เอาภาพนี้มาแปะแทนเพราะไม่อยากเอาภาพสปอยล์ขึ้นภาพแรก
- ต่อจากตอนก่อนที่ไอ้แว่นหัวดำเปรยๆ เรื่องพระเอกเคยคบกับคนในโรงเรียนมาก่อน
- พระเอกได้ยินเข้าก็ลุกขึ้นลากตัวไอ้แว่นออกมาคุยข้างนอก ถามว่าได้ยินมาจากไหน ไอ้แว่นก็ตอบแบบยียวนว่าก็รุ่นพี่เป็นคนบอกผมเองนี่ครับ แล้วบอกว่าแอบได้ยินที่พระเอกกับคนน้องคุยกันเลยรู้
- พระเอกเลยถามต่อว่าไอ้แว่นต้องการอะไรถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมา ไอ้แว่นก็บอกว่ามาแต่งนิยายส่งชิงรางวัลแข่งกันว่าใครจะได้ตำแหน่งสูงกว่า ใครแพ้ก็ให้แขวนปากกาเลิกแต่งนิยายไปเลย และขู่ว่าถ้าพระเอกไม่ยอมแข่งด้วย จะแฉเรื่องพระเอกเคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่หรือคนทำงานในโรงเรียนนี้ให้หมด
- พระเอกถามว่าทำไมไอ้แว่นต้องทำขนาดนี้ด้วย ไอ้แว่นก็บอกว่าเพราะรับไม่ได้ที่ผลงานของพระเอกได้รางวัลนักเขียนมือสมัครเล่นคราวนั้น เพราะพระเอกไม่เคยมีผลงานเรื่องอื่นที่ได้รางวัลมาก่อน แถมพอดูผลงานที่เขียนลงนิตยสารทำมือของชมรมก็เห็นชัดว่าไม่ได้มีอะไรดีเด่เป็นพิเศษ ก็เลยรู้สึกรับไม่ได้ที่ตัวเองต้องมาแพ้คนเพิ่งเคยเขียนชิงรางวัลครั้งแรกอย่างพระเอก ก็เลยอยากพิสูจน์ว่าที่พระเอกได้รางวัลนั่นของจริงหรือแค่ลูกฟลุก
- ระหว่านั้นอ.คิริยะก็มาเห็นเข้า เลยเข้ามาถามว่ามีอะไรกัน ไอ้แว่นก็บอกตรงๆ ว่าตัวเองท้าพระเอกมาแต่งนิยายชิงรางวัลแข่งกัน แล้วเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด
- อ.คิริยะได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ขอเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นไม่เขียนส่งชิงรางวัล (เพราะใช้เวลาตัดสินนาน) แต่มาเป็นแต่งนิยายประชันกันแทน โดยให้ต่างฝ่ายต่างเขียนนิยายประเภทเดียวกัน จำนวนหน้าเท่ากัน แล้วให้ทุกคนในชมรมวรรณศิลป์ช่วยกันอ่านและตัดสินว่าใครเขียนดีกว่ากัน โดยไม่ระบุชื่อว่าเรื่องไหนใครแต่งเพื่อจะได้ไม่มีการเข้าข้างกัน ไอ้แว่นก็ตอบตกลง
- หลังจากนั้นพระเอกก็แวะไปคุยงานกับบ.ก.เรื่องงานที่ส่งไปให้พิจารณา ปรากฏว่าลงตะกร้าหมดทุกงาน เล่นเอาพระเอกถึงกับจิตตกยกใหญ่
- คุยเสร็จพระเอกก็ขอเลื่อนคุยงานครั้งหน้าไปสักพัก และเล่าเรื่องแต่งนิยายประชันกันในชมรมให้ฟัง บ.ก.ก็บอกว่าน่าสนุกดีนี่ (มีแกล้งหยอกพระเอกด้วยว่าถ้าเกิดพระเอกแพ้ต้องแขวนปากกาจริง จะไปจับไอ้แว่นมาแทนซะเลย)
- กลับมาที่โรงเรียนวันรุ่งขึ้น พระเอกกำลังเซ็งเป็ดเรื่องไอ้แว่นได้ที่
- ตอนนั้นหนูแว่นเด็กใหม่อีกคนก็เข้ามาขอคุยด้วย โดยมาก้มหัวขอร้องให้พระเอกช่วยล้มมวยในการแต่งนิยายประชันครั้งนี้ให้ที
- พระเอกถึงกับอึ้ง หนูแว่นก็บอกว่าตัวเองรู้ดีว่าทำแบบนี้ไม่ดี ยิ่งประชันครั้งนี้มีเดิมพันว่าใครแพ้ต้องวางปากกาด้วยแล้ว แต่ตัวหนูแว่นนั้นคิดว่าพระเอกถึงแพ้ก็คงทำเป็นไม่สนใจเดิมพันเรื่องวางปากกา และกลับมาเขียนนิยายต่อได้ไม่ยาก ในขณะที่ไอ้แว่นนั้นเป็นคนมีความทะนงตัวสูง ดังนั้นถ้าแพ้ขึ้นมาคงเลิกแต่งนิยายตามคำท้าจริงๆ แน่
- เห็นหนูแว่นมาขอร้องตัวเองถึงขนาดนี้ พระเอกก็ถามว่าทำไมต้องทำเพื่อไอ้แว่นขนาดนั้นด้วย หนูแว่นเลยเล่าเรื่องของไอ้แว่นให้ฟัง
- เอาคร่าวๆ คือสมัยก่อนไอ้แว่นเคยเป็นเด็กเก่งนิสัยดีแต่งนิยายเก่ง แถมบ้านก็รวย เลยมีเพื่อนมีคนชื่นชมมาก แถมยังสอบเข้าโรงเรียนเอกชนดีๆ ได้อีก พวกผู้ใหญ่ก็ชื่นชมกันว่าเป็นอภิชาตบุตรของแท้
- แต่พอขึ้นม.2 บ้านของไอ้แว่นก็ล้มละลาย ชีวิตของไอ้แว่นเลยพลิกกลับชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพื่อนๆ โรงเรียนเอกชนที่เคยชื่นชมก็เปลี่ยนมาเป็นดูถูกถ่ม
ต่างๆ นานา จนไอ้แว่นเปลี่ยนไป จากคนนิสัยดีร่าเริง กลายเป็นคนเงียบขรึม เก็บตัว เอาแต่ตะบี้ตะบันปั่นนิยายชิงรางวัลเหมือนจะแก้แค้นที่คนอื่นดูถูกตัวเอง
- หนูแว่นบอกว่าที่จริงไอ้แว่นก็ส่งนิยายลงชิงรางวัลงานเดียวกับพระเอกด้วย แต่ไม่ได้รางวัลอะไรเลย ในขณะที่พระเอกได้รางวัลใหญ่มา ก็เลยเกิดอาการ
"พาลกระแชง" ขึ้นมาว่าคนแบบนี้ทำไมได้รางวัล แต่ตัวเองกลับไม่ได้ เรียกว่าการเขียนนิยายเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ไอ้แว่นยังยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าไอ้แว่นไม่ได้แต่งนิยายก็คงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว หนูแว่นจึงอยากขอร้องให้พระเอกช่วยล้มมวยครั้งนี้ให้ที
- โดนขอร้องถึงขนาดนี้ พระเอกก็ถึงกับกุมขมับ กลับบ้านมานั่งแต่งนิยายต่อก็ยังอดคิดมากไม่ได้
- กำลังกลุ้มได้ที่ คนน้องก็เอาชานมรอบดึกมาเสิร์ฟให้ คนน้องเห็นพระเอกท่าทางเครียดๆ ก็ถามว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่า พระเอกก็ตอบเลี่ยงๆ ว่ามีเรื่องนิดหน่อยน่ะ (แต่ไม่บอกเรื่องโดนขอให้ล้มมวย)
- แม้จะไม่รู้ว่ามีอะไร แต่คนน้องก็เดาออกว่าพระเอกคงมีเรื่องลำบากใจอยู่ ก็เลยเดินไปข้างหลังพระเอก แล้วเขย่งตัวขึ้นทับหัวพระเอกไว้ในลักษณะกึ่งค้ำหัวกึ่งกอด แล้วบอกเป็นเชิงปลอบว่ามีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนักซี่ ถึงที่คับขันเมื่อไหร่ชั้นจะช่วยนายเอง พระเอกก็ได้แต่นิ่งอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง นอกจากคำว่าขอบใจแค่คำเดียวเท่านั้น
- เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงวันประชันนิยายชี้ชะตา
สรุปว่าไอ้แว่นก็มีดราม่าส่วนตัวตามสูตรแฮะ แต่ยังไงก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์ที่ทำตัวแย่ๆ ดูดีขึ้นเลย แถมยังน่ารำคาญขึ้นซะด้วยซ้ำ ประมาณว่าธุระอะไรที่ตูจะต้องมายุ่งกับดราม่าโง่ๆ ของเอ็งด้วยฟะยังไงยังงั้น
ส่วนหนูแว่น ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าอยากช่วยแฟน แต่ทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยนา ยิ่งไม่นับว่าถ้าไอ้แว่นรู้ทีหลังว่าชนะเพราะพระเอกออมมือให้นี่จะยิ่งเละกว่าเก่าอีก
ที่แน่ๆ รอดูตอนหน้าละครับว่าผลการประชันนิยายจะออกมาเป็นยังไง
[Spoil] Domestic na Kanojo #75 - ประชัน
- ต่อจากตอนก่อนที่ไอ้แว่นหัวดำเปรยๆ เรื่องพระเอกเคยคบกับคนในโรงเรียนมาก่อน
- พระเอกได้ยินเข้าก็ลุกขึ้นลากตัวไอ้แว่นออกมาคุยข้างนอก ถามว่าได้ยินมาจากไหน ไอ้แว่นก็ตอบแบบยียวนว่าก็รุ่นพี่เป็นคนบอกผมเองนี่ครับ แล้วบอกว่าแอบได้ยินที่พระเอกกับคนน้องคุยกันเลยรู้
- พระเอกเลยถามต่อว่าไอ้แว่นต้องการอะไรถึงพูดเรื่องนั้นขึ้นมา ไอ้แว่นก็บอกว่ามาแต่งนิยายส่งชิงรางวัลแข่งกันว่าใครจะได้ตำแหน่งสูงกว่า ใครแพ้ก็ให้แขวนปากกาเลิกแต่งนิยายไปเลย และขู่ว่าถ้าพระเอกไม่ยอมแข่งด้วย จะแฉเรื่องพระเอกเคยมีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่หรือคนทำงานในโรงเรียนนี้ให้หมด
- พระเอกถามว่าทำไมไอ้แว่นต้องทำขนาดนี้ด้วย ไอ้แว่นก็บอกว่าเพราะรับไม่ได้ที่ผลงานของพระเอกได้รางวัลนักเขียนมือสมัครเล่นคราวนั้น เพราะพระเอกไม่เคยมีผลงานเรื่องอื่นที่ได้รางวัลมาก่อน แถมพอดูผลงานที่เขียนลงนิตยสารทำมือของชมรมก็เห็นชัดว่าไม่ได้มีอะไรดีเด่เป็นพิเศษ ก็เลยรู้สึกรับไม่ได้ที่ตัวเองต้องมาแพ้คนเพิ่งเคยเขียนชิงรางวัลครั้งแรกอย่างพระเอก ก็เลยอยากพิสูจน์ว่าที่พระเอกได้รางวัลนั่นของจริงหรือแค่ลูกฟลุก
- ระหว่านั้นอ.คิริยะก็มาเห็นเข้า เลยเข้ามาถามว่ามีอะไรกัน ไอ้แว่นก็บอกตรงๆ ว่าตัวเองท้าพระเอกมาแต่งนิยายชิงรางวัลแข่งกัน แล้วเล่าเรื่องให้ฟังทั้งหมด
- อ.คิริยะได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่ขอเปลี่ยนเงื่อนไขเป็นไม่เขียนส่งชิงรางวัล (เพราะใช้เวลาตัดสินนาน) แต่มาเป็นแต่งนิยายประชันกันแทน โดยให้ต่างฝ่ายต่างเขียนนิยายประเภทเดียวกัน จำนวนหน้าเท่ากัน แล้วให้ทุกคนในชมรมวรรณศิลป์ช่วยกันอ่านและตัดสินว่าใครเขียนดีกว่ากัน โดยไม่ระบุชื่อว่าเรื่องไหนใครแต่งเพื่อจะได้ไม่มีการเข้าข้างกัน ไอ้แว่นก็ตอบตกลง
- หลังจากนั้นพระเอกก็แวะไปคุยงานกับบ.ก.เรื่องงานที่ส่งไปให้พิจารณา ปรากฏว่าลงตะกร้าหมดทุกงาน เล่นเอาพระเอกถึงกับจิตตกยกใหญ่
- คุยเสร็จพระเอกก็ขอเลื่อนคุยงานครั้งหน้าไปสักพัก และเล่าเรื่องแต่งนิยายประชันกันในชมรมให้ฟัง บ.ก.ก็บอกว่าน่าสนุกดีนี่ (มีแกล้งหยอกพระเอกด้วยว่าถ้าเกิดพระเอกแพ้ต้องแขวนปากกาจริง จะไปจับไอ้แว่นมาแทนซะเลย)
- กลับมาที่โรงเรียนวันรุ่งขึ้น พระเอกกำลังเซ็งเป็ดเรื่องไอ้แว่นได้ที่
- ตอนนั้นหนูแว่นเด็กใหม่อีกคนก็เข้ามาขอคุยด้วย โดยมาก้มหัวขอร้องให้พระเอกช่วยล้มมวยในการแต่งนิยายประชันครั้งนี้ให้ที
- พระเอกถึงกับอึ้ง หนูแว่นก็บอกว่าตัวเองรู้ดีว่าทำแบบนี้ไม่ดี ยิ่งประชันครั้งนี้มีเดิมพันว่าใครแพ้ต้องวางปากกาด้วยแล้ว แต่ตัวหนูแว่นนั้นคิดว่าพระเอกถึงแพ้ก็คงทำเป็นไม่สนใจเดิมพันเรื่องวางปากกา และกลับมาเขียนนิยายต่อได้ไม่ยาก ในขณะที่ไอ้แว่นนั้นเป็นคนมีความทะนงตัวสูง ดังนั้นถ้าแพ้ขึ้นมาคงเลิกแต่งนิยายตามคำท้าจริงๆ แน่
- เห็นหนูแว่นมาขอร้องตัวเองถึงขนาดนี้ พระเอกก็ถามว่าทำไมต้องทำเพื่อไอ้แว่นขนาดนั้นด้วย หนูแว่นเลยเล่าเรื่องของไอ้แว่นให้ฟัง
- เอาคร่าวๆ คือสมัยก่อนไอ้แว่นเคยเป็นเด็กเก่งนิสัยดีแต่งนิยายเก่ง แถมบ้านก็รวย เลยมีเพื่อนมีคนชื่นชมมาก แถมยังสอบเข้าโรงเรียนเอกชนดีๆ ได้อีก พวกผู้ใหญ่ก็ชื่นชมกันว่าเป็นอภิชาตบุตรของแท้
- แต่พอขึ้นม.2 บ้านของไอ้แว่นก็ล้มละลาย ชีวิตของไอ้แว่นเลยพลิกกลับชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพื่อนๆ โรงเรียนเอกชนที่เคยชื่นชมก็เปลี่ยนมาเป็นดูถูกถ่มต่างๆ นานา จนไอ้แว่นเปลี่ยนไป จากคนนิสัยดีร่าเริง กลายเป็นคนเงียบขรึม เก็บตัว เอาแต่ตะบี้ตะบันปั่นนิยายชิงรางวัลเหมือนจะแก้แค้นที่คนอื่นดูถูกตัวเอง
- หนูแว่นบอกว่าที่จริงไอ้แว่นก็ส่งนิยายลงชิงรางวัลงานเดียวกับพระเอกด้วย แต่ไม่ได้รางวัลอะไรเลย ในขณะที่พระเอกได้รางวัลใหญ่มา ก็เลยเกิดอาการ "พาลกระแชง" ขึ้นมาว่าคนแบบนี้ทำไมได้รางวัล แต่ตัวเองกลับไม่ได้ เรียกว่าการเขียนนิยายเป็นอย่างเดียวที่ทำให้ไอ้แว่นยังยืนหยัดอยู่ได้ ถ้าไอ้แว่นไม่ได้แต่งนิยายก็คงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว หนูแว่นจึงอยากขอร้องให้พระเอกช่วยล้มมวยครั้งนี้ให้ที
- โดนขอร้องถึงขนาดนี้ พระเอกก็ถึงกับกุมขมับ กลับบ้านมานั่งแต่งนิยายต่อก็ยังอดคิดมากไม่ได้
- กำลังกลุ้มได้ที่ คนน้องก็เอาชานมรอบดึกมาเสิร์ฟให้ คนน้องเห็นพระเอกท่าทางเครียดๆ ก็ถามว่ามีเรื่องอะไรรึเปล่า พระเอกก็ตอบเลี่ยงๆ ว่ามีเรื่องนิดหน่อยน่ะ (แต่ไม่บอกเรื่องโดนขอให้ล้มมวย)
- แม้จะไม่รู้ว่ามีอะไร แต่คนน้องก็เดาออกว่าพระเอกคงมีเรื่องลำบากใจอยู่ ก็เลยเดินไปข้างหลังพระเอก แล้วเขย่งตัวขึ้นทับหัวพระเอกไว้ในลักษณะกึ่งค้ำหัวกึ่งกอด แล้วบอกเป็นเชิงปลอบว่ามีอะไรอย่าเก็บไว้คนเดียวนักซี่ ถึงที่คับขันเมื่อไหร่ชั้นจะช่วยนายเอง พระเอกก็ได้แต่นิ่งอึ้งไม่รู้จะตอบยังไง นอกจากคำว่าขอบใจแค่คำเดียวเท่านั้น
- เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงวันประชันนิยายชี้ชะตา
สรุปว่าไอ้แว่นก็มีดราม่าส่วนตัวตามสูตรแฮะ แต่ยังไงก็ไม่ได้ช่วยให้ภาพลักษณ์ที่ทำตัวแย่ๆ ดูดีขึ้นเลย แถมยังน่ารำคาญขึ้นซะด้วยซ้ำ ประมาณว่าธุระอะไรที่ตูจะต้องมายุ่งกับดราม่าโง่ๆ ของเอ็งด้วยฟะยังไงยังงั้น
ส่วนหนูแว่น ก็เข้าใจอยู่หรอกนะว่าอยากช่วยแฟน แต่ทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยนา ยิ่งไม่นับว่าถ้าไอ้แว่นรู้ทีหลังว่าชนะเพราะพระเอกออมมือให้นี่จะยิ่งเละกว่าเก่าอีก
ที่แน่ๆ รอดูตอนหน้าละครับว่าผลการประชันนิยายจะออกมาเป็นยังไง