ภูสอยดาว ภูผาสีชมพู (เมื่อสาวอวบเกือบร้อยกิโล อยากจะพิชิตภูสอยดาว)

ทริปนี้เพื่อนชวนแฟนผมไปภูสอยดาวครับ แฟนผมอยากไป ผมจึงจำเป็นต้องไปด้วย
จริงๆ ไม่อยากไปเลยเพราะที่อ่านในพันทิปมานี่มันโหดมาก   ไกลและชัน
อย่างผมและแฟนกลัวว่าจะไม่ไหว เพราะน้ำหนักเกือบร้อยโล
แถมยังไม่ค่อยได้ออกกำลังกายกันอีกด้วย(เรียกว่าไม่ได้ออกกันเลยดีกว่า)
แต่แฟนผมอยากไปมาก สรุปว่าไปก็ไปครับ เพราะใกล้บ้านครับ  พวกผมคนพิษณุโลกนี่เองครับ
เมืองพิษณุโลกกับภูสอยดาว ห่างกันเพียง 180 กิโลเมตร

วางแผนเดินทางเช้าวันที่ 5 ธันวาคม นอนหนึ่งคืนแล้วกลับครับ แต่ไอ้คนชวนนอนสองคืนครับ
*พาพ่อมาวันพ่อแห่งชาติ เที่ยวอุทยาน ไม่เสียค่าบริการนะครับ

ก่อนจะเริ่มเดินทางก็มีปัญหาแล้วครับเย็นวันที่ 4 แฟนผมกลับมาจากกำแพงเพชร
ขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปซื้อยาที่ตลาด หายไปนานสองชั่วโมง ซึ่งมันผิดปกติครับ
โทรหาก็ไม่รับ จนโทรไม่ติด ผมเริ่มใจไม่ดี เริ่มโทรหาเพื่อนว่าอยู่กับใครไหม ก็ไม่อยู่ครับ
โทรหาที่บ้านแฟนก็ไม่อยู่ ยิ่งใจไม่ดีใหญ่เลยครับ ผมออกไปตามเส้นทางที่แฟนจะไป
ก็ไม่พบร่องรอยครับ ไปถามร้านยา ร้านยาบอกว่ามาซื้อของที่นี่ แต่ออกไปตั้งนานแล้ว
ผมให้น้องโทรเช็คตามโรงพยาบาลก็ไม่มีครับ ซักพักแม่ผมโทรมา บอกว่ากลับมาแล้ว
ผมค่อยโล่งใจ กลับไปจึงได้ความว่า เธอซื้อของเสร็จ แล้วไปไปตัดผมครับ เธอบอกว่าบอกผมแล้ว
นี่ถ้าผมรู้ ผมจะออกไปตามหาให้วุ่นวายไหมล่ะครับ


นัดออกเดินทางตอนตีสี่ของวันที่ 5 ธันวาคม ที่บ้านเพื่อน แต่ฝนตกครับทำให้ออกช้ากว่ากำหนด
ซึ่งก็ดูพยากรณ์อากาศแล้วว่าฝนจะตก แต่วางแผนไว้แล้วยังไงก็ต้องไป เพราะที่นี่เค้าก็
นิยมไปหน้าฝนกัน เพราะที่ภูจะมีดอกไม้บานสวยมาก แต่ช่วงที่ผมมาคือปลายฝนต้นหนาว
ไม่อยากเจอฝนเลยเพราะกลัวลำบาก กลัวข้าวของเปียก แต่ก็ได้มีการเตรียมตัวสำหรับเจอฝนเหมือนกันครับ

ทริปนี้ไปกันเจ็ดคนครับ  ผมกับแฟน อาสานั่งกระบะครับ

แวะกินอาหารเช้าที่ตลาดเทศบาลป่าแดง อ.ชาติตระการ   แล้วเดินทางต่อครับ ถ้าไม่ได้เตรียมอาหารมา หรือ ของยังไม่ครบ
หาซื้อได้ที่นี่ครับ มีทุกอย่างที่จำเป็นครับ ถ้าเลยจากนี้ไปไม่มีแล้วครับ


ตลาดเทศบาลป่าแดง อ.ชาติตระการ


ข้าวเหนียว  ไก่ย่าง หมูปิ้ง ไข่ปิ้ง  เหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัยครับ 555


เธอไม่ได้ลงครับ  ใช้ผมไปซื้อ

เธอดูชิวๆ

ฝนก็ตกตลอดทางเลย เมื่ออิ่มแล้วก็เดินทางไปยังภูสอยดาวกันต่อครับ
ก็เป็นทางขึ้นเขาธรรมดาครับ ไม่ยากไม่ง่าย แต่


ผมเมารถครับ ปกติไม่เมานะครับ นี่ครั้งที่สองที่เมาครับ  ครั้งแรกคือไปอุ้มผาง ถึงกับอาเจียนครับ


พอถึงอุทยานก็เสียค่าบริการต่างๆ ให้เรียบร้อย ก็จะมีรถของเจ้าหน้าที่พาไปยังจุดที่ขึ้นภูครับ
ไม่ไกลเท่าไร ประมาณสิบห้านาทีถึง ก็จะถึงจุดที่ต้องเดินเท้าแล้วครับ


จุดที่เจ้าหน้าที่มาส่งครับ บริเวณนี้ก็จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว


ร้านข้าวอยู่ตรงนี้ครับ


สมาชิกในทริปนี้ครับ มีอ้วนอยู่ 3 คน(รวมผมด้วยครับ ผมถ่ายรูปอยู่)


ผมและเพื่อนๆ เริ่มออกเดินเท้ากันประมาณเก้าโมงครับ


จุดตรวจคนที่จะเดินขึ้นภูครับ


เธอกำลังชี้ตัวผู้ต้องหาครับ


เดินมาได้ซักร้อยเมตรจากจุดตรวจ ก็จะเจอ  น้ำตกภูสอยดาว


เดินครับ เดิน


น้ำตกนี้ถัดมาจากน้ำตกภูสอยดาวครับ ไม่ได้ดูชื่อน้ำตกครับ  แต่ขาลงเดี๋ยวมาซ่อมรูปครับ

ผมกับแฟนอยู่ท้ายสุด เพราะแฟนผมต้องเจอกับศัตรูเก่าของแพนด้า
ซึ่งมันก็คือ บันไดนั่นเองครับ(แฟนผมบกว่ามาจากหนังการ์ตูนเรื่อง กังฟูแพนด้า)  เธอจะทักตลอดเมื่อเจอมัน

ศัตรูเก่าของแพนด้า

ฝนเริ่มตกหนักขึ้น

หยุดใส่เสื้อกันฝนกันครับ



ทีแรกก็เดินกันเป็นกลุ่ม พอใกล้จะถึงเนินส่งญาติเริ่มแตกกลุ่มกันแล้วครับ ฝนก็ยังคงตกตลอดทางครับ


แต่ผลที่ได้คือ  มันร้อนอบอ้าวอยู่ในเสื้อกันฝน

ผมถอดออกแล้วครับ

เลยเนินส่งญาติมาได้ซักพัก   ทางเริ่มชันแล้วครับ



และแล้วผมก็ไม่ไหวครับ ผมบอกแฟนว่าไม่ไหวแล้ว แฟนผมบอกว่าเดี๋ยวก็ถึง ค่อยๆ เดิน
(หลังจากจบทริป แฟนสารภาพว่าก็ไม่ไหวเหมือนกัน กำลังจะบอกผมว่าไม่ไหวแล้ว แต่บังเอิญผมพูดออกมาก่อน เลยบอกผมว่าไปต่อเถอะ ค่อยๆไป คือถ้าแฟนผมบอกว่าไม่ไหวนะจุดนั้นผมต้องกลับแน่ๆ แบบไม่ลังเลเลย) พอหายดีแล้วก็เดินต่อครับ เธอก็ถอดเสื้อกันฝนออกแล้วเหมือนกันครับ ไม่เอาแล้วร้อนจะเป็นลม ยอมตากฝน

ผมไม่ไหวแล้วครับ

แฟนบอกให้ไปต่อ


ลูกหาบเริ่มแซงไปหลายคนแล้ว รวมทั้งนักท่องเที่ยวคนอื่นด้วย


ของที่สะพายมานี่มันช่างหนักซะเหลือเกิน อยากจะทิ้งไว้กลางทางซะจริงๆ ทั้งกล้อง ทั้งสะเบียง


กลับตัวก็ไม่ได้  ให้เดินต่อไปก็ยังไม่ถึง


พักกันเรื่อยๆ ครับ เธอบอกว่าจะทิ้งรองเท้า  ร้องเท้ามันหนัก


มาได้เกือบครึ่งทางแล้ว


ได้อันนี้ช่วยไว้ทำให้มีแรงขึ้น


ยังสู้อยู่ แต่แรงหมด


ทรงผมใหม่ของเธอ เปียกปอนดูไม่เป็นทรงเลย 555


เจอลูกหาบกำลังพักกันอยู่ครับ  เลยจัดซักรูป


ก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อย เหนื่อยก็พัก พอมาเจอ ป้ายที่บอกว่า ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว
ผมนี่ดีใจเลยว่าใกล้จะถึงแล้ว เค้าถึงเอาป้ายมาติดไว้ ทีไหนได้นี่มันเพิ่งครึ่งทางเอง
(เมื่อถึงลานสนผมมีความรู้สึกตรงเนี้ยล่ะ มันคือครึ่งทาง ทั้งที่มันเหลืออีกสองกิโลเมตร)


เรายังไม่เจอเนินมรณะเลยนี่นา ผมและแฟนเริ่มไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังคงต้องเดินต่อ
เดินต่อครับ พอพักก็ถ่ายรูปไปด้วย ในตอนนั้นไม่คิดแล้วครับว่าจะถ่ายยังไง ใช้โหมดไหน รูรับแสงเท่าไร
บอกตรงๆ ตอนนั้นไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปเลยครับ เหนื่อย ไม่มีแรง อยากถึงที่พักเร็วๆ  จำไม่ได้ด้วยว่าถ่ายตรงจุดไหน
ลงรูปรวมเลยละกันครับ อยากให้ดูบรรยากาศ



ภาพนี้จากกล้องมือถือครับ


ภาพจาก dslr เลยจากจุดเมื่อกี้หน่อยนึง






พักหายเหนื่อย หายปวดแล้วก็เดินต่อ เจอลูกหาบเดินกลับมา ผมก็คิดว่าคงอีกไม่ไกล
ด้วยถามลูกหาบแล้ว ลูกหาบบอก อีกเนินเดียวก็ถึง ผมนี่ยิงดีใจใหญ่เลย

มันคือเนินนี้ครับ อย่าเรียกว่า เนิน เลย   เรียกว่าภูเขาดีกว่า


แต่พอมองไปทำไมเนินสุดท้ายนี่มันสูงจัง ไม่เห็นมีวี่แววว่าจะเป็นลานสนเลย


เนินนั้นมันคือ เนินมรณะ นั่นเอง เนินนี้เดินได้ห้าเก้าสิบเก้าแล้วผมต้องหยุดพัก
เพราะจะเป็นตะคริว มันชัน ถึงกับบางทีต้องปีนกันเลยทีเดียว แต่ก็ยังคงไปต่อ
เพราะมันคือเนินสุดท้ายแล้ว.........


เนินมรณะ


เป็นทางเดินแคบๆ ไม่มีที่ให้พักเลย  ก็นั่งมันข้างทางเลย ดูสภาพเธอซิครับ
เนินนี้มันไม่โหด ไปกว่าเนินส่งญาติเลยครับ  แต่ด้วยความล้าสะสม ทำให้เนินมรณะมันโหดมาก

ไม่อยากแบกแล้ว  หมดแรง


ผ่านเนินมรณะมาแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอลานสน

แล้ว แล้ว แล้วผมก็เห็นต้นสนอยู่ไกลๆ ใช่แล้วผมใกล้จะถึงแล้ว ก็ค่อยๆ เดินต่อไป
มีลูกหาบผู้หญิงเดินผ่านผมไป  เดินต่อไปจนถึงป้าย "ผู้พิชิตลานสน"
แต่ยังคงต้องเดินต่อไปอีก ห้าร้อยเมตร แล้วก็เจอลานกางเต็นท์


เริ่มเห็นต้นสน


พักอีกหน่อย  หมดแรงแล้ว


ลูกหาบผู้หญิงครับ  ยังเด็กอยู่เลย


หมดแรงจริง ตรงนี้พักนานหน่อย



ถ่ายรูปกับป้ายไว้เป็นหลักฐาน 555


เริ่มมีอารมณ์ถ่ายรูปแล้วครับ


อีกห้าร้อยเมตรถึงลานกางเต็นท์


ถึงแล้วครับ

หาเพื่อนก่อนเลยครับ  ไม่รู้อะไรดนใจ  เดินแบบมั่วๆ ไปเลย  เจอเฉยเลยครับ แล้วดูหน้ามันซิครับ

มันถามว่าหาเจอได้ไง บอกมันไปว่า  แรงแค้นมันพามา  พวกยิ้มไม่รอกรูเลย

สรุป เริ่มเดินเท้าประมาณเก้าโมง  ถึงลานสน  ประมาณห้าโมง รวมระยะเวลาเกือบ แปดชั่วโมง

**เดี๋ยวมาต่อครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่