เราเป็นคุณแม่มือใหม่อยากมาแชร์ข้อมูลค่ะ คือเบบี๋ของคุณแม่มีปัญหาผิวแห้ง และแพ้ง่ายมากค่ะ ตอนเกิดมาใหม่ๆ เบบี๋ผิวแห้งมาก คุณพยาบาลที่สอนคุณแม่อาบน้ำก็บอกนะคะ ว่าให้ผสมเบบี้ออย ในน้ำที่น้องอาบ และทาออยให้น้องหลังอาบน้ำทุกครั้ง. แต่เบบี๋ก็ยังผิวแห้งมาก ที่หน้าจะมีผดเล็กๆขึ้นมาให้เห็น รบกวนหัวใจคุณแม่เสมอค่ะ เราก็คือว่ามันน่าจะเป็นเพราะเบบี๋เพิ่งเกิดไขตามตัวตามผิวหนังต้องมีการผลัดเซลล์กันนิดนึง คุณแม่ก็รอค่ะว่าเบบี๋จะเป็นยังไงในเดือนต่อมา
รูปผื่นที่หน้าเบบี๋ในช่วงครบ1เดือนค่ะเป็นช่วงที่หน้าเป็นผื่นเยอะมาก และในช่วงเดือนที่2ผิวหน้าน้องดีขึ้นนะคะ แต่ผิวบริเวณขา และข้อเท้าแห้งมาก จนแตกเป็นเนื้อสีแดงๆค่ะ น้องน่าสงสารมาก เค้าดูคันที่ขามาก ขนาดหลับก็ยังเกาเลยค่ะ คราวนี้คุณแม่เลยต้องหาครีมที่จะมาบรรเทาอาการพวกนี้ ทั้งยาทาแก้ผื่นแพ้ และครีมที่บอกว่าช่วยลดผดผื่นในเด็ก3-4ยี่ห้อ ที่เป็นแบรนด์สำหรับเด็ก ราคาสูงหน่อย เพิ่อเบบี๋คุณแม่ก็ลองใช้มาแล้วค่ะ แต่ไม่เคยหายเลย แผลที่ขาก็ยังเป็นผื่นคัน ลอกอยู่อย่างนั้น
รูปนี้คือช่วงเดือนที่2ค่ะ แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปแผลและผื่นที่ข้อเท้าน้องไว้เลยเพราะไม่คิดว่าวันนึงจะมารีวิวให้ทุกคนทราบ หลังจากนั้นคุณแม่เอง พาน้องไปพบคุณหมอหลายครั้ง เปลี่ยนคุณหมอหลายคน จนกระทั่งมารักษาที่ รพ.เอกชน ชื่อดังในเชียงใหม่ที่เค้าบอกว่า เป็นโรงพยาบาลเด็กน่ะค่ะ คุณแม่เล่าประวัติให้คุณหมอฟัง คุณหมอจึงให้ ตัวอย่างAtopicliarแบบซอง. มาลองก่อน ถ้าหายค่อยมารับยาไป คุณแม่ก็ได้ลองที่บริเวณผื่นแพ้ของน้องเป็นที่แรกค่ะ ปรากฏว่าแค่2วัน รอยแผลของน้อง ที่เป็นมาหลายเดือน รอยแดงจางลง ผิวดูชุ่มชื่นและไม่ลอกแล้ว คุณแม่ดีใจมากค่ะ ที่เราค้นพบครีมที่เหมาะกับน้องแล้ว ตอนนี้เบบี๋อายุ1ขวบ7เดือน ก็ยังใช้Atopicliar ทาผิวหลังอาบน้ำทุกวันค่ะ เคยหยุดและเปลี่ยนเป็นเซทครีมสำหรับเด็กที่นำเข้าจากเกาหลี ก็พบว่าใช้ไปแล้ว น้องกลับมามีผดผื่นขึ้นตามตัวอีกครั้ง คราวนี้คุณแม่ไม่กล้าเปลี่ยนเลยค่ะ ที่นี่คุณแม่เกิดความสงสัย ทำไมครีมนี้ มันถึงดีนักนะ ทำไมใช้อันอื่นแทนไม่ได้. ก็เลยหาสาเหตุของผิวแพ้ง่าย ก่อนนะคะ
คืออาการรวมๆที่ผ่านมาและจากคำยืนยันของคุณหมอคือเบบี๋เป็นผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ คุณแม่เลยลองหาข้อมูลจริงจังเลยค่ะ ว่าโรคนี้มันคืออะไรกันแน่
คืออาการรวมๆที่ผ่านมาและจากคำยืนยันของคุณหมอคือเบบี๋เป็นโรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ(Atopic Dermatitis) คุณแม่เลยลองหาข้อมูลจริงจังเลยค่ะ ว่าโรคนี้มันคืออะไรกันแน่
โรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นๆ หายๆ พบบ่อยในเด็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่เป็นพื้นฐาน กล่าวคือ ผู้ป่วยมักมีประวัติเยื่อบุตาอักเสบ แพ้อากาศ ไอ จามบ่อย ๆ หรือหอบหืด โดยเฉพาะเวลาที่อากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลง เช่น ตอนเช้ามืดคนในครอบครัวผู้ป่วยมักมีประวัติโรคภูมิแพ้ของเยื่อบุต่าง ๆ เช่น เยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ แพ้อากาศ ไอจามบ่อย ๆ หอบหืด หรือผิวหนังอักเสบภูมิแพ้.
ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมีอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เกิดจากผิวหนังของผู้ป่วยไว (sensitive) ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว ทั้งสภาพร้อน เย็น แห้ง ชื้น เชื้อโรคและสารเคมีที่ระคายผิวหนัง อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเลยก็เป็นโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะความผิดปกติซ่อนเร้นอยู่ในยีนของครอบครัวผู้ป่วยโดยไม่เกิดอาการ ในกรณีของเบบี๋เป็นประเภทหลังค่ะ เพราะที่บ้านไม่มีประวัติภูมิแพ้ใดๆเรยแม้แต่นิดเดียว
สาเหตุหลักของอาการของโรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบนั้น เกิดจากการที่เด็กมีกรรมพันธุ์ขาด filaggrin proteint ซึ่งเป็น natural moisturizing factor ทำให้ผิวแห้ง สูญเสียน้ำง่าย skin barrier จะ vulnerable กับสารก่อภูมิแพ้ เข้ามากระตุ้นให้เกิด cutaneous sensitization ตามมาด้วยอาการคัน ผื่น แดง และอักเสบค่ะ. พบว่าเด็กที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) ได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือนขึ้นไป จนประมาณ 5 ขวบ ถึง 20% และอาการจะค่อยๆ หายไปเมื่อโตขึ้น อาจไปเป็นโรคแพ้อากาศ หรือโรคหืดแทน
ส่วนวิธีการดูแลรักษานั้นคุณแม่ได้รับทั้งคำแนะนำ และหาข้อมูลเพิ่มเติมมาได้ตามนี้ค่ะ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น เช่นไม่อยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นจัด ไม่อาบน้ำที่มีอุณหภูมิเย็นหรือร้อนจัด และควรหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เหงื่อออกมาก (เพิ่มเติมจากคุณแม่: เบบี๋ควรอยู่ในอุณหภูมิประมาน25-26องศาและไม่ห่อหุ้มจนหนาเกินไปนะคะ เบบี๋ขี้ร้อนค่ะ พอร้อนผื่นแพ้ก็มาอีก คุณหมอแนะนำให้ใส่เสื้อที่ผ้าไม่หน้า ผ้าห่มความหนาแค่ผ้าเช็ดตัวบางๆพอค่ะ ให้อากาศระบายดีๆ)
2. ควรรับประทานยาต้านฮิสตามีน ลดอาการคัด เมื่อมีอาการคันควรรับประทานยาต้านฮิสตามีน วันละ 2-3 ครั้งติดต่อ เว้น 5-7 วัน เพื่อลดอาการคัน เพราะอาการคัดทำให้ผู้ป่วยต้องแกะเกาผิวหนัง ผื่นผิวหนังที่อักเสบจะกำเริบขึ้นได้ ยากลุ่มนี้ได้แก่คลอเฟนนิลามีน สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ข้อที่ควรระวังคือ ยานี้มีผลข้างเคียงคือ อาการง่วงนอน ( ข้อนี้คุณหมอไม่แนะนำในเบบี๋นะคะ เพราะยังเล็กเกินไป)
3. ยาทากลุ่มสเตรียรอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผื่นผิวหนัง ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะโรคกลุ่มนี้ต้องใช้ยานาน อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าใช้ยาไม่ถูกต้อง ( ในกรณีของเบบี๋ คุณหมอแนะนำให้ใช้คู่กับsteroidบางตัวค่ะ ทาน้อยๆบางๆ รวมกับAtopiclair พออาการดีขึ้นให้หยุด steroidได้เลยค่ะ)
4. กรณีที่มีตุ่มหนองเกิดแทรกซ้อนบนตุ่มหรือผื่นแดง แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์เพราะผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
(อ้างอิงจาก :
http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=22)
อ่ะๆๆๆ ที่นี้คุณแม่ก็สงสัยต่ออีก ว่าทำไมครีมAtopiclair ถึงใช้ได้ผลกะเบบี๋นะ คุณแม่ก็หาข้อมูลต่อมาว่า ส่วนประกอบมันคืออะไร???
Atopiclair ไม่มีส่วนประกอบของสเตียรอย มีส่วนประกอบหลักเลย คือ Shea butter จากธรรมชาติ มีส่วนประกอบเป็นไขมันที่คล้ายกับ ไขมันตามธรรมชาติในผิว ซึ่งกลิ่นไม่เหม็นเหมือน evening primrose (Omega-6) เหมือนตัวอื่นที่เคยลองใช้มา และมีส่วนประกอบที่สำคัญในการลดอาการอักเสบคือ Glycyrrhetinic acid ที่สกัดจากรากชะเอมเทศ ทำให้ลดการใช้ยาสเตียรอยและปลอดภัย มี วิตามิน C,E และสารสกัดเมล็ดองุ่น ช่วยปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระจากภายนอกและที่เกิดจากการอักเสบเอง สรรพคุณหลักที่ได้คือ. ลดการอักเสบของผิว ลดการระคายเคืองของผิว. ลดอาการคัน และยังช่วยปกป้องดูแลผิวบอบบางจากสารอนุมูลอิสระได้อีกด้วย สารให้ความชุ่มชื้นแทน filaggrin protein ที่เป็นตัวปัญหาของโรคนี้คือ hyaluronic acid ที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้เซลล์ผิวเต่งตึง สารก่อภูมิแพ้ก็จะแทรกเข้ามาได้ยาก มีสารป้องกันเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ผิวคือ telmesteine จะยับยั้งเอนไซม์ Protease ที่อยู่ในผิวและจากไรฝุ่นไม่ให้ย่อยผิวจนเกิดอาการแห้งลอก ซึ่งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่มีนะคะขอบอก คุณแม่เช็คแล้ว
คือจริงๆคุณแม่ชอบอ่านเรื่องพวกส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์อยู่แล้ว. แต่วันนี้ได้มาอ่านส่วนประกอบครีมของเบบี๋นี้. ถึงขั้นวิเคราะห์หนักทุกตัวเลย พอศึกษาแล้วคุณแม่เลยมั่นใจในครีม ATOPICLAIRมากค่ะ. ตอนนี้เบบี๋ของคุณแม่ ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่ม. ไม่คันไม่แตก หรือมีตุ่มใดๆให้รำคาญใจอีกแล้วค่ะ.
รูปนี้หลังใช้ATOPICLAIRได้1เดือน ผื่นที่หน้าดีขึ้นมากๆ ส่วนผื่นและแผลที่ข้อเท้าหายไปเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยค่ะ
รูปสุดท้ายของเบบี๋ตอน4เดือนกว่าๆ หน้าใสกิ๊กๆเรยคร้าาาา. ขอบคุณ ATOPICLAIR ที่สร้างผิวดีๆให้กัยเบบี๋ของคุณแม่นะคะ
[CR] ครีมทาผิวผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบในเด็กน้อย
รูปผื่นที่หน้าเบบี๋ในช่วงครบ1เดือนค่ะเป็นช่วงที่หน้าเป็นผื่นเยอะมาก และในช่วงเดือนที่2ผิวหน้าน้องดีขึ้นนะคะ แต่ผิวบริเวณขา และข้อเท้าแห้งมาก จนแตกเป็นเนื้อสีแดงๆค่ะ น้องน่าสงสารมาก เค้าดูคันที่ขามาก ขนาดหลับก็ยังเกาเลยค่ะ คราวนี้คุณแม่เลยต้องหาครีมที่จะมาบรรเทาอาการพวกนี้ ทั้งยาทาแก้ผื่นแพ้ และครีมที่บอกว่าช่วยลดผดผื่นในเด็ก3-4ยี่ห้อ ที่เป็นแบรนด์สำหรับเด็ก ราคาสูงหน่อย เพิ่อเบบี๋คุณแม่ก็ลองใช้มาแล้วค่ะ แต่ไม่เคยหายเลย แผลที่ขาก็ยังเป็นผื่นคัน ลอกอยู่อย่างนั้น
รูปนี้คือช่วงเดือนที่2ค่ะ แต่เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปแผลและผื่นที่ข้อเท้าน้องไว้เลยเพราะไม่คิดว่าวันนึงจะมารีวิวให้ทุกคนทราบ หลังจากนั้นคุณแม่เอง พาน้องไปพบคุณหมอหลายครั้ง เปลี่ยนคุณหมอหลายคน จนกระทั่งมารักษาที่ รพ.เอกชน ชื่อดังในเชียงใหม่ที่เค้าบอกว่า เป็นโรงพยาบาลเด็กน่ะค่ะ คุณแม่เล่าประวัติให้คุณหมอฟัง คุณหมอจึงให้ ตัวอย่างAtopicliarแบบซอง. มาลองก่อน ถ้าหายค่อยมารับยาไป คุณแม่ก็ได้ลองที่บริเวณผื่นแพ้ของน้องเป็นที่แรกค่ะ ปรากฏว่าแค่2วัน รอยแผลของน้อง ที่เป็นมาหลายเดือน รอยแดงจางลง ผิวดูชุ่มชื่นและไม่ลอกแล้ว คุณแม่ดีใจมากค่ะ ที่เราค้นพบครีมที่เหมาะกับน้องแล้ว ตอนนี้เบบี๋อายุ1ขวบ7เดือน ก็ยังใช้Atopicliar ทาผิวหลังอาบน้ำทุกวันค่ะ เคยหยุดและเปลี่ยนเป็นเซทครีมสำหรับเด็กที่นำเข้าจากเกาหลี ก็พบว่าใช้ไปแล้ว น้องกลับมามีผดผื่นขึ้นตามตัวอีกครั้ง คราวนี้คุณแม่ไม่กล้าเปลี่ยนเลยค่ะ ที่นี่คุณแม่เกิดความสงสัย ทำไมครีมนี้ มันถึงดีนักนะ ทำไมใช้อันอื่นแทนไม่ได้. ก็เลยหาสาเหตุของผิวแพ้ง่าย ก่อนนะคะ
คืออาการรวมๆที่ผ่านมาและจากคำยืนยันของคุณหมอคือเบบี๋เป็นผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ คุณแม่เลยลองหาข้อมูลจริงจังเลยค่ะ ว่าโรคนี้มันคืออะไรกันแน่
คืออาการรวมๆที่ผ่านมาและจากคำยืนยันของคุณหมอคือเบบี๋เป็นโรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ(Atopic Dermatitis) คุณแม่เลยลองหาข้อมูลจริงจังเลยค่ะ ว่าโรคนี้มันคืออะไรกันแน่
โรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบ เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่เป็นๆ หายๆ พบบ่อยในเด็ก ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้จะมีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่เป็นพื้นฐาน กล่าวคือ ผู้ป่วยมักมีประวัติเยื่อบุตาอักเสบ แพ้อากาศ ไอ จามบ่อย ๆ หรือหอบหืด โดยเฉพาะเวลาที่อากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลง เช่น ตอนเช้ามืดคนในครอบครัวผู้ป่วยมักมีประวัติโรคภูมิแพ้ของเยื่อบุต่าง ๆ เช่น เยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ แพ้อากาศ ไอจามบ่อย ๆ หอบหืด หรือผิวหนังอักเสบภูมิแพ้.
ผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ไม่ได้เกิดจากการแพ้อาหารหรือสารเคมีอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เกิดจากผิวหนังของผู้ป่วยไว (sensitive) ต่อสภาพแวดล้อมรอบตัว ทั้งสภาพร้อน เย็น แห้ง ชื้น เชื้อโรคและสารเคมีที่ระคายผิวหนัง อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวเลยก็เป็นโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะความผิดปกติซ่อนเร้นอยู่ในยีนของครอบครัวผู้ป่วยโดยไม่เกิดอาการ ในกรณีของเบบี๋เป็นประเภทหลังค่ะ เพราะที่บ้านไม่มีประวัติภูมิแพ้ใดๆเรยแม้แต่นิดเดียว
สาเหตุหลักของอาการของโรคผื่นแพ้ผิวหนังอักเสบนั้น เกิดจากการที่เด็กมีกรรมพันธุ์ขาด filaggrin proteint ซึ่งเป็น natural moisturizing factor ทำให้ผิวแห้ง สูญเสียน้ำง่าย skin barrier จะ vulnerable กับสารก่อภูมิแพ้ เข้ามากระตุ้นให้เกิด cutaneous sensitization ตามมาด้วยอาการคัน ผื่น แดง และอักเสบค่ะ. พบว่าเด็กที่เป็นโรคผื่นภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) ได้ตั้งแต่อายุ 1 เดือนขึ้นไป จนประมาณ 5 ขวบ ถึง 20% และอาการจะค่อยๆ หายไปเมื่อโตขึ้น อาจไปเป็นโรคแพ้อากาศ หรือโรคหืดแทน
ส่วนวิธีการดูแลรักษานั้นคุณแม่ได้รับทั้งคำแนะนำ และหาข้อมูลเพิ่มเติมมาได้ตามนี้ค่ะ
1. หลีกเลี่ยงสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้โรคกำเริบมากขึ้น เช่นไม่อยู่ในห้องปรับอากาศที่เย็นจัด ไม่อาบน้ำที่มีอุณหภูมิเย็นหรือร้อนจัด และควรหลีกเลี่ยงภาวะที่ทำให้เหงื่อออกมาก (เพิ่มเติมจากคุณแม่: เบบี๋ควรอยู่ในอุณหภูมิประมาน25-26องศาและไม่ห่อหุ้มจนหนาเกินไปนะคะ เบบี๋ขี้ร้อนค่ะ พอร้อนผื่นแพ้ก็มาอีก คุณหมอแนะนำให้ใส่เสื้อที่ผ้าไม่หน้า ผ้าห่มความหนาแค่ผ้าเช็ดตัวบางๆพอค่ะ ให้อากาศระบายดีๆ)
2. ควรรับประทานยาต้านฮิสตามีน ลดอาการคัด เมื่อมีอาการคันควรรับประทานยาต้านฮิสตามีน วันละ 2-3 ครั้งติดต่อ เว้น 5-7 วัน เพื่อลดอาการคัน เพราะอาการคัดทำให้ผู้ป่วยต้องแกะเกาผิวหนัง ผื่นผิวหนังที่อักเสบจะกำเริบขึ้นได้ ยากลุ่มนี้ได้แก่คลอเฟนนิลามีน สามารถซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป ข้อที่ควรระวังคือ ยานี้มีผลข้างเคียงคือ อาการง่วงนอน ( ข้อนี้คุณหมอไม่แนะนำในเบบี๋นะคะ เพราะยังเล็กเกินไป)
3. ยาทากลุ่มสเตรียรอยด์ มีฤทธิ์ลดการอักเสบของผื่นผิวหนัง ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์ เพราะโรคกลุ่มนี้ต้องใช้ยานาน อาจมีอาการข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ถ้าใช้ยาไม่ถูกต้อง ( ในกรณีของเบบี๋ คุณหมอแนะนำให้ใช้คู่กับsteroidบางตัวค่ะ ทาน้อยๆบางๆ รวมกับAtopiclair พออาการดีขึ้นให้หยุด steroidได้เลยค่ะ)
4. กรณีที่มีตุ่มหนองเกิดแทรกซ้อนบนตุ่มหรือผื่นแดง แสดงว่ามีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์เพราะผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
(อ้างอิงจาก : http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=22)
อ่ะๆๆๆ ที่นี้คุณแม่ก็สงสัยต่ออีก ว่าทำไมครีมAtopiclair ถึงใช้ได้ผลกะเบบี๋นะ คุณแม่ก็หาข้อมูลต่อมาว่า ส่วนประกอบมันคืออะไร???
Atopiclair ไม่มีส่วนประกอบของสเตียรอย มีส่วนประกอบหลักเลย คือ Shea butter จากธรรมชาติ มีส่วนประกอบเป็นไขมันที่คล้ายกับ ไขมันตามธรรมชาติในผิว ซึ่งกลิ่นไม่เหม็นเหมือน evening primrose (Omega-6) เหมือนตัวอื่นที่เคยลองใช้มา และมีส่วนประกอบที่สำคัญในการลดอาการอักเสบคือ Glycyrrhetinic acid ที่สกัดจากรากชะเอมเทศ ทำให้ลดการใช้ยาสเตียรอยและปลอดภัย มี วิตามิน C,E และสารสกัดเมล็ดองุ่น ช่วยปกป้องผิวจากสารอนุมูลอิสระจากภายนอกและที่เกิดจากการอักเสบเอง สรรพคุณหลักที่ได้คือ. ลดการอักเสบของผิว ลดการระคายเคืองของผิว. ลดอาการคัน และยังช่วยปกป้องดูแลผิวบอบบางจากสารอนุมูลอิสระได้อีกด้วย สารให้ความชุ่มชื้นแทน filaggrin protein ที่เป็นตัวปัญหาของโรคนี้คือ hyaluronic acid ที่ทำหน้าที่อุ้มน้ำให้เซลล์ผิวเต่งตึง สารก่อภูมิแพ้ก็จะแทรกเข้ามาได้ยาก มีสารป้องกันเอนไซม์ย่อยโปรตีนที่ผิวคือ telmesteine จะยับยั้งเอนไซม์ Protease ที่อยู่ในผิวและจากไรฝุ่นไม่ให้ย่อยผิวจนเกิดอาการแห้งลอก ซึ่งผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่มีนะคะขอบอก คุณแม่เช็คแล้ว
คือจริงๆคุณแม่ชอบอ่านเรื่องพวกส่วนประกอบของเครื่องสำอางค์อยู่แล้ว. แต่วันนี้ได้มาอ่านส่วนประกอบครีมของเบบี๋นี้. ถึงขั้นวิเคราะห์หนักทุกตัวเลย พอศึกษาแล้วคุณแม่เลยมั่นใจในครีม ATOPICLAIRมากค่ะ. ตอนนี้เบบี๋ของคุณแม่ ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื่ม. ไม่คันไม่แตก หรือมีตุ่มใดๆให้รำคาญใจอีกแล้วค่ะ.
รูปนี้หลังใช้ATOPICLAIRได้1เดือน ผื่นที่หน้าดีขึ้นมากๆ ส่วนผื่นและแผลที่ข้อเท้าหายไปเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลยค่ะ
รูปสุดท้ายของเบบี๋ตอน4เดือนกว่าๆ หน้าใสกิ๊กๆเรยคร้าาาา. ขอบคุณ ATOPICLAIR ที่สร้างผิวดีๆให้กัยเบบี๋ของคุณแม่นะคะ