เข้าทำจนออกเลยค่า
นี่ก้อเป็นวิวัฒนาการจากอาซิ่มสู่สาวตาโตจบแล้วนะ ก็หวังว่าจะเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนที่กำลังมองหาตัดสินใจเลือกที่ทำกันอยู่นะ ขอให้สวยๆทุกคน สมัยนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรการแข่งขันมันสูง ยิ่งการทำงานก็เช่นกัน ทำงานดีทำงานเก่ง แต่ขาดบุคลิกภาพที่ดี ก็จะทำให้เราพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไป ย่าหยุดสวยกันดูแลตัวเองกันนะคะ แต่การจะทำอะไรต้องมีสติ เพราะมันก็เหมือนดาบสองคม อยู่ที่เราเลือกให้กับตัวเอง เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากสวย ดูดีขึ้นนะคะ
[CR][SR] Reviwe จากอาซิ่มกลายเป็นสาวตาโต โดย คุณหมอ ธนัญชัย อัศดามงคล ณ รพ.บางมด
ต้องขอเท้าความ(ยาวๆๆๆ)ก่อนนะว่าทำไมถึงคิดจะศัลยกรรมตา 2 ชั้น จากที่เมื่อก่อนบอกเลยว่าปล่อยตัวไม่ได้สนใจเรื่องความสวย ความงามสักเท่าไหร่หน้าเราก็บ้านๆแต่เมื่อโตขึ้น ทุกคนเราเชื่อว่าคงต้องอยากสวยกันเป็นธรรมดา เราก็เช่นกัน พยายามอยากทำให้ตัวเองดูดีขึ้น มาดูรูปเก่าๆกันก่อนละกัน(เรียงจากขี้เร่มาก ไปหาน้อยละกัน555)
แต่แล้วการที่สวยแบบธรรมชาติโดยที่ไม่เคยคิดจะทำอะไร ไม่ได้ช่วยให้เราออกมาจากจุดด้อยที่เรามีอยู่ ที่คนอื่นพูด ย้ำกับเราจนมันทำให้เราคอยมองกระจกแล้ว เตือนบอกตัวเอง “ว่าสักวัน ฉันจะดูดีขึ้นกว่านี้ให้ได้”
มันเลยกลายเป็นจุดเปลี่ยนให้เราคิดที่อยากจะทำศัลยกรรมคือการโดนล้อ หน้าโลนบ้าง อาซิ่มบ้าง หน้าจืด ตาตี่ ใยป้าบ้าง(เราว่าไม่บ้างแล้วล่ะ เริ่มเยอะ 55 )จะตาไหนๆ บอกเลยว่าเจ็บจี๊ดTT เพราะตัวเราเองเป็นคนหนังตาเยอะ (ตาสองชั้นหลบใน)ดูยังไงก็ไม่มีมิติ ไม่สวยเลย(พูดแล้วเศร้า)
มาดูรูปหน้าสดๆกันดีกว่า>>>>ดูยังไงๆก็อาซิ่ม
แต่เราก็มีวิธีแก้ตาตี่ๆให้หายไป…เมื่อก่อนเห็นเค้าใช้ๆกันเวลาแต่งหน้าเราก็ใช้บ้างจะใช้สติ๊กเกอร์แปะตาสองชั้นมาติดก็จะทำให้เรามีชั้นตาขึ้นมาชัดขึ้น
มาดูรูปกันเวลาแปะสติ๊กเกอร์กัน>>>ว่าจะต่างกันขนาดไหนมาดูกัน555)
ดูจากภาพเพื่อนๆจะเห็นว่าชั้นตาเราเริ่มชัดใหญ่ขึ้นเนื่องจากแรกๆเราติด 1 แผ่น พอหนังเริ่มเยอะก็ใช้ 2แผ่น อิอิ
แต่ถึงยังไง มันไม่ทน ซื่อสัตย์กะเราหรอกไอ้เจ้าสติ๊กเกอร์เนี่ย หลุดบ้าง ติดสูงๆหน่อยก็ปวดตา เสียเวลากับมันจริง อยากสวยไง และเราทำงานอีเว้นท์ด้วยเราก็ต้องใช้หน้าตาในการทำงานด้วย คือเวลาไม่แต่งหน้า ล้างหน้าออกมาก็จะโดนว่า โดนทักแบบนี้ จนบ้างที รู้สึกไม่มั่นใจตัวเอง น้อยใจในโชคชะตา ว่าทำไมเราไม่ตาโต จะล้างหน้าไม่ล้างหน้าก็สวยอะไรงี้^^จนตั้งใจคิดว่าสักวันฉันจะตาโตๆ(เท่าไข่ห่าน)ให้ดูว่าเราดีนัก นั่นคือแรงผลักดันได้ดีทีเดียว
จะรอช้าอยู่ใย!!เราก็เริ่มหาข้อมูลตามเพจ ตามเว็บ ต่างๆ อย่างละเอียด เพราะเรากลัวการทำอะไรเกี่ยวกับตามาก เพราะคนเรามีตาเพียงคู่เดียวเราต้องศึกษาข้อมูลดีๆ จนโชคชะตาทำให้เราไป เจอเพจของโรงพยาบาลบางมด ซึ่งจริงๆแล้วก็มีหลายๆที่ แต่สนใจ รพ.บางมด เพราะ เรามองหาสถานที่ที่เป็นโรงพยาบาล เราอยากได้ความปลอดภัยมากกว่าจะเสียเงินทั้งทีทำดีๆไปเลย ก็เข้าไปดูรีวิวการทำตา ก็เริ่มสนใจ แต่ยังไม่มั่นใจ เลยเข้าไปสอบถามกับคุณหมอเลยดีกว่า ก็ได้เข้าไปปรึกษาคุณหมอซึ่งคุณหมอเป็นกันเองมาก ใจดี (แถม หล่อด้วย 555) ซึ่งคุณหมอได้ให้ความรู้ข้อมูลเราอย่างละเอียดว่าการทำตานั้นมันขึ้นอยู่ที่ตาของแต่ละคนว่ามีปัญหาที่จุดไหน บางคนเป็นเพราะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง บางคนมีไขมันตาเยอะ บางคนอายุมากขึ้นหนังตาเยอะร่วมด้วยก็จะทำให้ตกลงมาได้ บางคนตาสองชั้นหลบใน ซึ่งเหมาะกับเทคนิคไหนนั้นต้องให้คุณหมอดูและต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และการที่ทำตาโดยส่วนใหญ่ก็จะอยู่ได้ประมาณ 5ปี หรือแล้วแต่หนังตาแต่ละคน แต่อย่างเราคุณหมอบอกว่าเราเป็นคนตาสองชั้นหลบใน(มากกก) (แต่ที่เราคิดมาตลอดว่าเราหนังตาตก) และคุณหมอดูเรารู้อีกนะว่าเราเป็นแผลคีรอยด์ง่าย ซึ่งถ้าเราทำแผลด้านนอกจะทำให้แผลไม่สวย เราก็แอบกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่คุณหมอเข้าใจว่าเราอายุยังน้อย ก็ไม่ต้องการไม่ให้เกิดแผลมากที่สุด คุณหมอบอกไม่ต้องห่วง คุณหมอจะทำให้เต็มที่ตามที่เราต้องการิ เราเลยตกลงปลงใจกับคุณหมอ (อ๊ะๆๆอย่าๆ เฮ้ย!! ไม่ใช่แบบนั้น 555) ตกลงที่จะทำตาที่ รพ.บางมด
นัดคุณหมอทำเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 58 นี้
Let Go!!! เริ่มมาดูความเปลี่ยนแปลง
ก่อนทำ
ก่อนคุณหมอมา พี่พยาบาล จะพาไปวัดความดัน ชั่งน้ำหนัก และก็กินยาที่จัดไว้ให้ (น่าจะยาลดบวม กับยาแก้อักเสบ) แต่เรา กินยาแคปซูลใบบัวบกกับขมิ้นด้วยนะ(พกไปเอง) และหยอดยาแก้ระคายเคืองตาระหว่างทำตา(แสบนิดๆแปปเดียว)ระหว่างทำ
คุณหมอเข้ามาพูดคุยให้เราไม่กลัว(กลัวอยู่ดีล่ะ)และคุณหมอก็จะฉีดยาชาเข้าด้านในหนังตาเราทั้งสองข้าง และ บนหนังตาด้านนอกด้วยอย่างละเข็ม ทั้งหมด 4เข็มได้ (ไม่เจ็บ แต่เสียวมากกว่าอะ) จากนั้นคุณหมอก็จะทำการพลิกหนังตาขั้นและกรีดด้านใน เอาอะไรไม่รู้มากดเอาไขมันออก เสร็จก็จะใช้เทคนิคการทำโดยการใช้เลเซอร์ช่วย ทำจากด้านในหนังตา และเอาไขมันส่วนเกินออกทางด้านในตา และก็เย็บเรา 4จุด ใช้เวลาในการทำเพียง 15-30นาที บอกเลยว่าบีบลูกส้มยางตลอดตั้งแต่ทำจนจบเลย55 คุณหมอก็ชวนคุยไปเรื่อย เราก็คุยไปเสียวตาไป
หลังทำ
Day 1
เราขอคุณหมอบอกเอาโตๆเอาชั้นใหญ่เลยนะ กลัวตกลงมาอีก เก็บมันขึ้นไปเลยคะ อย่าให้มันมาทิ่มตาทิ่มใจหนูอีก
คุณหมอบอกจัดให้55 ก็ออกมาตามที่ต้องการ(ตานกฮูก)เชียว… ออกมาพี่พยาบาลจะพาไปประคบความเย็นก่อนกลับบ้านประมาน ครึ่งชั่วโมง
วิธีการดูแล
1.48ชั่วโมงแรก ให้ประคบด้วยความเย็นตลอดเลยหลังจากนั้นก็ประคบบ่อยๆ
2. ห้ามล้างหน้า 2วัน (แต่เราไม่ล้าง 4-5วันเลยอยากหายไวๆ)
3.นอนหัวสูงๆ แต่อย่านอนเยอะนะคะ
4.กินยาที่หมอให้มาให้ครบ!!!
Day2เคืองๆตาเล็กน้อย เริ่มช้ำนิดหน่อย
Day3 ช้ำตรงช่วงหัวตาหน่อย เพราะเราโปะน้ำแข็งไม่โดน
Day4 ล้างหน้าได้แล้ว (แอบขี้เกียจ แต่กลัวสิวขึ้นล้างดีกว่า555)
Day5 เริ่มหายบวมแล้ว เย้ๆๆ
Day6 หายบวมแล้ว มีรอยเย็บนิดหน่อย ดูตาโตเชียว ชอบๆ
Day7 แผลหายแล้ว สวยๆ หายเร็วมาก
Day8 ตาโตๆ
รูปตอนแต่งหน้ากับตาคู่ใหม่>>>
แผลเล็ก บวมน้อย หายเร็วขึ้นและดูเป็นธรรมชาติมาก โดยส่วนตัวประทับใจทั้งคุณหมอ ตาคู่ใหม่ เทคนิคการทำ และความน่ารักของพี่ๆนางพยาบาลทุกคนเลย บริการดีตั้งแต่เข้าทำจนออกเลยค่า
นี่ก้อเป็นวิวัฒนาการจากอาซิ่มสู่สาวตาโตจบแล้วนะ ก็หวังว่าจะเป็นข้อมูลให้กับเพื่อนที่กำลังมองหาตัดสินใจเลือกที่ทำกันอยู่นะ ขอให้สวยๆทุกคน สมัยนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรการแข่งขันมันสูง ยิ่งการทำงานก็เช่นกัน ทำงานดีทำงานเก่ง แต่ขาดบุคลิกภาพที่ดี ก็จะทำให้เราพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไป ย่าหยุดสวยกันดูแลตัวเองกันนะคะ แต่การจะทำอะไรต้องมีสติ เพราะมันก็เหมือนดาบสองคม อยู่ที่เราเลือกให้กับตัวเอง เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่อยากสวย ดูดีขึ้นนะคะ
**SR - Sponsored Review : ผู้เขียนรีวิวนี้ไม่ได้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง แต่มีผู้สนับสนุนสินค้าหรือบริการนี้ให้แก่ผู้เขียนรีวิว โดยที่ผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนอื่นใดในการเขียนรีวิว