ท่านพุทธทาสถูกเข้าใจผิดเรื่องนรกสวรรค์ และพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างไรในเรื่องนี้

กระทู้สนทนา
ท่านพุทธทาสถูกเข้าใจผิดเรื่องนรกสวรรค์
และพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างไรในเรื่องนี้

เห็นว่าทั้งลูกศิษย์และไม่ศิษย์
มีความเข้าใจไม่ตรงกับเจตนาของท่านอยู่
(ที่เขียนนี้เพียงต้องการอธิบายเหตุผล ไม่ต้องการเอาชนะแพ้กันครับ)
คือ
1)ท่าน"เลือก"สอนแบบให้นรก-สวรรค์ เป็นแบบสัมผัสทางอายตนะ
    ซึ่งจะไม่มีทางผิด
    ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีนรกสวรรค์ทางกายภาพหรือไม่
    และท่านเคยตอบว่า "ท่านไม่ปฏิเสธ" (ย้ำ)
    มนุษย์ปกติทุกท่านจะเข้าใจว่าอย่างไร?
    การไม่ปฏิเสธแปลว่า-ยอมรับ
    "พุทธทาส: เราไม่ได้พูดว่า ไม่มีนรก ไม่มีสวรรค์ หรือแม้แต่หลังจากตายแล้ว เราว่ามีทั้งสองอย่าง นรกสวรรค์ต่อตายแล้ว ก็ว่าไปตามเดิม ไม่ไปแตะต้องเขา นรกสวรรค์ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่ยืนยันมากให้ตรงตามพุทธประสงค์ นรกสวรรค์อยู่ที่อายตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอันว่ามันมีนรกชนิดนี้ก็มี นรกสวรรค์ต่อตายแล้วไม่ได้ไปแตะต้องเขา ไม่ได้ไปวิพากษ์วิจารณ์เขา ขอให้เก็บไว้ แต่ควบคุมได้ โดยที่จัดนรกสวรรค์เดี๋ยวนี้ให้ถูกต้อง มันควบคุมถึงไปได้ถึงสวรรค์ต่อตายแล้ว เป็นอันว่ามีนรกสวรรค์ทั้งสองชนิด ทั้งสองประเภท ไม่ได้ยกเลิกชนิดไหน.."

    เพียงแต่ท่านเลือกที่จะไม่สอนอย่างพระรูปอื่น
    แม้ว่าพระพุทธเจ้าสอนทั้ง 2แบบ ตามบริบท

2)เหตุใด? ท่านจึงเลือกสอนแบบนรกสวรรค์ทางอายตนะ
    แล้วไม่สอนแบบนรกสวรรค์ทางกายภาพ
    ทั้งที่หลายพระสูตรสอนไว้
    เพราะท่านเลือกสอนตามหลักกาลามสูตร(เกสปุตตสูตร)

โดยท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่า
" ...เพราะถ้าขืนเชื่อ งมงายไปตามผู้อื่นว่า
     ว่ามีจริงเป็นจริง อย่างน้ันก็เป็นการถูกหลอก..."

หากพิจารณาอย่างเป็นธรรมก็ตรงตามพระพุทธเจ้าสอน
"....เมื่อใด ท่านทั้งหลาย-พึงรู้ด้วยตนเอง-ว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล
...เมื่อนั้นท่านทั้งหลาย-ควรเข้าถึง-ธรรมเหล่านั้นอยู่..."

แปลว่าเมื่อเราเห็นด้วยตนเอง เมื่อนั้นก็ควรเข้าถึงธรรมนั้น
(ในทางกลับกัน)แล้วหากไม่ได้พึงรู้ด้วยตนเองละ ก็ยังไม่ต้องเข้าถึงธรรมนั้น
(แต่พระองค์ก็สอนวิธีเข้าถึงธรรมนั้น)

ส่วนตัวผมเชื่อเรื่องนรกสวรรค์
แต่ผมก็ยอมรับผู้ที่ยังไม่เชื่อด้วยว่ายังไม่ประจักษ์

แต่
พระพุทธเจ้าพระองค์ยังสอนต่อในเรื่องนี้
ในกาลามสูตร(เกสปุตตสูตร)
คือ
"... ดูกรกาลามชนทั้งหลาย อริยสาวกนั้น ...
มีใจประกอบด้วยเมตตา
...อริยสาวกนั้น
มีจิตไม่มีเวรอย่างนี้...

ย่อมได้รับความอุ่นใจ ๔ ประการในปัจจุบันว่า
ก็ถ้าปรโลกมีจริง ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วมีจริง
เหตุนี้เป็นเครื่องให้เรา เมื่อแตกกายตายไป
จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดังนี้ความอุ่นใจข้อที่ ๑ นี้
พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว

ก็ถ้าปรโลกไม่มี ผลวิบากของกรรมทำดีทำชั่วไม่มี
เราไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียน
ไม่มีทุกข์เป็นสุข บริหารตนอยู่ในปัจจุบันนี้
ดังนี้ความอุ่นใจข้อที่ ๒
นี้พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว

ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ชื่อว่าทำบาป
เราไม่ได้คิดความชั่วให้แก่ใครๆ
ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาปกรรมเล่า
ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๓ นี้
พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว

ก็ถ้าเมื่อบุคคลทำอยู่ ไม่ชื่อว่าทำบาป
เราก็ได้พิจารณาเห็น ตนว่าเป็นคนบริสุทธิ์
แล้วทั้งสองส่วน
ดังนี้ ความอุ่นใจข้อที่ ๔ นี้
พระอริยสาวกนั้นได้แล้ว..."

พระองค์ไม่ได้บอกว่า"ต้องเชื่อ"
พระองค์ให้"พึงเชื่อ" "เมื่อใด..พึงรู้ด้วยตนเอง"

และหากสิ่งใดเป็นสิ่งพึงรู้
และรู้ได้ยากจากวิธีสามัญ
พระองค์ก็สอนวิธีที่จะเข้าถึงธรรมชาตินั้น
เช่นในสามัญผลสูตร
ท่านสอนแก่พระเจ้าอชาตศัตรู
ว่าฌาน ฤทธิ ระลึกชาติ การเวียนเกิดตายของสัตว์ มรรคผลนิพพาน
ทำอย่างไร ได้ผลอย่างไร ทรงยืนยันผล จากการกระทำนั้น
เรื่องพวกนี้จึงจะไม่เป็นเรื่องงมงาย
เพราะมีวิธีทำซำ้ และมีผู้พิสูจน์ว่าได้ผล

นี้เป็น"ความต่างจากใครๆ"ของพระองค์ ที่เคยกล่าวเรื่องพวกนี้มา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่