คิวชู เกาะขนาดใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ที่มีทิวทัศน์สวยๆ ของภูเขาไฟที่มีชีวิต ภูเขาไฟอาโสะ แหล่งน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่เมืองเบบปุ เมืองน่ารักท่ามกลางธรรมชาติที่ยูฟูอิน ปราสาทเก่าแก่ที่เมืองคุมาโมโต้ และศูนย์รวมความเจริญที่เมืองฟุกุโอกะ
ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปยังทั้ง 5 เมืองข้างต้น ทางตอนบนของเกาะคิวชู 16-21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่กำลังเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สีสันของต้นไม้ใบหญ้ากำลังจะกลายเป็นสีเหลืองแดง และร่วงหล่นไป
บรรยากาศแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่มีทั้งฝนช่วงท้ายฤดู และลมหนาวที่กำลังพัดผ่านเข้ามา มันเป็นความชัดเจนที่สุด ที่ธรรมชาติกำลังสอนเราว่า ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ... ขอเชิญติดตามชมไปพร้อมๆกันครับ
ณ.สถานีฮากาตะ Hakata Station
สถานีรถไฟแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางการเดินทางของเกาะคิวชู อยู่ห่างจากสนามบินฟุกุโอกะเพียง 2 สถานี ที่นี่นอกจากจะเป็นชุมทางของรถไฟสายหลักแล้ว ยังเป็นศูนย์การค้า ศูนย์รวมร้านอาหาร เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของผมในครั้งนี้
ชื่อฮากาตะ นั้นเคยเป็นชื่อเมืองท่า เมืองค้าขายเก่าแก่ กับจีนและเกาหลี เคยมีความเจริญสูงสุด และก็ถูกทำลายโดยสงครามหลายครั้ง ในปัจจุบันถูกรวมเข้ากับเมืองฟุกุโอกะ กลายเป็นย่านสำคัญของเมืองนี้
หลังจากจัดการกับตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้ว เหลือเวลาไม่มากนักก่อนจะต้องนั่งรถไฟไปเมืองต่อไป ดีที่ชั้นบนของสถานีแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมร้านอาหารอยู่แล้ว ตกลงปลงใจกับร้าน Danshiro store กับอาหารชุดข้าวผัด ปลาทอดและโซบะ น่าจะเหมาะกะเวลาเร่งด่วนแบบนี้
มื้อแรกของทริป ร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงมีมาตรฐาน ทั้งคุณภาพและรสชาติ แม้จะเป็นจานด่วน ในร้านที่สุ่มๆเอา ก็ยังเข้าขั้นอร่อย
อิ่มแล้วเดี๋ยวเราเดินทางไปเมืองยูฟูอินกันครับ
ในบรรดาพาหนะทั้งหลาย ผมว่ารถไฟ เป็นพาหนะที่เดินทางแล้วมีความสุขที่สุด ยิ่งเป็นรถไฟที่สะอาด ปลอดภัย ตรงเวลา แบบที่ญี่ปุ่นนี้ การนั่งรถไฟทีละ 2-3 ชั่วโมงนั้นไม่รู้สึกว่านานเลย
รถไฟสีแดงแนววินเทจขบวนนี้ กำลังจะพาเราไปเมืองยูฟุอิน เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ระหว่างทางผ่านแม่น้ำ ภูเขา ทุ่งหญ้า มีให้ชมแบบพาโนรามา ตลอดเส้นทาง
เรื่องค่าโดยสาร ก็ไม่ต้องกังวล สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ แค่ซื้อตั๋วรถไฟ JR pass ก็เหมารวมค่าใช้จ่ายไว้หมดแล้ว แผนการเดินทางของผมในทริปนี้ ไปเฉพาะในส่วนคิวชูเหนือ ซื้อตั๋ว JR pass North Kyushu แบบ 5 วันประมาณ 3 พันบาท ก็ครอบคลุมการเดินทางระหว่างเมืองทุกเมืองแล้ว ถ้าอยากสบายใจว่ามีที่นั่งแน่ๆ ก็แค่เสียเวลาอีกนิด เอา JR pass ของเราไปจองตั๋วแบบระบุที่นั่งที่สถานีรถไฟใหญ่ๆ อย่างสถานีฮากาตะ ก็จะได้มั่นใจว่า เดินเที่ยวมาเหนื่อยๆ ขึ้นรถไฟมามีที่นั่งแน่นอนครับ
แต่ในบางขบวน ก็ไม่มีให้จองแบบระบุที่นั่ง หรือแบบระบุที่นั่งเต็มแล้ว อย่างขบวนที่ผมนั่งไปยูฟุอินตอนนี้ แต่ด้วยว่าเป็นวันธรรมดา ก็ยังมีที่นั่งให้เราเลือกได้อย่างเหลือเฟือครับ
ถึงยูฟุอิน 2 โมงกว่า เหมือนว่าจะผิดแผนไปหน่อย มีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 2 ชั่วโมง หวั่นๆว่าจะน้อยเกินไป ถึงปุ๊บก็ไม่มีเวลาให้โอ้เอ้แล้ว
Yufuin ยูฟุอิน เมืองเล็กๆต้องห้าม(พลาด)
ก่อนเดินทาง ผมศึกษาข้อมูลของเมืองนี้มาบ้าง ดูขนาดจากแผนที่แล้ว เดินชมวิวซักครึ่งวันก็น่าจะทั่ว แต่เอาเข้าจริง ความสวยงามของทะเลสาบ Kinrin-ko และภูเขา Yufu-dake ให้ครึ่งวันก็ยังไม่น่าจะเต็มอิ่ม
ยิ่งเหลือเวลาแค่ 2 ชั่วโมงแบบผมตอนนี้ ก็คงทำได้แต่จ้ำเท้าผ่านถนนคนเดินที่ยาวเป็นกิโลไปท้ายหมู่บ้าน ที่เป็นที่ตั้งของทะเลสาบ ถ่ายรูปได้ไม่กี่รูป แล้วก็ต้องรีบจ้ำกลับมาแล้ว ไหนจะต้องฝ่าฝูงชนนักท่องเที่ยว ที่เป็นการยืนยันได้ว่า ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตขนาดไหน มุมนึงก็ทำให้รู้สึกว่ามันคึกคัก แต่อีกมุมก็รู้สึกว่า สถานที่ที่สวยงามแห่งนี้ ได้สูญเสียความสงบไปตลอดกาลแล้ว
สำหรับคนที่อยากเห็นวิวสวยๆ แบบสงบ ผมว่าการได้พักค้างคืนที่เมืองนี้ แล้วรอชมวิวสวยๆ กับแสงตอนเช้า แบบไร้ผู้คน น่าจะทำให้รู้สึกอินกับความงามของยูฟุอินมากกว่านี้
ถ้าตัดเรื่องกองทัพนักท่องเที่ยวออกไป ผมว่าความสวยงามของธรรมชาติที่นี่ น่าจะอยู่ในระดับ 5 ดาว ไม่แพ้ที่ใดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
การเดินทางโดยรถไฟบนเกาะคิวชู มีความพิเศษที่ล้ำไปอีกขั้นคือ ประสบการณ์ที่ได้นั่งรถไฟที่มีดีไซน์สวยๆ อย่างขบวนนี้ก็เป็นหนึ่งในขบวนพิเศษที่มีธีมเป็นมิคกี้เม้าส์ เป็นเอกลักษณ์ของรถไฟ Limited Express สายฮากาตะ-โออิตะ ที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า Sonic
เจ้า Sonic ขบวนนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1995 วิ่งระหว่างสถานีฮากาตะ กับโออิตะ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมโดยสารขบวนนี้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ ระหว่าง โออิตะ กับเบปปุ ใช้เวลาแค่ 8 นาทีเท่านั้น เรียกถ่ายรูปยังไม่ทั่วก็ต้องลงแล้ว
รถขบวนพิเศษที่มีดีไซน์สวยๆแบบนี้ ยังมีอีกหลายขบวน มีดีไซน์แตกต่างกันไป วิ่งไปในหลายเส้นทาง ส่วนใหญ่ก็จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ บนเกาะคิวชู หากใครไปแล้ววางแผนการเดินทางให้ลงล็อคกับรถไฟสุดคลาสสิคเหล่านี้ ก็น่าจะเพิ่มความพิเศษ เพิ่มความประทับให้กับการเดินทางครั้งนั้น
และถึงจะไม่ใช่ขบวนพิเศษ เป็นรถไฟขบวนธรรมดา ที่เรียกว่ารถไฟท้องถิ่นบนเกาะแห่งนี้ รูปร่างหน้าตาก็ยังเรียกได้ว่า สวยคลาสสิค น่านั่ง น่าถ่ายรูปด้วยทุกขบวน อย่างเจ้าขบวนเล็กๆ สีเหลือง ที่สถานียูฟุอิน ขบวนนี้
ประมาณ 4 โมง ผมออกจากยูฟุอิน มาเปลี่ยนขบวนที่สถานีโออิตะ แล้วนั่งเจ้า Sonic ไปยังจุดหมายปลาย เมืองเบปปุ ที่จะพักในคืนนี้ ถึงเบปปุ 5 โมงกว่า ที่ญี่ปุ่นฤดูนี้ 5 โมงก็ค่ำแล้ว ผมออกมาสำรวจเมืองเบปปุ ในความเงียบเหงาอีกสักพัก ก่อนที่จะเข้านอนในแคปซูล ในโรงแรมแคปซูลที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีนัก
เวลาเดินทางไกลๆ ช่วงเวลา 1 วันมันช่างยาวนานเหลือเกิน ถึงเวลาต้องพักแล้ว เอาแรงไว้ลุยเมืองเบปปุต่อในวันพรุ่งนี้
เบปปุ ฟ้าหม่นๆ กับฝนโปรยปราย
เช้านี้ที่เบปปุ เหมือนยังไม่เช้า อากาศหนาวมาพร้อมกับสายฝน ถนนเฉอะแฉะ เมืองนี้เค้าว่ามีชื่อเสียงเรื่องน้ำพุร้อน ออนเซน มีน้ำร้อนออกมาจากใต้ภิภพมากกว่าที่ใดในญี่ปุ่น
จุดหมายสำหรับการท่องเที่ยวของผมวันนี้ คือที่บ่อนรกแห่งเบปปุ Jigoku ( 地獄 , The hells of Beppu ) เป็นแหล่งของบ่อน้ำพุร้อน ที่มีความพิเศษแตกต่างกัน 8 บ่อ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้ ที่ใครๆเค้าก็ว่า มาถึงเมืองนี้ต้องไปชม
ผมเห็นจากภาพแล้วก็ว่า ที่เที่ยวแนวๆนี้ จะไม่ไปก็ได้นะ ไปก็เพราะว่าใครๆเค้าก็ไปกัน ยิ่งฟ้าฝนไม่เป็นใจแบบนี้ ยิ่งรู้สึกถอดใจ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย ก็คิดอีกว่า เดินแกร่วในเมืองเงียบเหงาแบบนี้ ก็ยิ่งไม่ใช่
สุดท้าย ก็พาตัวเองฝ่าฝน ไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าสถานีเบปปุ ไปดูบ่อนรกแห่งเบปปุ ให้เห็นกับตาซักครั้ง ฝนเอยช่วยเพลาลง ให้เห็นวิวสวยๆบ้างเถิดนะ
สิ่งที่น่าประทับใจ ที่ Jigoku บ่อนรกแห่งเบปปุ สำหรับผมแล้ว กลับเป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีต้นไม้ในฤดูที่ใบเปลี่ยนสี เป็นสีเหลืองอร่ามอยู่เบื้องหลัง ขับให้สีแดงของโทริอิ ยิ่งสวยเด่น
คงมิใช่ความบังเอิญที่สิ่งก่อสร้างจะมาอยู่คู่กับธรรมชาติอย่างงดงามแบบนี้ เหมือนสถานที่ที่สวยงามอีกมากมายในญี่ปุ่น ที่ทุกสิ่งได้ผ่านการออกแบบอย่างปราณีต เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้อย่างแท้จริง
ส่วนบ่อน้ำพุร้อนรอบๆ Jigoku ที่มีความพิเศษแตกต่างกันไปทั้ง 8 บ่อ ก็เลือกชมกันได้ตามแต่ความขยัน และเวลาจะอำนวย ค่าตั๋วแบบเหมารวม 8 บ่อ ราคา 2000 เยน หรือ แบบชมเฉพาะบ่อ ราคา 400 เยน
วันนี้มีเวลาน้อย แถมฝนตก ผมขอชมแค่ 2 บ่อ คือบ่อ Umi Jigoku หรือบ่อทะเล น้ำในบ่อน้ำพุร้อน จะเป็นสีฟ้าเหมือนสีน้ำทะเล พร้อมกับควันพวยพุ่งสูงถึงแนวยอดไม้ ที่บ่อนี้มีศาลเจ้าสวยๆ ที่เล่าถึงไปแล้วนั่นเอง
อีกบ่อคือ Yama Jigoku หรือบ่อภูเขา มีลักษณะเป็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ตามซอกหิน บริเวณรอบๆจะทำเป็นสวนสัตว์ขนาดย่อมๆ มีลิง นกยูง ฮิปโป ม้าแคระ และนกฟลามิงโก้ ดูจะถูกใจเด็กๆเป็นพิเศษ
ไม่ใช่ที่ตื่นเต้นเร้าใจอะไรนัก สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ เหมาะแก่การมาเดินชมวิวสบายๆ ชมบ่อน้ำพุร้อน พลังจากธรรมชาติที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนัก ถ้าเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสไร้ฝน ก็คงเห็นวิวสวยๆมากกว่านี้
อาหารที่ญี่ปุ่น ร้านไหนก็อร่อย? ...
ไม่รู้ว่าจะเป็นการพูดที่เกินจริงไปรึเปล่า แต่เท่าที่กินมา เดินเลือกสุ่มๆ เอาที่ร้านดูดีหน่อย มีอาหารโชว์อยู่หน้าร้าน มีราคาบอก แบบที่ไม่แพงนัก ก็ไม่เคยผิดหวังกับคุณภาพอาหารความสะอาดและรสชาติจริงๆ
ร้านนี้ กลับมากินที่สถานีเบปปุครับ ท้องหิวๆ อากาศหนาวๆ ได้เซตข้าวหน้าหมูทอด กับซุปอุด้งร้อนๆ แค่นี้ก็ อิ่ม อร่อย สบายท้องละ
อิ่มแล้วยังมีเวลาเหลืออีกนิด ก่อนจะนั่งรถไฟต่อไปเมืองอาโสะ มาชมบรรยากาศเมืองเบปปุในวันฝนพรำ เก็บตกส่งท้ายอีกสักครั้งครับ
( ติดตามต่อที่คอมเม้นท์ด้านล่างนะครับ )
[CR] คิวชูเมื่อฤดูเปลี่ยนผัน ... Seasons Change in Kyushu
คิวชู เกาะขนาดใหญ่อันดับ 3 ของญี่ปุ่น ที่มีทิวทัศน์สวยๆ ของภูเขาไฟที่มีชีวิต ภูเขาไฟอาโสะ แหล่งน้ำพุร้อนที่มีชื่อเสียงที่เมืองเบบปุ เมืองน่ารักท่ามกลางธรรมชาติที่ยูฟูอิน ปราสาทเก่าแก่ที่เมืองคุมาโมโต้ และศูนย์รวมความเจริญที่เมืองฟุกุโอกะ
ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปยังทั้ง 5 เมืองข้างต้น ทางตอนบนของเกาะคิวชู 16-21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่กำลังเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง สีสันของต้นไม้ใบหญ้ากำลังจะกลายเป็นสีเหลืองแดง และร่วงหล่นไป
บรรยากาศแห่งการเปลี่ยนแปลง ที่มีทั้งฝนช่วงท้ายฤดู และลมหนาวที่กำลังพัดผ่านเข้ามา มันเป็นความชัดเจนที่สุด ที่ธรรมชาติกำลังสอนเราว่า ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ... ขอเชิญติดตามชมไปพร้อมๆกันครับ
ณ.สถานีฮากาตะ Hakata Station
สถานีรถไฟแห่งนี้ เป็นศูนย์กลางการเดินทางของเกาะคิวชู อยู่ห่างจากสนามบินฟุกุโอกะเพียง 2 สถานี ที่นี่นอกจากจะเป็นชุมทางของรถไฟสายหลักแล้ว ยังเป็นศูนย์การค้า ศูนย์รวมร้านอาหาร เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางของผมในครั้งนี้
ชื่อฮากาตะ นั้นเคยเป็นชื่อเมืองท่า เมืองค้าขายเก่าแก่ กับจีนและเกาหลี เคยมีความเจริญสูงสุด และก็ถูกทำลายโดยสงครามหลายครั้ง ในปัจจุบันถูกรวมเข้ากับเมืองฟุกุโอกะ กลายเป็นย่านสำคัญของเมืองนี้
หลังจากจัดการกับตั๋วรถไฟเรียบร้อยแล้ว เหลือเวลาไม่มากนักก่อนจะต้องนั่งรถไฟไปเมืองต่อไป ดีที่ชั้นบนของสถานีแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมร้านอาหารอยู่แล้ว ตกลงปลงใจกับร้าน Danshiro store กับอาหารชุดข้าวผัด ปลาทอดและโซบะ น่าจะเหมาะกะเวลาเร่งด่วนแบบนี้
มื้อแรกของทริป ร้านอาหารญี่ปุ่นยังคงมีมาตรฐาน ทั้งคุณภาพและรสชาติ แม้จะเป็นจานด่วน ในร้านที่สุ่มๆเอา ก็ยังเข้าขั้นอร่อย
อิ่มแล้วเดี๋ยวเราเดินทางไปเมืองยูฟูอินกันครับ
ในบรรดาพาหนะทั้งหลาย ผมว่ารถไฟ เป็นพาหนะที่เดินทางแล้วมีความสุขที่สุด ยิ่งเป็นรถไฟที่สะอาด ปลอดภัย ตรงเวลา แบบที่ญี่ปุ่นนี้ การนั่งรถไฟทีละ 2-3 ชั่วโมงนั้นไม่รู้สึกว่านานเลย
รถไฟสีแดงแนววินเทจขบวนนี้ กำลังจะพาเราไปเมืองยูฟุอิน เมืองท่องเที่ยวเล็กๆ ท่ามกลางธรรมชาติ ระหว่างทางผ่านแม่น้ำ ภูเขา ทุ่งหญ้า มีให้ชมแบบพาโนรามา ตลอดเส้นทาง
เรื่องค่าโดยสาร ก็ไม่ต้องกังวล สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างเราๆ แค่ซื้อตั๋วรถไฟ JR pass ก็เหมารวมค่าใช้จ่ายไว้หมดแล้ว แผนการเดินทางของผมในทริปนี้ ไปเฉพาะในส่วนคิวชูเหนือ ซื้อตั๋ว JR pass North Kyushu แบบ 5 วันประมาณ 3 พันบาท ก็ครอบคลุมการเดินทางระหว่างเมืองทุกเมืองแล้ว ถ้าอยากสบายใจว่ามีที่นั่งแน่ๆ ก็แค่เสียเวลาอีกนิด เอา JR pass ของเราไปจองตั๋วแบบระบุที่นั่งที่สถานีรถไฟใหญ่ๆ อย่างสถานีฮากาตะ ก็จะได้มั่นใจว่า เดินเที่ยวมาเหนื่อยๆ ขึ้นรถไฟมามีที่นั่งแน่นอนครับ
แต่ในบางขบวน ก็ไม่มีให้จองแบบระบุที่นั่ง หรือแบบระบุที่นั่งเต็มแล้ว อย่างขบวนที่ผมนั่งไปยูฟุอินตอนนี้ แต่ด้วยว่าเป็นวันธรรมดา ก็ยังมีที่นั่งให้เราเลือกได้อย่างเหลือเฟือครับ
ถึงยูฟุอิน 2 โมงกว่า เหมือนว่าจะผิดแผนไปหน่อย มีเวลาอยู่ที่นี่แค่ 2 ชั่วโมง หวั่นๆว่าจะน้อยเกินไป ถึงปุ๊บก็ไม่มีเวลาให้โอ้เอ้แล้ว
Yufuin ยูฟุอิน เมืองเล็กๆต้องห้าม(พลาด)
ก่อนเดินทาง ผมศึกษาข้อมูลของเมืองนี้มาบ้าง ดูขนาดจากแผนที่แล้ว เดินชมวิวซักครึ่งวันก็น่าจะทั่ว แต่เอาเข้าจริง ความสวยงามของทะเลสาบ Kinrin-ko และภูเขา Yufu-dake ให้ครึ่งวันก็ยังไม่น่าจะเต็มอิ่ม
ยิ่งเหลือเวลาแค่ 2 ชั่วโมงแบบผมตอนนี้ ก็คงทำได้แต่จ้ำเท้าผ่านถนนคนเดินที่ยาวเป็นกิโลไปท้ายหมู่บ้าน ที่เป็นที่ตั้งของทะเลสาบ ถ่ายรูปได้ไม่กี่รูป แล้วก็ต้องรีบจ้ำกลับมาแล้ว ไหนจะต้องฝ่าฝูงชนนักท่องเที่ยว ที่เป็นการยืนยันได้ว่า ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตขนาดไหน มุมนึงก็ทำให้รู้สึกว่ามันคึกคัก แต่อีกมุมก็รู้สึกว่า สถานที่ที่สวยงามแห่งนี้ ได้สูญเสียความสงบไปตลอดกาลแล้ว
สำหรับคนที่อยากเห็นวิวสวยๆ แบบสงบ ผมว่าการได้พักค้างคืนที่เมืองนี้ แล้วรอชมวิวสวยๆ กับแสงตอนเช้า แบบไร้ผู้คน น่าจะทำให้รู้สึกอินกับความงามของยูฟุอินมากกว่านี้
ถ้าตัดเรื่องกองทัพนักท่องเที่ยวออกไป ผมว่าความสวยงามของธรรมชาติที่นี่ น่าจะอยู่ในระดับ 5 ดาว ไม่แพ้ที่ใดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
การเดินทางโดยรถไฟบนเกาะคิวชู มีความพิเศษที่ล้ำไปอีกขั้นคือ ประสบการณ์ที่ได้นั่งรถไฟที่มีดีไซน์สวยๆ อย่างขบวนนี้ก็เป็นหนึ่งในขบวนพิเศษที่มีธีมเป็นมิคกี้เม้าส์ เป็นเอกลักษณ์ของรถไฟ Limited Express สายฮากาตะ-โออิตะ ที่มีชื่อเรียกสั้นๆว่า Sonic
เจ้า Sonic ขบวนนี้ถือกำเนิดขึ้นเมื่อปี 1995 วิ่งระหว่างสถานีฮากาตะ กับโออิตะ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง ผมโดยสารขบวนนี้เพียงแค่ช่วงสั้นๆ ระหว่าง โออิตะ กับเบปปุ ใช้เวลาแค่ 8 นาทีเท่านั้น เรียกถ่ายรูปยังไม่ทั่วก็ต้องลงแล้ว
รถขบวนพิเศษที่มีดีไซน์สวยๆแบบนี้ ยังมีอีกหลายขบวน มีดีไซน์แตกต่างกันไป วิ่งไปในหลายเส้นทาง ส่วนใหญ่ก็จะผ่านแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ บนเกาะคิวชู หากใครไปแล้ววางแผนการเดินทางให้ลงล็อคกับรถไฟสุดคลาสสิคเหล่านี้ ก็น่าจะเพิ่มความพิเศษ เพิ่มความประทับให้กับการเดินทางครั้งนั้น
และถึงจะไม่ใช่ขบวนพิเศษ เป็นรถไฟขบวนธรรมดา ที่เรียกว่ารถไฟท้องถิ่นบนเกาะแห่งนี้ รูปร่างหน้าตาก็ยังเรียกได้ว่า สวยคลาสสิค น่านั่ง น่าถ่ายรูปด้วยทุกขบวน อย่างเจ้าขบวนเล็กๆ สีเหลือง ที่สถานียูฟุอิน ขบวนนี้
ประมาณ 4 โมง ผมออกจากยูฟุอิน มาเปลี่ยนขบวนที่สถานีโออิตะ แล้วนั่งเจ้า Sonic ไปยังจุดหมายปลาย เมืองเบปปุ ที่จะพักในคืนนี้ ถึงเบปปุ 5 โมงกว่า ที่ญี่ปุ่นฤดูนี้ 5 โมงก็ค่ำแล้ว ผมออกมาสำรวจเมืองเบปปุ ในความเงียบเหงาอีกสักพัก ก่อนที่จะเข้านอนในแคปซูล ในโรงแรมแคปซูลที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีนัก
เวลาเดินทางไกลๆ ช่วงเวลา 1 วันมันช่างยาวนานเหลือเกิน ถึงเวลาต้องพักแล้ว เอาแรงไว้ลุยเมืองเบปปุต่อในวันพรุ่งนี้
เบปปุ ฟ้าหม่นๆ กับฝนโปรยปราย
เช้านี้ที่เบปปุ เหมือนยังไม่เช้า อากาศหนาวมาพร้อมกับสายฝน ถนนเฉอะแฉะ เมืองนี้เค้าว่ามีชื่อเสียงเรื่องน้ำพุร้อน ออนเซน มีน้ำร้อนออกมาจากใต้ภิภพมากกว่าที่ใดในญี่ปุ่น
จุดหมายสำหรับการท่องเที่ยวของผมวันนี้ คือที่บ่อนรกแห่งเบปปุ Jigoku ( 地獄 , The hells of Beppu ) เป็นแหล่งของบ่อน้ำพุร้อน ที่มีความพิเศษแตกต่างกัน 8 บ่อ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้ ที่ใครๆเค้าก็ว่า มาถึงเมืองนี้ต้องไปชม
ผมเห็นจากภาพแล้วก็ว่า ที่เที่ยวแนวๆนี้ จะไม่ไปก็ได้นะ ไปก็เพราะว่าใครๆเค้าก็ไปกัน ยิ่งฟ้าฝนไม่เป็นใจแบบนี้ ยิ่งรู้สึกถอดใจ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย ก็คิดอีกว่า เดินแกร่วในเมืองเงียบเหงาแบบนี้ ก็ยิ่งไม่ใช่
สุดท้าย ก็พาตัวเองฝ่าฝน ไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าสถานีเบปปุ ไปดูบ่อนรกแห่งเบปปุ ให้เห็นกับตาซักครั้ง ฝนเอยช่วยเพลาลง ให้เห็นวิวสวยๆบ้างเถิดนะ
สิ่งที่น่าประทับใจ ที่ Jigoku บ่อนรกแห่งเบปปุ สำหรับผมแล้ว กลับเป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีต้นไม้ในฤดูที่ใบเปลี่ยนสี เป็นสีเหลืองอร่ามอยู่เบื้องหลัง ขับให้สีแดงของโทริอิ ยิ่งสวยเด่น
คงมิใช่ความบังเอิญที่สิ่งก่อสร้างจะมาอยู่คู่กับธรรมชาติอย่างงดงามแบบนี้ เหมือนสถานที่ที่สวยงามอีกมากมายในญี่ปุ่น ที่ทุกสิ่งได้ผ่านการออกแบบอย่างปราณีต เป็นเอกลักษณ์ของประเทศนี้อย่างแท้จริง
ส่วนบ่อน้ำพุร้อนรอบๆ Jigoku ที่มีความพิเศษแตกต่างกันไปทั้ง 8 บ่อ ก็เลือกชมกันได้ตามแต่ความขยัน และเวลาจะอำนวย ค่าตั๋วแบบเหมารวม 8 บ่อ ราคา 2000 เยน หรือ แบบชมเฉพาะบ่อ ราคา 400 เยน
วันนี้มีเวลาน้อย แถมฝนตก ผมขอชมแค่ 2 บ่อ คือบ่อ Umi Jigoku หรือบ่อทะเล น้ำในบ่อน้ำพุร้อน จะเป็นสีฟ้าเหมือนสีน้ำทะเล พร้อมกับควันพวยพุ่งสูงถึงแนวยอดไม้ ที่บ่อนี้มีศาลเจ้าสวยๆ ที่เล่าถึงไปแล้วนั่นเอง
อีกบ่อคือ Yama Jigoku หรือบ่อภูเขา มีลักษณะเป็นควันพวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ตามซอกหิน บริเวณรอบๆจะทำเป็นสวนสัตว์ขนาดย่อมๆ มีลิง นกยูง ฮิปโป ม้าแคระ และนกฟลามิงโก้ ดูจะถูกใจเด็กๆเป็นพิเศษ
ไม่ใช่ที่ตื่นเต้นเร้าใจอะไรนัก สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ เหมาะแก่การมาเดินชมวิวสบายๆ ชมบ่อน้ำพุร้อน พลังจากธรรมชาติที่เราไม่ได้เห็นบ่อยนัก ถ้าเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใสไร้ฝน ก็คงเห็นวิวสวยๆมากกว่านี้
อาหารที่ญี่ปุ่น ร้านไหนก็อร่อย? ...
ไม่รู้ว่าจะเป็นการพูดที่เกินจริงไปรึเปล่า แต่เท่าที่กินมา เดินเลือกสุ่มๆ เอาที่ร้านดูดีหน่อย มีอาหารโชว์อยู่หน้าร้าน มีราคาบอก แบบที่ไม่แพงนัก ก็ไม่เคยผิดหวังกับคุณภาพอาหารความสะอาดและรสชาติจริงๆ
ร้านนี้ กลับมากินที่สถานีเบปปุครับ ท้องหิวๆ อากาศหนาวๆ ได้เซตข้าวหน้าหมูทอด กับซุปอุด้งร้อนๆ แค่นี้ก็ อิ่ม อร่อย สบายท้องละ
อิ่มแล้วยังมีเวลาเหลืออีกนิด ก่อนจะนั่งรถไฟต่อไปเมืองอาโสะ มาชมบรรยากาศเมืองเบปปุในวันฝนพรำ เก็บตกส่งท้ายอีกสักครั้งครับ
( ติดตามต่อที่คอมเม้นท์ด้านล่างนะครับ )
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น