จขกท. พึ่งได้ดูเรื่อง 5 Centimeters Per Second [ ยามซากุระร่วงโรย ] จบครับ หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรื่องนี้มานาน
และมีความรู้สึกว่า ถ้าไม่ได้มาตั้งกระทู้จิตใจมันจะไม่สงบแน่ๆ
เรื่องนี้ถือว่าขึ้นหิ้ง เป็นตำนานไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาให้คะแนนอะไร
แต่ถ้าให้ จขกท. ให้9/10 ตัดเพราะบางฉากใช้เป็นภาพสื่ออย่างเดียวไม่มีบรรยายความคิดของตัวละครในขณะนั้น ทำให้เราต้องมามโนเอาเอง
[จขกท.ยังไม่ได้อ่านทั้งนิยายและมังงะ แต่ไปดูข้อมูลจากคนที่อ่านแล้วมาโพสไว้มาบ้าง]
ก่อนอื่นเลย 5 Centimeters Per Second จขกท.ว่ามันเป็นเหมือนหนังรักเรื่องหนึ่งเลย ที่สื่อเรื่องความรัก
ออกมาหลายแบบ ซึ่งหลายๆอย่างในเรื่องนี้ มันช่างสามารถเอามาเทียบกับชีวิตคนเราในปัจจุบันได้ดีเลย
แต่ที่เน้นๆ ก็จะเป็นเรื่องราวชีวิตของพระเอก ซึ่งมีจุดพลิกผัน นั้นก็คือ
"ความค้างคาใจ"
จากที่จขกท. ดูเรื่องนี้ ก็พบว่า พระเอก เป็นตัวละครที่ถูก
"ความค้างคาใจ" ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
แน่นอนว่า ในตอนนั้น พระเอกและนางเอกจะต้องรักกันอย่างแน่นอน แต่โชคชะตาช่างเล่นตลก(ปวดตับกับความโหดร้ายของโชคชะตาจริงๆ
)
อย่างแรก เรื่องโชคชะตาทำให้เค้ากับนางเอกต้องไกลกันตอนขึ้นม.ต้น [อนาคตที่วางเอาไว้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกันพังทลาย]
อย่างที่สอง การนัดเจอกันอีกครั้ง เพื่อจะมอบจดหมายบอกความรู้สึก แต่พายุหิมะเข้า จดหมายก็หาย [อนาคตที่วางเอาไว้ พังทลายอีกรอบ]
จากตรงนี้ พระเอกเลยคิดได้ว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน และตัดใจเรียบร้อย จึงไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปและไม่พูดเรื่องจดหมาย
ในตอนสุดท้าย เป็นนางเอกที่เป็นฝ่ายไม่ให้จดหมายที่อยู่ในกระเป๋าเพราะ จขกท.คิดว่า นางเอกก็คงทำใจประมาณหนึ่งแล้วเหมือนกัน นั้นทำให้ จขกท.ถือว่า นางเอกได้จบความสัมพันธ์ให้หยุดไว้เพียงสถานะเพื่อนด้วยตัวเอง [จดหมายของนางเอกจะเป็นจดหมายรักและบอกลาไปในตัว]
แต่ในตอนที่ลาจากกันในตอนเช้า ก็ดันไปบอกว่าจะติดต่อกลับไปหานางเอก ซึ่งผมว่าคำพูดของพระเอกเอง กลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดพระเอก เพราะนั้นกลายเป้นว่าหลังจากนั้นพระเอกกลัวว่านางเอกจะรอพระเอก [เหมือนที่รอที่สถานนีจนเผลอหลับ
]
พระเอกซึ่งยอมพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม(เพราะขึ้นม.2 ด้วย ต้องย้ายไปที่ไกลกว่าเดิม ไกลขนาดที่ว่า ไม่สามารถนั่งรถไฟมาหาได้แล้ว) แต่ในใจนั้นยังกลัวว่า นางเอกจะรอ เหมือนคราวที่ตนติดอยู่ในรถไฟแม้จะผ่านเวลานัดไปนานแล้วแต่นางเอกก็ยังรอ(สมัยก่อนไม่ได้ใช้โทรศัพท์ )
นั้นทำให้พระเอกของเราถูกอดีต ที่สำหรับตัวเองมันยังไม่เคลีย (จขกท.คิดว่าถ้าตอนนั้น นางเอกไม่รอพระเอก พระเอกก็คงไม่ต้องสับสนในชีวิตจนทำงานก็ยังมีความรู้สึกที่รบกวนจิตใจ มันทำให้พระเอกสูญเสียอะไรไปหลายอย่างมากๆ
)
ความรู้สึกของพระเอก ในช่วงม.2-ทำงาน ผมว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างจากตอนที่นั่งรถไฟ คือทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงในใจหวังให้นางเอกเลิกรอ (ซึงคราวนี้เลิกรอจริงๆ
)
แต่ก็ต้องขอบคุณนางเอกที่ในตอนจบได้มาบอกเป็นนัยยะกับพระเอกว่า ชั้นไม่ได้รอเธอ เหมือนคราวที่รอพระเอกที่สถานนีอีกแล้ว เมื่อรถไฟเคลื่อนผ่านแล้ว พระเอกไม่พบกับนางเอกที่ฝากตรงกันข้าม
ถึงตรงนี้ จขกท.ว่ามันเป็นฉากกับที่สมบูรณ์แบบมากเลย (ถึงจะเสียใจ เพราะจขกท.คิดว่า ทั้งพระเอกและนางเอก รักกันมากๆเลย ถ้าโชคชะตามีตัวตน จขกท.จะไปกระทืบเอง
)
แน่นอนว่าผลจากการที่พระเอก ยังมีเรื่องค้างคาในใจ ก็ทำให้ คนอีกสองคนได้รับผลกระทบไปด้วย
หนึ่งคือ สาวเซิร์ฟบอร์ด ตอนม.ปลาย แน่นอนว่าเธอคนนี้โชคดีที่มองออกว่าพระเอกไม่ได้มองมาที่ตัวเอง จึงเลือกที่จะไม่สารภาพรัก และเดินหน้าต่อไป
บ่งบอกถึงปัจจุบันที่มีกระทู้ถามเยอะมาก เรื่องแอบชอบเพื่อน แน่นอนเป็นโชคดีของสาวเซิร์ฟบอร์ดที่โชคดีเลือกทางถูก ไม่สารภาพไป
แต่เป็นโชคร้ายของสาวแว่นที่เลือกทางผิด การคบกัน3ปี ไม่ทำให้พระเอกหันมามองตนแม้แต่น้อย ทำให้จบลงด้วยความเจ็บปวด
ความรักจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจาก สถานที่และเวลาที่ถูกต้องจริงๆ
แน่นอนว่าตลอดมานั้นพระเอก นั้นครุ่นคิดแต่เรื่องของนางเอก ทั้งๆที่ตนตัดใจยอมแพ้ต่อโชคชะตาไปแล้ว แต่พระเอกก็ยังมีความกลัวว่า นางเอกจะยังไม่ยอมแพ้และนั่งรอเค้าเงียบๆ เหมือนที่รอในสถานนี
ฉากพระเอกทำกุญแจตก เค้าคงจะคิดในใจแน่ๆว่า "ทำไมกุญแจ มันถึงไม่ปลิ้วไปแทนจดหมายในตอนนั้นนะ"
จขกท.คิดว่า หากพระเอกได้มอบจดหมายให้นางเอก เรื่องจะต้องจบลงอย่าง แฮปปี้ เอนดิ้งแน่นอน แต่พอไม่ได้ให้
ทำให้ความสัมพันธ์ถูกแช่แข็ง
[จขกท.ยังเชื่อว่า ถ้าทั้งสองบอกรักกันในวันนั้น ถึงระยะทางจะห่างไกล แต่ทั้งสองจะฝ่าฟันไปได้]
เหมือนปัจจุบันที่ มีหลายคู่ที่คุยกับแบบ ไม่มีสถานะ อาจจะเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักและสุดท้ายเวลาและระยะทางก็จะทำให้ คุณและคนๆนั้นหยุดพูดคุยกัน
อีกอย่างที่สามารถอิงกับปัจจุบันได้ คือ เพื่อน[ประสบการณ์จริงของ จขกท.] หากเรามีเพื่อนสนิทกันมากๆ แล้ววันหนึ่งเมื่อเรียนจบก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงาน [จขกท.กลับบ้านเกิดซึ่งอยู๋ห่างไกลจากโรงเรียนที่เรียนจบมาก] แม้จะยังมีกลุ่มlineอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป
การมาเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกมันก็ได้เปลี่ยนไปพอสมควร ตรงนี้จขกท.คิดว่า จขกท.เป็นเหมือนพระเอกมาก คือคิดว่าเพื่อนๆจะยังเป็นเหมือนเดิมไหมนะ แต่เพื่อนๆเค้าก็ต้องไปพบโลกใหม่ๆละนะ อันนี้ จขกท.เข้าใจ
สุดท้ายแล้ว หากมีอะไรที่ค้างคา เราก็ควรที่จะจัดการทำมันให้จบๆไปแล้ว อย่าปล่อยให้ความค้างคา มาทำลายและช่วงชิง โอกาสของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตเหมือนพระเอก ที่กว่าจะหลุดพ้นจากความค้างคาใจ ก็ต้องเสียอะไรไปมากมาย ทั้งเรื่องความรัก และการงาน
ปล.จขกท.รู้สึกโล่งจริงๆที่ได้เขียนกระทู้ระบายอันนี้ ไม่อย่างงั้นจขกท.ต้องรู้สึก อัดอั้นและค้างคา เหมือนพระเอกของเรื่อง 5 Centimeters Per Second อย่างแน่นอน
หาก จขกท.เข้าใจเนื้อเรื่องผิดส่วนไหน ก็ช่วยบอกด้วยนะครับ
ปล.2ใครก็ได้ช่วยบอกเนื้อหาของจดหมายของทั้งสองคนให้หน่อย จขกท.อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก นิยายก็ไม่ได้ซื้อ
ขอบคุณครับ
[ระบาย] พึ่งดู 5Centimeters Per Second [ ยามซากุระร่วงโรย ] จบ
จขกท. พึ่งได้ดูเรื่อง 5 Centimeters Per Second [ ยามซากุระร่วงโรย ] จบครับ หลังจากได้ยินชื่อเสียงเรื่องนี้มานาน
และมีความรู้สึกว่า ถ้าไม่ได้มาตั้งกระทู้จิตใจมันจะไม่สงบแน่ๆ
เรื่องนี้ถือว่าขึ้นหิ้ง เป็นตำนานไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องมาให้คะแนนอะไร
แต่ถ้าให้ จขกท. ให้9/10 ตัดเพราะบางฉากใช้เป็นภาพสื่ออย่างเดียวไม่มีบรรยายความคิดของตัวละครในขณะนั้น ทำให้เราต้องมามโนเอาเอง
[จขกท.ยังไม่ได้อ่านทั้งนิยายและมังงะ แต่ไปดูข้อมูลจากคนที่อ่านแล้วมาโพสไว้มาบ้าง]
ก่อนอื่นเลย 5 Centimeters Per Second จขกท.ว่ามันเป็นเหมือนหนังรักเรื่องหนึ่งเลย ที่สื่อเรื่องความรัก
ออกมาหลายแบบ ซึ่งหลายๆอย่างในเรื่องนี้ มันช่างสามารถเอามาเทียบกับชีวิตคนเราในปัจจุบันได้ดีเลย
แต่ที่เน้นๆ ก็จะเป็นเรื่องราวชีวิตของพระเอก ซึ่งมีจุดพลิกผัน นั้นก็คือ "ความค้างคาใจ"
จากที่จขกท. ดูเรื่องนี้ ก็พบว่า พระเอก เป็นตัวละครที่ถูก "ความค้างคาใจ" ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
แน่นอนว่า ในตอนนั้น พระเอกและนางเอกจะต้องรักกันอย่างแน่นอน แต่โชคชะตาช่างเล่นตลก(ปวดตับกับความโหดร้ายของโชคชะตาจริงๆ )
อย่างแรก เรื่องโชคชะตาทำให้เค้ากับนางเอกต้องไกลกันตอนขึ้นม.ต้น [อนาคตที่วางเอาไว้ว่าจะเรียนโรงเรียนเดียวกันพังทลาย]
อย่างที่สอง การนัดเจอกันอีกครั้ง เพื่อจะมอบจดหมายบอกความรู้สึก แต่พายุหิมะเข้า จดหมายก็หาย [อนาคตที่วางเอาไว้ พังทลายอีกรอบ]
จากตรงนี้ พระเอกเลยคิดได้ว่า อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน และตัดใจเรียบร้อย จึงไม่ได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปและไม่พูดเรื่องจดหมาย
ในตอนสุดท้าย เป็นนางเอกที่เป็นฝ่ายไม่ให้จดหมายที่อยู่ในกระเป๋าเพราะ จขกท.คิดว่า นางเอกก็คงทำใจประมาณหนึ่งแล้วเหมือนกัน นั้นทำให้ จขกท.ถือว่า นางเอกได้จบความสัมพันธ์ให้หยุดไว้เพียงสถานะเพื่อนด้วยตัวเอง [จดหมายของนางเอกจะเป็นจดหมายรักและบอกลาไปในตัว]
แต่ในตอนที่ลาจากกันในตอนเช้า ก็ดันไปบอกว่าจะติดต่อกลับไปหานางเอก ซึ่งผมว่าคำพูดของพระเอกเอง กลายเป็นสิ่งที่ผูกมัดพระเอก เพราะนั้นกลายเป้นว่าหลังจากนั้นพระเอกกลัวว่านางเอกจะรอพระเอก [เหมือนที่รอที่สถานนีจนเผลอหลับ]
พระเอกซึ่งยอมพ่ายแพ้ต่อชะตากรรม(เพราะขึ้นม.2 ด้วย ต้องย้ายไปที่ไกลกว่าเดิม ไกลขนาดที่ว่า ไม่สามารถนั่งรถไฟมาหาได้แล้ว) แต่ในใจนั้นยังกลัวว่า นางเอกจะรอ เหมือนคราวที่ตนติดอยู่ในรถไฟแม้จะผ่านเวลานัดไปนานแล้วแต่นางเอกก็ยังรอ(สมัยก่อนไม่ได้ใช้โทรศัพท์ )
นั้นทำให้พระเอกของเราถูกอดีต ที่สำหรับตัวเองมันยังไม่เคลีย (จขกท.คิดว่าถ้าตอนนั้น นางเอกไม่รอพระเอก พระเอกก็คงไม่ต้องสับสนในชีวิตจนทำงานก็ยังมีความรู้สึกที่รบกวนจิตใจ มันทำให้พระเอกสูญเสียอะไรไปหลายอย่างมากๆ)
ความรู้สึกของพระเอก ในช่วงม.2-ทำงาน ผมว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ต่างจากตอนที่นั่งรถไฟ คือทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงในใจหวังให้นางเอกเลิกรอ (ซึงคราวนี้เลิกรอจริงๆ)
แต่ก็ต้องขอบคุณนางเอกที่ในตอนจบได้มาบอกเป็นนัยยะกับพระเอกว่า ชั้นไม่ได้รอเธอ เหมือนคราวที่รอพระเอกที่สถานนีอีกแล้ว เมื่อรถไฟเคลื่อนผ่านแล้ว พระเอกไม่พบกับนางเอกที่ฝากตรงกันข้าม
ถึงตรงนี้ จขกท.ว่ามันเป็นฉากกับที่สมบูรณ์แบบมากเลย (ถึงจะเสียใจ เพราะจขกท.คิดว่า ทั้งพระเอกและนางเอก รักกันมากๆเลย ถ้าโชคชะตามีตัวตน จขกท.จะไปกระทืบเอง)
แน่นอนว่าผลจากการที่พระเอก ยังมีเรื่องค้างคาในใจ ก็ทำให้ คนอีกสองคนได้รับผลกระทบไปด้วย
หนึ่งคือ สาวเซิร์ฟบอร์ด ตอนม.ปลาย แน่นอนว่าเธอคนนี้โชคดีที่มองออกว่าพระเอกไม่ได้มองมาที่ตัวเอง จึงเลือกที่จะไม่สารภาพรัก และเดินหน้าต่อไป
บ่งบอกถึงปัจจุบันที่มีกระทู้ถามเยอะมาก เรื่องแอบชอบเพื่อน แน่นอนเป็นโชคดีของสาวเซิร์ฟบอร์ดที่โชคดีเลือกทางถูก ไม่สารภาพไป
แต่เป็นโชคร้ายของสาวแว่นที่เลือกทางผิด การคบกัน3ปี ไม่ทำให้พระเอกหันมามองตนแม้แต่น้อย ทำให้จบลงด้วยความเจ็บปวด
ความรักจะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจาก สถานที่และเวลาที่ถูกต้องจริงๆ
แน่นอนว่าตลอดมานั้นพระเอก นั้นครุ่นคิดแต่เรื่องของนางเอก ทั้งๆที่ตนตัดใจยอมแพ้ต่อโชคชะตาไปแล้ว แต่พระเอกก็ยังมีความกลัวว่า นางเอกจะยังไม่ยอมแพ้และนั่งรอเค้าเงียบๆ เหมือนที่รอในสถานนี
ฉากพระเอกทำกุญแจตก เค้าคงจะคิดในใจแน่ๆว่า "ทำไมกุญแจ มันถึงไม่ปลิ้วไปแทนจดหมายในตอนนั้นนะ"
จขกท.คิดว่า หากพระเอกได้มอบจดหมายให้นางเอก เรื่องจะต้องจบลงอย่าง แฮปปี้ เอนดิ้งแน่นอน แต่พอไม่ได้ให้ ทำให้ความสัมพันธ์ถูกแช่แข็ง
[จขกท.ยังเชื่อว่า ถ้าทั้งสองบอกรักกันในวันนั้น ถึงระยะทางจะห่างไกล แต่ทั้งสองจะฝ่าฟันไปได้]
เหมือนปัจจุบันที่ มีหลายคู่ที่คุยกับแบบ ไม่มีสถานะ อาจจะเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักและสุดท้ายเวลาและระยะทางก็จะทำให้ คุณและคนๆนั้นหยุดพูดคุยกัน
อีกอย่างที่สามารถอิงกับปัจจุบันได้ คือ เพื่อน[ประสบการณ์จริงของ จขกท.] หากเรามีเพื่อนสนิทกันมากๆ แล้ววันหนึ่งเมื่อเรียนจบก็ต้องแยกย้ายกันไปทำงาน [จขกท.กลับบ้านเกิดซึ่งอยู๋ห่างไกลจากโรงเรียนที่เรียนจบมาก] แม้จะยังมีกลุ่มlineอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป
การมาเจอกันอีกครั้ง ความรู้สึกมันก็ได้เปลี่ยนไปพอสมควร ตรงนี้จขกท.คิดว่า จขกท.เป็นเหมือนพระเอกมาก คือคิดว่าเพื่อนๆจะยังเป็นเหมือนเดิมไหมนะ แต่เพื่อนๆเค้าก็ต้องไปพบโลกใหม่ๆละนะ อันนี้ จขกท.เข้าใจ
สุดท้ายแล้ว หากมีอะไรที่ค้างคา เราก็ควรที่จะจัดการทำมันให้จบๆไปแล้ว อย่าปล่อยให้ความค้างคา มาทำลายและช่วงชิง โอกาสของเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตเหมือนพระเอก ที่กว่าจะหลุดพ้นจากความค้างคาใจ ก็ต้องเสียอะไรไปมากมาย ทั้งเรื่องความรัก และการงาน
ปล.จขกท.รู้สึกโล่งจริงๆที่ได้เขียนกระทู้ระบายอันนี้ ไม่อย่างงั้นจขกท.ต้องรู้สึก อัดอั้นและค้างคา เหมือนพระเอกของเรื่อง 5 Centimeters Per Second อย่างแน่นอน
หาก จขกท.เข้าใจเนื้อเรื่องผิดส่วนไหน ก็ช่วยบอกด้วยนะครับ
ปล.2ใครก็ได้ช่วยบอกเนื้อหาของจดหมายของทั้งสองคนให้หน่อย จขกท.อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก นิยายก็ไม่ได้ซื้อ
ขอบคุณครับ