จากรายงานของเอเอฟพี แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวานนี้ (3 ธันวาคม) ว่า กองทัพสหรัฐฯจะเปิดรับผู้หญิงเข้าประจำการในทุกตำแหน่ง รวมทั้งหน่วยรบในแนวหน้า หวังยุติจารีตสังคมชายล้วนของกองทัพที่สืบเนื่องมาหลายร้อยปี
"ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น" คาร์เตอร์กล่าวพร้อมแสดงความมั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะยิ่งเสริมประสิทธิภาพในการรบ
การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นการตบหน้าหน่วยนาวิกโยธินที่เคยออกมาขอให้มีการยกเว้นโดยอ้างว่าหน่วยรบหลากเพศไม่มีประสิทธิภาพเท่าหน่วยรบชายล้วน
คาร์เตอร์ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าโดยทั่วไปความแตกต่างทางเพศแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางกายภาพอยู่บ้างแต่ผู้หญิงจำนวนมากมีความสามารถถึงเกณฑ์มาตรฐานทางกายภาพอันเข้มงวดของกองทัพสำหรับการทำหน้าที่ในหน่วยรบ เช่นเดียวกับที่ผู้ชายบางส่วนอาจทำไม่ได้
"ตราบใดที่พวกเขาผ่านการทดสอบและผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ผู้หญิง ... ย่อมได้รับอนุญาตให้ขับรถถัง, ยิงปืนครก และเป็นผู้นำหน่วยทหารราบเข้ารบประจัญบาน" คารเตอร์กล่าว
ด้วยการกำหนดมาตรฐานทางกายภาพที่เข้มงวด คาร์เตอร์ย้ำว่า โอกาสที่เท่าเทียมมิได้หมายถึงการมีผู้หญิงและผู้ชายในสัดส่วนที่เท่าเทียมกันในแต่ละหน้าที่ "ต้องไม่มีการกำหนดโควต้า หรือเงื่อนไขในลักษณะเดียวกัน"
ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯมีเจ้าหน้าประจำการทั้งหมดราว 1.34 ล้านคน เป็นผู้หญิงราว 15.6 เปอร์เซนต์
ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ออกมาแสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า มาตรการนี้จะช่วยพัฒนากองทัพสหรัฐฯ เช่นเดียวกับที่เคยยกเลิกการแบ่งแยกทางเชื้อชาติในทศวรรษที่ 1950
"ในฐานะผู้นำสูงสุด ผมรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยให้กองทัพของเราเข็มแข็งยิ่งขึ้นเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้" โอบามากล่าว
ด้านวุฒิสมาชิก แทมมี ดักเวิร์ธ ผู้เกิดในประเทศไทย ซึ่งต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างจากการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธระหว่างทำหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วยในเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพในภารกิจที่อิรักเมื่อปี2004ได้กล่าวย้ำว่า"แน่นอนผู้หญิงก็ออกรบได้ การตัดสินใจนี้มันควรจะมีมาตั้งนานแล้ว"
หลังจากนี้สภาคองเกรสมีเวลา 30 วันที่จะพิจารณาคำสั่งดังกล่าว และมีอำนาจที่จะยกมาตรการดังกล่าวได้ แต่ทางเพนตากอนมั่นใจว่าคองเกรสจะไม่ทำเช่นนั้น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1449212290
กองทัพสหรัฐฯรับผู้หญิงทุกตำแหน่ง ไม่เว้นหน่วยรบแนวหน้า
"ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น" คาร์เตอร์กล่าวพร้อมแสดงความมั่นใจว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะยิ่งเสริมประสิทธิภาพในการรบ
การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ถือเป็นการตบหน้าหน่วยนาวิกโยธินที่เคยออกมาขอให้มีการยกเว้นโดยอ้างว่าหน่วยรบหลากเพศไม่มีประสิทธิภาพเท่าหน่วยรบชายล้วน
คาร์เตอร์ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าโดยทั่วไปความแตกต่างทางเพศแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างทางกายภาพอยู่บ้างแต่ผู้หญิงจำนวนมากมีความสามารถถึงเกณฑ์มาตรฐานทางกายภาพอันเข้มงวดของกองทัพสำหรับการทำหน้าที่ในหน่วยรบ เช่นเดียวกับที่ผู้ชายบางส่วนอาจทำไม่ได้
"ตราบใดที่พวกเขาผ่านการทดสอบและผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ผู้หญิง ... ย่อมได้รับอนุญาตให้ขับรถถัง, ยิงปืนครก และเป็นผู้นำหน่วยทหารราบเข้ารบประจัญบาน" คารเตอร์กล่าว
ด้วยการกำหนดมาตรฐานทางกายภาพที่เข้มงวด คาร์เตอร์ย้ำว่า โอกาสที่เท่าเทียมมิได้หมายถึงการมีผู้หญิงและผู้ชายในสัดส่วนที่เท่าเทียมกันในแต่ละหน้าที่ "ต้องไม่มีการกำหนดโควต้า หรือเงื่อนไขในลักษณะเดียวกัน"
ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯมีเจ้าหน้าประจำการทั้งหมดราว 1.34 ล้านคน เป็นผู้หญิงราว 15.6 เปอร์เซนต์
ด้านประธานาธิบดีบารัค โอบามา ได้ออกมาแสดงความยินดีกับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ โดยกล่าวว่า มาตรการนี้จะช่วยพัฒนากองทัพสหรัฐฯ เช่นเดียวกับที่เคยยกเลิกการแบ่งแยกทางเชื้อชาติในทศวรรษที่ 1950
"ในฐานะผู้นำสูงสุด ผมรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะช่วยให้กองทัพของเราเข็มแข็งยิ่งขึ้นเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้" โอบามากล่าว
ด้านวุฒิสมาชิก แทมมี ดักเวิร์ธ ผู้เกิดในประเทศไทย ซึ่งต้องสูญเสียขาทั้งสองข้างจากการโจมตีของกลุ่มติดอาวุธระหว่างทำหน้าที่เป็นนักบินผู้ช่วยในเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพในภารกิจที่อิรักเมื่อปี2004ได้กล่าวย้ำว่า"แน่นอนผู้หญิงก็ออกรบได้ การตัดสินใจนี้มันควรจะมีมาตั้งนานแล้ว"
หลังจากนี้สภาคองเกรสมีเวลา 30 วันที่จะพิจารณาคำสั่งดังกล่าว และมีอำนาจที่จะยกมาตรการดังกล่าวได้ แต่ทางเพนตากอนมั่นใจว่าคองเกรสจะไม่ทำเช่นนั้น
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1449212290