วิสุทธิเทพ อยู่ที่ใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจ ถ้าอธิบายไม่ถูกใจก็ขอโทษ!!!

พระนิพพาน ที่ประจักษ์แจ้งภายในใจ ถ้าดูผิวเผิน ดูแบบลูบๆคลำๆ ก็จะมีลักษณะเป็นแก้วสามประการ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ มีความใสเป็นแก้ว เห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเป็นสิ่งเดียวกัน คือความว่าง+สว่างใสเป็นแก้ว ว่างไม่มีที่สิ้นสุด สว่างเป็นแก้วใสไม่มีที่สิ้นสุด เป็นธรรมชาตินิพพานที่อยู่ภายในใจ ธรรมชาติของใจ เป็นธรรมชาติสว่างใสเป็นแก้วยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง มีความว่าง+สว่าง อันนี้ดูแบบลูบๆคลำๆ
พระพิพพาน จริงๆแล้วถ้าหยั่งกระแสจิตให้ถึงแก้ว3ประการจริงๆ จะเห็นวิสุทธิเทพ มีความสว่างผ่องใสเป็นแก้วทั้งองค์ แพรวพราวประกายพรึก สวยสดงดงามมาก หาที่ติไม่ได้จริงๆ วิสุทธิเทพแต่ละองค์ มีความเป็นแก้วแพรวพราวประกายพรึกใสดุจแก้วใสหาที่ติตำหนิไม่ได้เลย อันนี้แค่เห็นอย่างเดียวนะ ยังไม่ถึงขนาดเข้าไปพูดคุยกันจริงๆ เพราะถ้าพูดเดี๋ยวหาว่าโม้! มันเกินวิสัยจะอธิบาย เอาเป็นว่าพระนิพพาน เป็นมหานครใจอันกว้างใหญ่ หาสุดประมาณมิได้ มีวิสุทธิเทพ(พระอรหันต์) อยู่ในมหานครพระนิพพานจริง เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อประจักษ์แจ้งอย่างนี้ ก็หมดหนทางจะปฏิเสธได้ การบำเพ็ญเพียรก็คือพิจารณา ขันธ์5เป็นทุกข์เป็นอนัตตา เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ก็จะเห็นพระนิพพานโดยไม่ต้องสงสัย ประจักษ์ภายในใจนั้นแล

ธรรมะคือคุณากร ส่วนชอบสาทร ดุจดวงประทีปชัชวาล  
แห่งองค์พระศาสดาจารย์ ส่องสัตว์สันดาน
สว่างกระจ่างใจมล ธรรมใดนับโดยมรรคผล
เป็นแปดพึงยล และเก้ากับทั้งนฤพาน
สมญาโลกอุดรพิสดาร อันลึกโอฬาร
พิสุทธิ์พิเศษสุกใส อีกธรรมต้นทางครรไล
นามขนานขานไข ปฏิบัติปริยัติเป็นสอง
คือทางดำเนินดุจคลอง ให้ล่วงลุปอง
ยังโลกอุดรโดยตรง ข้าฯ ขอโอนอ่อนอุตมงค์
นบธรรมจำนง ด้วยจิตและกายวาจา

เมืองพระนิพพาน

ตทนนฺตรํ   ในลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเทศนาต่อไปอีกว่า  อานนฺท  ดูกรอานนท์  นิพฺพานํ  นครํ  นาม  อันชื่อว่าเมืองพระนิพพานย่อมตั้งอยู่ในที่สุดแห่งโลก  โลกมีที่สุดเพียงใด  พระนิพพานก็ตั้งอยู่ที่สุดเพียงนั้น  พระนิพพานเป็นพระมหานครอันใหญ่  เป็นที่บรมสุขหาที่เปรียบมิได้  คำที่ว่า  ที่สุดแห่งโลกนั้น  จะถือเอาอากาศโลกหรือจักรวาลโลกนั้นมีที่สุดเบื้องต่ำก็เพียงใต้แผ่นดิน  แผ่นดินนี้มีน้ำรอง  ใต้น้ำนั้นมีลม  ลมนั้นหนาได้ ๙ แสน ๔ หมื่นโยชน์สำหรับรองน้ำไว้  ใต้ลมนั้นลงไปเป็นอากาศหาที่สุดไม่ได้  ที่สุดโลกเบื้องต่ำก็เพียงลมเท่านั้น  อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องขวางนั้น  มีอนันตจักรวาลเป็นเขต  นอกอนันตจักรวาลออกไปก็เป็นอากาศว่างๆ อยู่  จึงว่าโดยขวางมีอนันตจักรวาลเป็นที่สุด  อันว่าที่สุดแห่งจักรวาลโลกเบื้องบนนั้น  มีอรูปพรหมเป็นเขต  เพราะอรูปพรหม ๔ ชั้นนั้น  พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นนิพพานพรหมหรือนิพพานโลก
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
อดีตพระอริยคุณาธาร (เส็ง ปุสโส) ศิษย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต

....ในปกรณ์ของฝ่ายเถรวาท ท่านโบราณาจารย์แบ่งพระกายของพระพุทธเจ้าเป็น ๓ ภาค ดังนี้คือ

           ๑. พระรูปกาย เป็นพระกายซึ่งกำเนิดจากพระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา ที่เป็นมนุษย์ธรรมดาประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔
           ๒. พระนามกาย เป็นพระกายซึ่งกำเนิดชั้นใน นามกายเป็นของมีทั่วไปแม้แต่สามัญมนุษย์ แต่ดีเลวกว่ากันด้วยอำนาจกุศลที่ตนทำไว้ก่อน ส่วน พระนามกายของพระพุทธเจ้า ท่านดีวิเศษกว่าสามัณมนุษย์ ด้วยอำนาจพระบุญญาบารมี ที่ทรงบำเพ็ญมาเป็นเวลาหลายอสงไขยกัป
           ๓. พระธรรมกาย ได้แก่พระกายอันบริสุทธิ์ ไม่สาธารณะทั่วไปแก่เทวดาและมนุษย์หมายถึงจิตที่พ้นจากกิเลสแล้ว เป็นจิตที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง พระธรรมกายนี้เป็นพระพุทธเจ้าที่จริงแท้ เป็นพระกายที่พ้นเกิดแก่เจ็บตาย เป็นพระกายที่เที่ยงแท้ถาวรไม่สูญสลาย แต่ท่านมิได้บอกให้แจ้งชัดว่า พระธรรมกายนี้มีรูปพรรณสัญฐานเช่นไรหรือไม่

อนึ่ง ความเชื่อว่าพระอรหันต์นิพพานแล้วยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์นิพพานแล้วยังมีอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์แท้ไม่สลายตามกาย คือความเป็นพระอรหันต์ ไม่สูญ ตัวอย่างเช่น พระยมกะ เมื่อยังไม่บรรลุอรหัตผลได้แสดงความเห็นว่า พระอรหันต์ตายแล้วสูญได้ถูก พระสารีบุตร สอบสวน เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว จึงเห็นตามความจริงว่า “สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่ง ย่อมเป็นไปตามปัจจัย คือสลายไป ส่วนพระอรหันต์มิใช่สิ่งที่ปัจจัยปรุงแต่งจึงไม่สลายไป แปลว่า ไม่ตาย” ความเป็นพระอรหันต์นี้ ท่านก็จัดว่าเป็นอินทรีย์ชนิดหนึ่ง เรียกว่า “อัญญินทรีย์” พระผู้มีพระภาคเจ้าคงหมายถึงเอาอินทรีย์นี้เอง บัญญัติเรียกว่า “วิสุทธิเทพ” เป็นสภาพที่คล้ายคลึง “วิสุทธาพรหม” ในสุทธาวาสชั้นสูง (พรหมอนาคามี ชั้น ๑๒ - ๑๖ ) เป็นแต่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น อินทรีย์ของพระอรหันต์ประณีตสุขุม แม้แต่ตาทิพย์ของเทวดาสามัญก็มองไม่เห็น มนุษย์สามัญซึ่งมีตาหยาบ ๆ จะเห็นได้อย่างไร อินทรีย์ของพระอรหันต์นั้นแหละ เรียกว่า “อินทรีย์แก้ว” คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจของท่านเป็นแก้ว คือใสบริสุทธิ์ดุจแก้ว มณีโชติ ผู้บรรลุถึงภูมิแก้วแล้ว ย่อมสามารถพบเห็น “พระแก้ว” คือพระอรหันต์ที่นิพพานแล้วได้...

ความรู้เรื่องนี้ เป็นความรู้ลึกลับในพระธรรมวินัย ผู้สนใจพึงศึกษาค้นคว้าต่อไปถ้ายังรู้ไม่ถึงอย่าพึ่งค้าน อย่าพึงโมทนา เป็นแต่จดจำเอาไว้ เมื่อใดตนเองได้ษึกษาค้นคว้าแล้ว ได้ความรู้ได้เหตุผลที่ถูกต้องดีกว่า เมื่อนั้นจึงค้าน ถ้าได้เหตุผลลงกันจึงอนุโมทนา ถ้ารู้ไม่ถึงแล้ว ด่วนวิพากษ์วิจารณ์ติเตียนผู้พูดเรื่องเช่นนี้ จะเป็นไปเพื่อบอดตาบอดญาณตนเอง ยิ่งจะซึ้าร้ายใหญ่ ดังนี้.....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่