ผู้รู้ ผู้ถูกรู้ เป็นอนัตตา เมื่อหมดอวิชชา สังขารปรุงแต่ง ก็ดับพรึบ!

เมื่อมีผู้รู้ ผู้ถูกรู้จึงมี มันเป็นธรรมคู่ ไม่ใช่ธรรมเอก มันเหมือนชายคู่กับหญิง สว่างคู่กับมืด มันเป็นอนัตตา ไม่มีเรา ไม่มีเขา
แต่ต้องอาศัยผู้รู้ก่อน ก็จะมีผู้ถูกรู้มาเป็นของแถม มันเป็นของคู่ ผู้รู้อยู่ไหน ผู้ถูกรู้อยู่ที่นั้น ผู้รู้ก็เป็นธรรม ผู้ถูกรู้ก็เป็นธรรม
ธรรมคือ สิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ฉนั้นนักปฏิบัติต้องเห็นธรรมก่อน ต้องเห็นความจริงก่อน เมื่อเห็นธรรมเห็นความจริง
จึงจะอยู่เหนือธรรมไปได้ เมื่อเห็นผู้รู้ชื่อว่าเห็นธรรม ย่อมเห็นผู้ถูกรู้ คือธรรมที่เกิด-ดับ เมื่อเห็นธรรมเกิด-ดับอยู่บ่อยๆ ย่อมเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดความยินดี ยินร้าย ผู้รู้จะไม่ฝืนผู้ถูกรู้ เพราะคลายกำหนัดแล้ว เมื่อคลายกำหนัด ผู้รู้ย่อมไม่มีความอยาก
ย่อมไม่มีความไม่อยาก ย่อมไม่มีความยึดมั่น ในสิ่งที่รู้ ผู้รู้ก็เป็นผู้หมดตัณหา หมดตัณหาในสิ่งที่ถูกรู้ ผู้รู้ก็อยู่ด้วยตัวของมันเองไม่หวั่นไหวผู้ถูกรู้
แต่ก็ยังไม่พ้นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ผู้รู้ยังเป็นธรรม ผู้ถูกรู้ก็เป็นธรรม สิ่งใดเป็นธรรม สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
เพราะธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา แต่ถ้าใจปล่อยวางผู้รู้ไม่ได้ ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของๆเรา รู้อะไรก็ยึดมั่นว่าตนเป็นผู้รู้ รู้สุขก็ว่าตนเป็นผู้รู้
รู้ทุกข์ก็ว่าตนเป็นผู้รู้ มันยังแบกผู้รู้ใว้อยู่ มันยังหามผู้รู้ใว้อยู่ มันไม่ยอมปล่อย เพราะอะไรเพราะมีมานะ ถือตัวถือตน เพราะสังขารปรุงแต่งว่ามีตน เพราะอวิชชา
ความไม่รู้จริง เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ผู้รู้เป็นอนัตตา ผู้ถูกรู้เป็นอนัตตา เพราะผู้รู้กับผู้ถูกรู้ มันเป็นธรรมคู่ ไม่ใช่ธรรมเอก แต่พระนิพพานเป็นธรรมเอก เป็นหนึ่ง ไม่มีคู่ เมื่อหมดอวิชชา สังขารดับพรึบ ปล่อยหมด ทั้งผู้รู้ ผู้ถูกรู้ มันไม่มี เพราะสังขารมันดับพรึบ มันไม่สามารถที่จะปรุงแต่ง ว่าอะไรเป็นเรา อะไรเป็นเขา อะไรเป็นสัตว์ อะไรเป็นบุคคล อะไรเป็นสิ่งของ มันไม่มี ธรรมแท้จริงจึงกลายเป็นธรรมว่าง เป็นของที่ว่าง ลองเอาอะไรไปกระทบกับความว่างเข้าดูสิ
มันเกินวิสัยจะพึงให้เป็นไปได้ เมื่อมันเกินวิสัย เมื่อไม่มีสิ่งใดกระทบความว่างได้ ย่อมไม่มีผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปปทาน ภพ ชาติ ความว่างจึงเป็นธรรมเอก เป็นพระนิพพาน แต่ของจริงแม้แต่ความว่างก็สมมุติขึ้นมาให้ฟังเฉยๆ แม้แต่คำว่าอนัตตา ก็ยกสมมุติขึ้นมาเฉยๆ เพื่อให้เข้าใจเพื่อสื่อสาร แต่ของจริงมันพูดไม่ได้ มันอยู่เหนือวิสัยของโลก มันอยู่เหนือธรรม อยู่เหนือความมี อยู่เหนือความไม่มี อยู่เหนือสิ่งเกิด อยู่เหนือสิ่งดับ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เป็นปัตจัตตัง พระนิพพานต้องทำให้แจ้งแก่ใจตนเอง
รู้ล้วนๆ(ของจริง)เป็นสิ่งเหนือการปรุงแต่ง
รู้สึก(ของปลอม)เป็นอารมณ์มากระทบวิญญาณ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่