เรื่องนรกสวรรค์ ซึ่งผูกโยงอยู่กับ ฌาน อภิญญา มันมีประเด็น ที่ผมเห็นว่า ยังคลาดเคลื่อน อยู่นะครับ
เพราะถ้าหากใครก็ตาม ยืนยันว่าเรื่องเหล่านี้จริง มันมีอยู่สองประเด็น ที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจน ครับท่าน
ประการแรก ถ้ามันจริง มันก็ต้องสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ครับท่าน
ถ้าพิสูจน์อะไรไม่ได้ ก็แปลว่า มันไม่จริง .... แค่นี้ครับท่าน
หมายความว่า ตัวผู้พูด ที่อ้างว่า นรกสวรรค์มีจริงน่ะ ท่านเห็นมากับตาตนเอง หรือเปล่าครับ ?
เพราะถ้าหากแม้ว่าตนเองก็ยังไม่เคยเห็น แล้วท่านจะเอาข้อเท็จจริงอะไรมายืนยันกับผู้อื่นหละ
ก็ขนาดจะยืนยันกับตนเอง ท่านก็ยังไม่มึปัญญาจะทำได้ เลยนี่ครับ
เรื่องนรกสวรรค์ มันต่างจากเรื่อง ความดับทุกข์ นะครับ
เพราะเรื่องดับทุกข์นั้น ไม่ว่าจะมีสมาธิแบบใด ระดับใดก็ตาม ขอเพียงแค่ มีสติ ไม่งมงาย เขาก็จะสามารถเห็นความเกิดดับของทุกข์ ได้ด้วยตนเองครับ
และเมื่อมีสติสัมปชัญญะมากพอ ที่จะเห็นความจริงของทุกข์ และความดับทุกข์ ได้ด้วยตนเอง เขาย่อมอนุมานได้ถึง ความดับสนิทแห่งทุกข์ ได้ไม่ยาก
แต่เรื่อง นรกสวรรค์ หละครับ ?
คำถามก็คือ ก่อนที่ท่านจะยืนยันว่าจริง ท่านเคยเห็นนรกสวรรค์ หรือ สิ่งที่ใกล้เคียงกันนั้น มาบ้างหรือไม่ ?
เพราะถ้าไม่เคยเห็นนรกสวรรค์มาก่อนเลย แล้วท่านจะเอาข้อเท็จจริงอะไรมายืนยัน ?
และหากแม้แต่สิ่งที่อาจนับว่า ใกล้เคียงกับนรกสวรรค์ ท่านก็ไม่เคยประสบพบเจอ
แล้วท่านจะเอาอะไรมาอนุมานถึง นรกสวรรค์(ที่อ้างว่ามีอยู่จริง) ได้หละครับ ?
สรุปก็คือ ผมยังมองไม่เห็นเหตุผลอันดี ของการยืนยันนรกสวรรค์ โดยคนที่ไม่เคยเห็นนรกสวรรค์ มากับตาตนเอง เลยนะครับ
ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่การยืนยันดังกล่าว จะถูกสรุปว่าเป็นความงมงาย ไร้สาระ นะครับท่าน
ประการที่สอง ที่ระบุว่าจริงนั้น มันจริงสำหรับใคร กันหละครับ ?
มันจริง ..... สำหรับท่าน หรือเปล่า ?
หรือว่า แท้ที่จริงแล้ว แม้แต่ท่านผู้ที่พยายามกล่าวยืนยันว่าจริง มันก็ไม่เคยจริง แม้แต่ กับตัวของท่านเองเลยสักครั้ง(ในชีวิต)
ประเด็นทึ่ผมจะบอกกับท่านก็คือ ในขณะที่ท่านพยายามบอกว่าจริง ท่านเคยมีข้อเท็จจริงใดๆ ยืนยันกับตัวของท่านเอง บ้างหรือไม่ ?
เพราะถ้าแม้แต่กับตัวเอง ก็ไม่เคยรู้แจ้งเห็นจริง กับตา กับใจ ของตนเองเสียแล้ว ......
คำถามก็คือ แล้วท่านเอาอะไรมายืนยันข้อเท็จจริง ต่อผู้อื่น กันหละครับ ?
ประเด็นนี้สำคัญนะครับท่าน
เพราะเรื่องที่ไม่สามารถรู้ได้ เห็นได้ ด้วยประสาทสัมผัสแบบปกติ
มันจะจริง ก็เฉพาะกับคนที่มีอภิญญาด้วยกันเท่านั้น .... แต่ มันจะไม่จริง เลย สำหรับคนทั่วไป
ดังนั้น การที่ใครก็ตาม อ้างว่า หรือ ยืนยันว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ จริง ... ก็ขอความกรุณา ถามตนเองให้ดีก่อนว่า มันจริง สำหรับท่านแล้วหรือยัง ?
เพราะถ้าตนเอง ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง แค่ฟังเขามา หรือ จำตำรามา แบบนี้ ยืนยันข้อเท็จจริงอะไร ไม่ได้ หรอกครับท่าน
อุปมา ก็เหมือนกับ คนตาบอด มาถกเถียง โชว์พาว เรื่องคอนแทคเลนส์ น่ะครับ
คือ มันก็ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง ด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ แล้วจะมาถกเถียงโต้แย้ง ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ได้อย่างไร ?
ขออนุญาต สรุปอึกครั้งว่า เรื่อง นรกสวรรค์ อภิญญา อะไรพวกนี้ มันจริง เฉพาะกับคนที่รู้จริงเห็นจริง แล้ว เท่านั้นครับ
กับคนทั่วไป ที่ไม่รู้ไม่เห็น ....... เรื่องเหล่านี้ ต้องถือว่า ไม่จริง ครับท่าน
หากใครไปเชื่อว่าจริง ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่ได้เห็นแจ้งมากับตาตัวเอง ....... ก็เท่ากับ โง่ งมงาย ครับท่าน
เรื่อง ฌาน อภิญญา นรก สวรรค๋ อะไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่เขาคุยกันเฉพาะผู้ที่รู้เองเห็นเอง รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองครับ
ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือ ทั้งสองฝ่าย ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ ด้วยตนเองเลย ก็ป่วยการที่จะพูด เพราะมันฟังดูเหมือนการพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ครับท่าน
อันนี้ ผมสรุปตามคำของพระพุทธเจ้า นะครับท่าน
.
.
ว่าด้วยขันธ์ส่วนอดีตและอนาคต
[๓๗๑] ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง
สองชาติบ้าง ฯลฯ พึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วย
ประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกะเรา หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์
ส่วนอดีตกะผู้นั้น ผู้นั้นจะพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วน
อดีต หรือเราจะพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต.
ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ พึงรู้ชัดซึ่ง
หมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะเรา
หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะผู้นั้น ผู้นั้นพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการ
พยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต หรือเราพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์
ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต.
ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีตและขันธ์ส่วนอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดงธรรมแก่
ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี
เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้แต่ด้วยอัตภาพของข้าพระองค์ ที่เป็นอยู่บัดนี้ ข้าพระองค์ยัง
ไม่สามารถจะระลึกถึงได้ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ก็ไฉนจักระลึก
ชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง ฯลฯ จัก
ระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เหมือน
พระผู้มีพระภาคได้เล่า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเดี๋ยวนี้ แม้แต่ปังสุปีศาจ ข้าพระองค์ยังไม่เห็นเลย ไฉนจัก
เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ จักรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม
ด้วยประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็คำที่พระผู้มีพระภาค
ตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีตและอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดง
ธรรมแก่ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุเกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึง
ไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ ดังนี้นั้น จะได้ปรากฏแก่ข้าพระองค์โดยยิ่งกว่าประมาณก็หาไม่
ไฉนข้าพระองค์ จะพึงยังจิตของพระผู้มีพระภาคให้ยินดี ด้วยการพยากรณ์ปัญหา ในลัทธิอาจารย์
ของตนได้เล่า
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=6175&Z=6463
ถ้าไม่รู้จริงไม่เห็นจริงด้วยตนเอง ก็ไม่ต้องมายืนยัน หรอกครับ ว่านรกสวรรค์ ฯลฯ เป็นของจริง
เพราะถ้าหากใครก็ตาม ยืนยันว่าเรื่องเหล่านี้จริง มันมีอยู่สองประเด็น ที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจน ครับท่าน
ประการแรก ถ้ามันจริง มันก็ต้องสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ ครับท่าน
ถ้าพิสูจน์อะไรไม่ได้ ก็แปลว่า มันไม่จริง .... แค่นี้ครับท่าน
หมายความว่า ตัวผู้พูด ที่อ้างว่า นรกสวรรค์มีจริงน่ะ ท่านเห็นมากับตาตนเอง หรือเปล่าครับ ?
เพราะถ้าหากแม้ว่าตนเองก็ยังไม่เคยเห็น แล้วท่านจะเอาข้อเท็จจริงอะไรมายืนยันกับผู้อื่นหละ
ก็ขนาดจะยืนยันกับตนเอง ท่านก็ยังไม่มึปัญญาจะทำได้ เลยนี่ครับ
เรื่องนรกสวรรค์ มันต่างจากเรื่อง ความดับทุกข์ นะครับ
เพราะเรื่องดับทุกข์นั้น ไม่ว่าจะมีสมาธิแบบใด ระดับใดก็ตาม ขอเพียงแค่ มีสติ ไม่งมงาย เขาก็จะสามารถเห็นความเกิดดับของทุกข์ ได้ด้วยตนเองครับ
และเมื่อมีสติสัมปชัญญะมากพอ ที่จะเห็นความจริงของทุกข์ และความดับทุกข์ ได้ด้วยตนเอง เขาย่อมอนุมานได้ถึง ความดับสนิทแห่งทุกข์ ได้ไม่ยาก
แต่เรื่อง นรกสวรรค์ หละครับ ?
คำถามก็คือ ก่อนที่ท่านจะยืนยันว่าจริง ท่านเคยเห็นนรกสวรรค์ หรือ สิ่งที่ใกล้เคียงกันนั้น มาบ้างหรือไม่ ?
เพราะถ้าไม่เคยเห็นนรกสวรรค์มาก่อนเลย แล้วท่านจะเอาข้อเท็จจริงอะไรมายืนยัน ?
และหากแม้แต่สิ่งที่อาจนับว่า ใกล้เคียงกับนรกสวรรค์ ท่านก็ไม่เคยประสบพบเจอ
แล้วท่านจะเอาอะไรมาอนุมานถึง นรกสวรรค์(ที่อ้างว่ามีอยู่จริง) ได้หละครับ ?
สรุปก็คือ ผมยังมองไม่เห็นเหตุผลอันดี ของการยืนยันนรกสวรรค์ โดยคนที่ไม่เคยเห็นนรกสวรรค์ มากับตาตนเอง เลยนะครับ
ดังนั้น จึงไม่แปลก ที่การยืนยันดังกล่าว จะถูกสรุปว่าเป็นความงมงาย ไร้สาระ นะครับท่าน
ประการที่สอง ที่ระบุว่าจริงนั้น มันจริงสำหรับใคร กันหละครับ ?
มันจริง ..... สำหรับท่าน หรือเปล่า ?
หรือว่า แท้ที่จริงแล้ว แม้แต่ท่านผู้ที่พยายามกล่าวยืนยันว่าจริง มันก็ไม่เคยจริง แม้แต่ กับตัวของท่านเองเลยสักครั้ง(ในชีวิต)
ประเด็นทึ่ผมจะบอกกับท่านก็คือ ในขณะที่ท่านพยายามบอกว่าจริง ท่านเคยมีข้อเท็จจริงใดๆ ยืนยันกับตัวของท่านเอง บ้างหรือไม่ ?
เพราะถ้าแม้แต่กับตัวเอง ก็ไม่เคยรู้แจ้งเห็นจริง กับตา กับใจ ของตนเองเสียแล้ว ......
คำถามก็คือ แล้วท่านเอาอะไรมายืนยันข้อเท็จจริง ต่อผู้อื่น กันหละครับ ?
ประเด็นนี้สำคัญนะครับท่าน
เพราะเรื่องที่ไม่สามารถรู้ได้ เห็นได้ ด้วยประสาทสัมผัสแบบปกติ
มันจะจริง ก็เฉพาะกับคนที่มีอภิญญาด้วยกันเท่านั้น .... แต่ มันจะไม่จริง เลย สำหรับคนทั่วไป
ดังนั้น การที่ใครก็ตาม อ้างว่า หรือ ยืนยันว่า เรื่องนั้นเรื่องนี้ จริง ... ก็ขอความกรุณา ถามตนเองให้ดีก่อนว่า มันจริง สำหรับท่านแล้วหรือยัง ?
เพราะถ้าตนเอง ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง แค่ฟังเขามา หรือ จำตำรามา แบบนี้ ยืนยันข้อเท็จจริงอะไร ไม่ได้ หรอกครับท่าน
อุปมา ก็เหมือนกับ คนตาบอด มาถกเถียง โชว์พาว เรื่องคอนแทคเลนส์ น่ะครับ
คือ มันก็ไม่รู้จริง ไม่เห็นจริง ด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ แล้วจะมาถกเถียงโต้แย้ง ว่าอะไรจริง อะไรไม่จริง ได้อย่างไร ?
ขออนุญาต สรุปอึกครั้งว่า เรื่อง นรกสวรรค์ อภิญญา อะไรพวกนี้ มันจริง เฉพาะกับคนที่รู้จริงเห็นจริง แล้ว เท่านั้นครับ
กับคนทั่วไป ที่ไม่รู้ไม่เห็น ....... เรื่องเหล่านี้ ต้องถือว่า ไม่จริง ครับท่าน
หากใครไปเชื่อว่าจริง ทั้งๆ ที่ตนก็ไม่ได้เห็นแจ้งมากับตาตัวเอง ....... ก็เท่ากับ โง่ งมงาย ครับท่าน
เรื่อง ฌาน อภิญญา นรก สวรรค๋ อะไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่เขาคุยกันเฉพาะผู้ที่รู้เองเห็นเอง รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองครับ
ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือ ทั้งสองฝ่าย ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องเหล่านี้ ด้วยตนเองเลย ก็ป่วยการที่จะพูด เพราะมันฟังดูเหมือนการพูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ ครับท่าน
อันนี้ ผมสรุปตามคำของพระพุทธเจ้า นะครับท่าน
.
.
ว่าด้วยขันธ์ส่วนอดีตและอนาคต
[๓๗๑] ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง
สองชาติบ้าง ฯลฯ พึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วย
ประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีตกะเรา หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์
ส่วนอดีตกะผู้นั้น ผู้นั้นจะพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วน
อดีต หรือเราจะพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอดีต.
ดูกรอุทายี ผู้ใดพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี
มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ พึงรู้ชัดซึ่ง
หมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้ ผู้นั้นควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะเรา
หรือเราควรถามปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคตกะผู้นั้น ผู้นั้นพึงยังจิตของเราให้ยินดีได้ ด้วยการ
พยากรณ์ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต หรือเราพึงยังจิตของผู้นั้นให้ยินดีได้ ด้วยการพยากรณ์
ปัญหาปรารภขันธ์ส่วนอนาคต.
ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีตและขันธ์ส่วนอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดงธรรมแก่
ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุนี้เกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึงไม่มี
เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้แต่ด้วยอัตภาพของข้าพระองค์ ที่เป็นอยู่บัดนี้ ข้าพระองค์ยัง
ไม่สามารถจะระลึกถึงได้ พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ก็ไฉนจักระลึก
ชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง ฯลฯ จัก
ระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ เหมือน
พระผู้มีพระภาคได้เล่า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในเดี๋ยวนี้ แม้แต่ปังสุปีศาจ ข้าพระองค์ยังไม่เห็นเลย ไฉนจัก
เห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุ อันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ฯลฯ จักรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม
ด้วยประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคได้เล่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็คำที่พระผู้มีพระภาค
ตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ดูกรอุทายี แต่จงงดขันธ์ส่วนอดีตและอนาคตไว้ก่อน เราจักแสดง
ธรรมแก่ท่านว่า เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี เพราะเหตุเกิด ผลนี้จึงเกิด เมื่อเหตุนี้ไม่มี ผลนี้จึง
ไม่มี เพราะเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ ดังนี้นั้น จะได้ปรากฏแก่ข้าพระองค์โดยยิ่งกว่าประมาณก็หาไม่
ไฉนข้าพระองค์ จะพึงยังจิตของพระผู้มีพระภาคให้ยินดี ด้วยการพยากรณ์ปัญหา ในลัทธิอาจารย์
ของตนได้เล่า
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=13&A=6175&Z=6463