ลงทุนในหุ้นคุณหวังว่าจะได้กำไรเท่าไร

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดมาแล้ว 40 ปี
ว่ากันว่าผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนคือประมาณ 12% ทบต้น
แต่ก็มีปีที่ได้เกิน 100% และ มีปีที่ติดลบมากกว่า 50% ยิ่งหากมองไปที่หุ้นเป็นรายตัว
บางตัวราคาเพิ่มขึ้นเป็น หลายพันเปอร์เซนต์
และเช่นกันที่หลายตัวต้องถูกออกจากตลาดโดยนักลงทุนเสียเงินที่ลงทุนไปทั้งหมด

สำหรับนักลงทุนแนวเทคนิค อาจจะสามารถทำกำไรในหุ้นได้ วันละหลายรอบ
รอบละ 1-5% ถ้าทำได้ทุกวันก็คงจะมีกำไรปีละ 200-1,000%
ส่วนนักลงทุนแนววีไอ ก็อาจจะเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานดีแล้วรอให้ขึ้นไป 200-500% ใน 3-5ปี
ส่วนนักลงทุนรายย่อยที่ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนส่วนใหญ่ก็จะฟังตามๆ กันว่าตัวนั้นตัวนี้จะมา
แล้วเข้าไปเก็งกำไรแบบแนวเทคนิค แต่พอผิดพลาดกลับไม่สามารถทำใจตัดขาดทุน
ซึ่งเป็นหัวใจของนักเล่นหุ้นแนวเทคนิคได้
แต่กลับแปลงกายเป็นนักลงทุนวีไอ(ในหุ้นที่ไม่ใช่วีไอ) ทนถือยาวขาดทุนไป


     แม้แต่บางคนที่คิดว่าตนเองเป็นวีไอ (กึ่งๆ) อุตส่าห์เลือกลงทุนในหุ้นใหญ่พื้นฐานดี
แต่เพราะมาทีหลังจึงเข้าหุ้นดีที่ราคาแพง(PEสูง) พอถึงช่วงหนึ่งราคาหุ้นกลับไม่ไปไหน
และอาจจะมีการย่อลงมาบ้าง ก็พาให้อึดอัดใจ ว่าอุตส่าห์เลือกหุ้นใหญ่พื้นฐานดีแล้ว
ก็ยังทำผลตอบแทนได้ไม่ดี ครั้นจะให้ไปหาหุ้นเล็กๆ กลางๆ ที่กำลังจะมีอนาคต
เพื่อจะเป็นหุ้นวีไอ ที่แท้จริงในอนาคตเหมือนหุ้นวีไอรุ่นพี่ ตนเองก็ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ขาด
เพราะอนาคตของบริษัทก็ยังไม่เห็นชัดเจนแน่นอน
ถ้าไปลงทุนแล้วธุรกิจตั้งไข่ไม่ได้ซะทีก็รู้สึกว่าเงินจม
และ มักจะลังเลว่าตนคิดผิดหรือเปล่าที่มาลงทุนกับอนาคตบริษัทที่ยังไม่แน่นอน

ที่เกริ่นมาซะเยอะก็อยากจะบอกว่า การลงทุนในตลาดหุ้นนั้น เสี่ยงมากๆ
ก่อนที่คุณจะลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปีในระยะยาวนี้  
อยากลองถาม ให้คุณคิดว่า

- คุณคาดหวังผลตอบแทนการลงทุนต่อปีที่เท่าไร?
- ช่วง 2-5ปีที่ผ่านมา คุณทำกำไรจากการลงทุนได้กี่เปอร์เซนต์ต่อปี?

ถ้าหากทำผลตอบแทนได้น้อยกว่า 12% หรือ แม้แต่น้อยกว่า 20% ต่อปี
ผมว่าการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงมากเกินกว่าผลตอบแทนที่ได้ (คือ เสี่ยงมากแต่ได้ไม่มาก)

แล้วอย่างนี้จะไปลงทุนอะไรดีล่ะ ฝากเงินนี่ยิ่งได้น้อยใหญ่เลยแค่ 0.5% – 3.0%
เงินเฟ้อก็ประมาณ 3% สรุปคือฝากเงินไปก็เหมือนไม่ได้อะไรเพิ่ม


จริงอยู่ตลาดการเงิน บ้านเรามันอยู่ 2 ฝั่งสุดขั้วกันอยู่ ก็คือ

- ถ้าเล่นหวย เล่นหุ้น ผลตอบแทนสูง และ ความเสี่ยงจะสูงมาก
- ส่วนถ้าฝากเงิน ผลตอบแทนก็จะต่ำมาก แต่ก็มีการรับรองว่าเงินไม่หายไปไหน


หลายคนอยากจะรับความเสี่ยงบ้าง โดยหวังว่าจะได้ผลตอบแทน ค่อนข้างดี
ผมก็เป็นคนหนึ่งในนั้นที่พยายามมองหาการลงทุนดังว่านี้
และตอนนี้ผมก็พบแล้วว่ามีการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอยู่ในช่วง 5-10%
โดยความเสี่ยงกลางๆ พอรับได้นั่นคือ การลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และ สิทธิการเช่าต่างๆ


กองทุนอสังหาริมทรัพย์ ถ้าจะอธิบายง่ายๆ ขอเปรียบเทียบกับการมีบ้านเช่า ดังนี้ว่า
สมมุติ ผมมีเงิน 1,000,000 บาท ผมสามารถซื้อทาว์นเฮาส์หลังหนึ่งสัก 8 แสนบาท
รวมค่าโอนค่าใช้จ่ายจิปาถะแล้วรวมๆ เป็น1ล้านครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด
แล้วผมปล่อยเช่าได้เดือนละ 6,000 บาท เป็นปีละ 72,000 บาท หรือผลตอบแทนปีละ 7.2%


กองทุนอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นกันคือจะนำเงินที่รวบรวมได้ไปลงทุน ในสินทรัพย์คือ
อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โกดัง ตึก แล้วปล่อยเช่าโดยมีรายรับจากค่าเช่า
ซึ่งผลตอบแทนค่าเช่าที่ได้ก็อยู่ที่ 5-15% ดังนั้นผลตอบแทนที่ได้ก็จะเฉลี่ยอยู่ในช่วงนี้
ในแง่ความเสี่ยงก็มีกรณีที่ผู้เช่าไม่เช่าต่อ หรือ ทรัพย์สินเสียหายเช่นไฟใหม้
แต่โดยมากกองทุนจะกระจายการลงทุนออกไปหลายๆ อาคาร ก็จะลดความเสียหายใหญ่ๆ ได้

โดยสรุปก็คือ
หากต้องการความมั่นคงปลอดภัยในการลงทุนแบบเต็มที่
ก็ลงทุนใน เงินฝาก ซึ่งเสียงน้อย และได้ผลตอบแทนน้อยมาก
แต่หากอยากได้ผลตอบแทนมากขึ้น ลงทุนแล้วกินได้นอนหลับได้กำไรสม่ำเสมอพอสมควร
ก็แนะนำให้ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์
แต่หากอยากวัดดวงกล้าได้กล้าเสีย คิดว่าถ้าจะรวยมันต้องมีดวง
ก็แนะนำให้ ลงทุนในหุ้น และ ซื้อหวยครับ  

ขอให้โชคดีและมีความสุขในการลงทุนนะครับ ^_^
------------------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามบล็อกบริหารการเงินแบบง่ายๆ ในรูปแบบ FB ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/Pefinance?ref=hl

เพื่อนๆสามารถไปติดตามอ่านได้ที่ บล็อก PEFINANCE
https://pefinance.wordpress.com/about/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่