นี่เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิป หลังจากเป็นผู้เสพข้อมูลที่มีประโยชน์จากในนี้มามากมาย
เรื่องของเรื่องที่ผมตั้งกระทู้นี้ ก็คือผมมาหาข้อมูลเรื่องเมืองแปรในี้ แต่เจอข้อมูลน้อยมาก
พอผมไปเที่ยวกลับมาเลยตั้งใจจะแชร์ข้อมูลสักเล็กน้อย เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนักเดินทางอีกหลายคน
อีกอย่างผมก็อยากโฆษณาเมืองน่ารักๆแต่ความสวยงามและน่าสนใจไม่แพ้ใครให้กับใครที่สนใจจะหาที่เที่ยวใหม่ๆในพม่า
*ออกตัวก่อนว่าถ้าผิดพลาดประการในก็ขออภัยในครับ เพราะว่าหนึ่ง ผมมือใหม่จริงๆ สอง ผมพูดมาก ฮ่าๆๆๆ
**ผมพยายามเขียนทับศัพท์พม่าตามวิธีการเขียนและอ่านของพม่านะครับ แต่จะวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ให้
หลายๆคนรู้จักเมืองแปรมาจากเพลงผู้ชนะสิบทิศ เหมือนทีผมร้องไว้ตอนขึ้นต้น ดังนั้นเรามาเริ่มต้นเรื่องเมืองแปรกันก่อนครับ
เมืองแปร (Pyay) ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 250 กม. เดินทางตามถนนหลวงหมายเลข 2 ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
การเดินทางใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เดินทางครับ ดังนั้น ควรวางแผนให้ดีว่าจะถึงที่หมายกี่โมงจะได้จัดการเรื่องที่พักได้
เวลาคุยกับคนพม่า แล้วเรียก แปร นี่เค้าไม่รู้เรื่องนะครับ พม่าออกเสียงเมืองนี้ว่า ปยี่ (คล้าย ปะ-หยี่ ออกเสียงติดกันเร็วๆ) อักษร "ร" พม่าอ่านเป็น ย ครับ
สำหรับเพื่อนที่กังวลเรื่องการเดินทาง ผมขอบอกเลยว่าเมืองนี้ไปง่ายมากครับ
เพราะว่า หนึ่ง มีรถออกทุกครึ่งชั่วโมงตลอดวันจนถึงสองทุ่ม สอง มีบริษัทรถให้เลือกเยอะครับ รถก็ชั้นนำด้วย
ผมเดินทางไปถึงสนามบินย่างกุ้งเมื่อ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา เครื่องดีเลย์เล็กน้อยผมถึงเกือบหกโมง
รีบโบกรถต่อมายังสถานีรถบัสเอ่าง์มินกะลา (Aung Mingalar Highway Bus Station)
ใครเคยไปพม่าแล้วจะรู้ว่าสนามบินกับสถานีรถไม่ไกลกันครับไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
จับรถรอบสองทุ่มครึ่งไปเมืองปยี่ของเรา
สภาพในรถครับติดแอร์อย่างดี แถมหนาวอีกต่างๆหาก ราคารถบัสติดแอร์จะอยู่ที่ประมาณ 5,000-8,000 จั๊ต ครับ (ประมาณ 150-240 บาท)
ขึ้นอยู่กับเจ้าไหนที่เราเลือกไป และขึ้นอยู่กับว่าจะโดนชาร์จราคา foreigner รึเปล่า ฮ่าๆๆ อันนี้ต้องลุ้นกัน บางทีไม่มีมาตรฐาน ส่วนผมได้ 5พันโลด
รูปนี้รถขากลับครับ พอดีลืมถ่ายตอนขาขึ้นมา
การเดินทางของผมออกสองทุ่มครึ่งตรงเวลา ไปถึงเมืองปยี่ตอนตีสองครึ่ง หนาวใช้ได้ เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่บนละติจูดเท่าๆเชียงใหม่ อากาศจะคล้ายกัน
พอถึงผมก็จับรถไปที
โรงแรมถุ่น (Htun Hotel) ค่าที่พักโรงแรมนี้ค่อนข้างแพง แต่ก็ต้องทำใจครับโรงแรมพม่าแพงเป็นปกติ
แต่ตอนผมไปทางเลือกน้อย เพราะเป็นช่วงเทศกาลสำคัญที่สามปีมีครั้งหนึ่ง
ข้อดีของโรงแรมนี้ก็คือไม่ไกลจากสถานีขนส่งมากจ้างมอไซค์มาส่งพันจั๊ต (ราวสามสิบบาท) มอไซค์ขับมาไม่ถึงห้านาที
มารู้อีกวันว่าราคาจริงๆควรจะแค่ ห้าร้อยจั๊ต แต่ ณ เวลาตีสองครึ่งสามสิบบาทผมก็ยอม
ห้องพักของผม 40$ รับแต่เงินจั๊ตครับโรงแรมนี้ ห้องกว้างใช้ได้ มีน้ำอุ่น มีอ่างอาบน้ำให้
(พี่ สก็อต ที่เป็นทั้งแท็กซี่และผู้นำทางผมที่นี่บอกว่าจริงๆมีโรงแรมราคาถูกอีกหลายที่ แต่ส่วนใหญ่จะติดต่อจากต่างประเทศยาก
ต้องมาวอล์คอิน หรืออาจลองส่งอีเมลมาดูก่อน บางแห่งคล้ายเกสต์เฮาส์กึ่งโฮมสเตย์แค่ 12$ ที่เป็นคล้ายบิสเนสโฮเท็ลก็ราว 30$)
สภาพโรงแรมตอนเช้าครับ เป็นโรงแรมแบบรีสอร์ทห้องบังกะโล มีอาหารเช้าให้ด้วย (มีให้เลือกระหว่างข้าวผัดถั่วกับไข่ หรือ ขนมปังชุบไข่)
พอตอนเช้าก็โทรหาพี่สก็อต (ได้ข้อมูลมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนว่าพี่เค้าบริการดีและใส่ใจ ไม่มีโกง) เพื่อให้เป็นแท็กซี่และไกด์ให้ผม
จริงๆ เราอาจจะหารถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานเช่าเองได้ แต่ว่าที่เที่ยวหลายที่อยู่ไกลแลเดินทางลำบากเพราะปยี่ยังไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ
ป้ายบอกทางต่างๆมีน้อยและสภาพถนนบางช่วงยังไม่ค่อยดี
ในที่สุดก็ตกลงกับพี่สก๊อตสำหรับการท่องเที่ยวสองวันนี้ ตามแผนดังนี้ครับ
วันแรก
- ช่วงเช้าไปเที่ยวเมืองเก่าศรีเกษตร (Sri Ksetra หรือThayekittaya) เมืองนี้เพิ่งขึ้นทเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่า เมื่อปีที่แล้ว (2014) นี่เองครับ
- จากนั้นไปวัดพระมหาธาตุชเวซันดอว์ (Shwe San Daw) หนึ่งในมหาสักการสถานศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
- ช่วงบ่ายไปพระสวมแว่นทองที่วัดชเวเมียตมาน (Shwe Myat Hman) ที่เมืองชเวเตาง์ (Shwedaung) ห่างจากปยี่ราว 20 กม.
- หัวค่ำออกมาเที่ยวงานวัดพระมหาธาตุชเวซันดอว์อีกครั้งหนึ่ง
วันที่สอง
- ออกเดินทางไกลไปยังเมืองถ่นโบ่ (Htonbo) เพื่อไปชมพระสลักพันองค์ริมแม่น้ำเอยาวดีที่ภูเขาอะเกาก์เตาง์ (Akauk Taung) ห่างจากปยี่ราว 60 กม.
- กลับมาเก็บบรรยากาศเมืองปยี่จากบนเขา และเตรียมเดินทางกลับย่างกุ้ง
ทั้งหมดนี้พี่สก็อตสนนราคาบวกลบไว้ที่ 80$ (ตกแปดหมื่นจั๊ต) ซึ่งผมมาคำนวณดูจากการลองถามแท็กซี่ทั่วไปแล้ว พี่สก็อตคงคุ้มกว่า
เช่น ผมถามราคารถแท็กซึ่จากโรงแรมไปพระมหาธาตุชเวซันดอว์ เขาบอกสามพันจั๊ตต่อได้เหลือสองพันห้า (75บาท)
พอผมถามเหมาไปภูเขาอะเกาก์เตาง์เขาขอหกหมื่นต่อได้ห้าหมื่นจั๊ต (1,500 บาท) อีกคันขอแปดหมื่น (บ้าไปแล้ววว)
ผมเลยตกลงเหมาพี่สก็อตสองวัน (แต่พี่เขาเป็นมอไซค์นะครับ ไม่ใช่รถแท็กซี่) เดี๋ยวค่อยเล่าประวัติพี่เขาทีหลัง
พอตกลงราคาได้ก็เริ่มเดินทางกันเลยครับ
ที่แรกที่พี่เขาพาไปคือเมืองโบราณศรีเกษตร มรดกโลกแห่งแรกของพม่าที่เพิ่งขึ้นทะเบียนไปเมื่อปีที่แล้ว
เมืองศรีเกษตร คนพม่าออกเสียงเป็น ตะเยขิตตะหย่า
(พม่าเขาออก ศ-ส เป็น ต และ ร เป็น ย ดังนั้นคำแขกว่า สะ-รี-กะ-เสด-ตรา เลยเป็น ตะเยขิตตะหย่า ด้วยประการฉะนี้)
เมืองศรีเกษตรเป็นหนึ่งในสามเมืองเก่าแก่ของชาวพยู (ออกเสียงคล้าย ผิ่ว) ซึ่งเป็นชนตั้งเดิมบริเวณนี้ก่อนที่พวกพม่าจะอพยพลงมา
เมืองศรีเกษตรเป็นเมืองขนาดใหญ่รูปวงรีกว้างประมาณ 4 กม. ยาวประมาณ 6 กม. เมืองมีกำแพงล้อมรอบ บางส่วนมีกำแพงสามชั้น
ซากอิฐส่วนมากของกำแพงเมืองถูกอังกฤษสมัยอาณานิคมขนไปถมถนนหมดละครับ (เหมือนบ้านเราขนอิฐอยุธยามาสร้างกรุงเทพกับทำถนนยังไงยังงั้น)
เมืองในวัฒนธรรมพยูนี้ แทบจะเป็นเมืองที่มีหลักฐานการใช้อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย วัตถุโบราณบางส่วนมีอายุราวพ.ศ. 200-300
ตัวเมืองมีพระราชวังอยู่ตรงกลางเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงอีกชั้นหนึ่ง (ดูแผนที่ประกอบนะครับ)
มีประตูเมืองเก้าประตู ลักษณะประตูเป็นคล้ายปากเหยือกจากแผ่กว้างค่อยๆสอบแคบลง ประตูแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ขอเมืองในวัฒนธรรมพยูครับ
ว่าแล้วที่แรกพี่สก็อตพาไปดูก็คือประตูเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ชื่อประตูนะกะตุน (Nagatunt)
นะกะตุน หรือ นาคตุน ก็แปลว่า นาคสะบัดครับ พี่สก็อตเล่าว่าตอนที่พระเจ้าตุตตะเบาง์ (กษัตริย์องค์แรกของศรีเกษตร) เสด็จมาถึงที่นี่โดยสิงห์
มีนาคที่อยู่ที่นี่ออกมาลองของพระองค์ พระองค์ก็สำแดงเดชปราบนาคจนนาคสะบัดหนี เลยเรียกกันว่าประตูนาคสะบัดนับแต่นั้น และถือเป็นประตูมงคล
มีป้ายมรดกโลกใหม่เอี่ยมมาปักไว้เป็นแลนด์มาร์กแล้ว
มีทีมฝรั่งเดินทางมาที่นี่ด้วยครับ กลุ่มนี้เขาล่องแม่น้ำเอยาวดี (อิระวดี) มาจากมัณฑะเลย์ เรื่อยมาจนพุกาม ปยี่ จนไปถึงแถบย่างกุ้งที่ปากน้ำ
และมีอีกทีมนึงเป็นฝรั่งแต่เดินทางมาเอง ผมเห็นพี่แท็กซี่จอดส่งยืนรอ ไม่มีมาบรรยายอะไรเลย ู้สึกคุ้มทันทีที่ว่าจ้างพี่สก็อต
นี่เป็นภาพข้างในตัวเมืองที่กว้างสุดลูกหูลูกตาครับ เมืองศรีเกษตรเคยรุ่มรวยด้วยโบราณวัตถุที่ทำจากทองคำมากมาย เรี่ยราดหรือจมไม่ลึกตามพื้น
จนเมื่อปี 2532 เกิดการตื่นทองจนชาวบ้านแห่แหนมาขุดของไปหมด รัฐบาลต้องรีบเข้ามาจัดการ แต่ก็ช้าไป เพราะที่รัฐบาลได้ไว้ก็เป็นส่วนน้อย
จากนั้นเราไปต่อกันที่เจดีย์ภญามา เป็นหนึ่งในสามเจดีย์ทรงเฉพาะของวัฒนธรรมพยู คือเจดีย์ทรงลอมฟางครับ
ดูจากภาพคงพอทราบว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าทรงลอมฟางนะครับ ส่วนยอดที่เป็นฉัตรนั้นเพิ่งถูกคนรุ่นหลังนำมาตั้งใหม่
ในสมัยก่อนจะมีการนำเอาบัลลังก์วางด้านบนและปักฉัตรกับธงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบริเวณที่เผาพระศพกษัตริย์และพระพุทธเจ้ามาปักไว้ด้านบนสุด
ถามว่าอ้าวแล้วรู้ได้ไงว่าสมัยก่อนเป็นแบบนั้น มันมีหลักฐานยืนยันครับ ภาพสลักเจดีย์แบบพยูในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นที่ต่อไปที่เราจะไปกัน
นี่ครับภาพหลักฐานของเจดีย์ยุคนั้นที่เราค้นพบ
****เล่ามาซะยาว เดี๋ยวผมมาต่อครับ****
ชอบไม่ชอบ ติชมกันได้เต็มที่ครับ
[CR]*เจ็บใจคนรักโดนรังแก ไปเที่ยวเมืองแปร UNSEEN มากมาย*
นี่เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิป หลังจากเป็นผู้เสพข้อมูลที่มีประโยชน์จากในนี้มามากมาย
เรื่องของเรื่องที่ผมตั้งกระทู้นี้ ก็คือผมมาหาข้อมูลเรื่องเมืองแปรในี้ แต่เจอข้อมูลน้อยมาก
พอผมไปเที่ยวกลับมาเลยตั้งใจจะแชร์ข้อมูลสักเล็กน้อย เพื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนักเดินทางอีกหลายคน
อีกอย่างผมก็อยากโฆษณาเมืองน่ารักๆแต่ความสวยงามและน่าสนใจไม่แพ้ใครให้กับใครที่สนใจจะหาที่เที่ยวใหม่ๆในพม่า
*ออกตัวก่อนว่าถ้าผิดพลาดประการในก็ขออภัยในครับ เพราะว่าหนึ่ง ผมมือใหม่จริงๆ สอง ผมพูดมาก ฮ่าๆๆๆ
**ผมพยายามเขียนทับศัพท์พม่าตามวิธีการเขียนและอ่านของพม่านะครับ แต่จะวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ให้
หลายๆคนรู้จักเมืองแปรมาจากเพลงผู้ชนะสิบทิศ เหมือนทีผมร้องไว้ตอนขึ้นต้น ดังนั้นเรามาเริ่มต้นเรื่องเมืองแปรกันก่อนครับ
เมืองแปร (Pyay) ห่างจากย่างกุ้งประมาณ 250 กม. เดินทางตามถนนหลวงหมายเลข 2 ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
การเดินทางใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เดินทางครับ ดังนั้น ควรวางแผนให้ดีว่าจะถึงที่หมายกี่โมงจะได้จัดการเรื่องที่พักได้
เวลาคุยกับคนพม่า แล้วเรียก แปร นี่เค้าไม่รู้เรื่องนะครับ พม่าออกเสียงเมืองนี้ว่า ปยี่ (คล้าย ปะ-หยี่ ออกเสียงติดกันเร็วๆ) อักษร "ร" พม่าอ่านเป็น ย ครับ
สำหรับเพื่อนที่กังวลเรื่องการเดินทาง ผมขอบอกเลยว่าเมืองนี้ไปง่ายมากครับ
เพราะว่า หนึ่ง มีรถออกทุกครึ่งชั่วโมงตลอดวันจนถึงสองทุ่ม สอง มีบริษัทรถให้เลือกเยอะครับ รถก็ชั้นนำด้วย
ผมเดินทางไปถึงสนามบินย่างกุ้งเมื่อ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา เครื่องดีเลย์เล็กน้อยผมถึงเกือบหกโมง
รีบโบกรถต่อมายังสถานีรถบัสเอ่าง์มินกะลา (Aung Mingalar Highway Bus Station)
ใครเคยไปพม่าแล้วจะรู้ว่าสนามบินกับสถานีรถไม่ไกลกันครับไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
จับรถรอบสองทุ่มครึ่งไปเมืองปยี่ของเรา
สภาพในรถครับติดแอร์อย่างดี แถมหนาวอีกต่างๆหาก ราคารถบัสติดแอร์จะอยู่ที่ประมาณ 5,000-8,000 จั๊ต ครับ (ประมาณ 150-240 บาท)
ขึ้นอยู่กับเจ้าไหนที่เราเลือกไป และขึ้นอยู่กับว่าจะโดนชาร์จราคา foreigner รึเปล่า ฮ่าๆๆ อันนี้ต้องลุ้นกัน บางทีไม่มีมาตรฐาน ส่วนผมได้ 5พันโลด
รูปนี้รถขากลับครับ พอดีลืมถ่ายตอนขาขึ้นมา
การเดินทางของผมออกสองทุ่มครึ่งตรงเวลา ไปถึงเมืองปยี่ตอนตีสองครึ่ง หนาวใช้ได้ เพราะเมืองนี้ตั้งอยู่บนละติจูดเท่าๆเชียงใหม่ อากาศจะคล้ายกัน
พอถึงผมก็จับรถไปทีโรงแรมถุ่น (Htun Hotel) ค่าที่พักโรงแรมนี้ค่อนข้างแพง แต่ก็ต้องทำใจครับโรงแรมพม่าแพงเป็นปกติ
แต่ตอนผมไปทางเลือกน้อย เพราะเป็นช่วงเทศกาลสำคัญที่สามปีมีครั้งหนึ่ง
ข้อดีของโรงแรมนี้ก็คือไม่ไกลจากสถานีขนส่งมากจ้างมอไซค์มาส่งพันจั๊ต (ราวสามสิบบาท) มอไซค์ขับมาไม่ถึงห้านาที
มารู้อีกวันว่าราคาจริงๆควรจะแค่ ห้าร้อยจั๊ต แต่ ณ เวลาตีสองครึ่งสามสิบบาทผมก็ยอม
ห้องพักของผม 40$ รับแต่เงินจั๊ตครับโรงแรมนี้ ห้องกว้างใช้ได้ มีน้ำอุ่น มีอ่างอาบน้ำให้
(พี่ สก็อต ที่เป็นทั้งแท็กซี่และผู้นำทางผมที่นี่บอกว่าจริงๆมีโรงแรมราคาถูกอีกหลายที่ แต่ส่วนใหญ่จะติดต่อจากต่างประเทศยาก
ต้องมาวอล์คอิน หรืออาจลองส่งอีเมลมาดูก่อน บางแห่งคล้ายเกสต์เฮาส์กึ่งโฮมสเตย์แค่ 12$ ที่เป็นคล้ายบิสเนสโฮเท็ลก็ราว 30$)
สภาพโรงแรมตอนเช้าครับ เป็นโรงแรมแบบรีสอร์ทห้องบังกะโล มีอาหารเช้าให้ด้วย (มีให้เลือกระหว่างข้าวผัดถั่วกับไข่ หรือ ขนมปังชุบไข่)
พอตอนเช้าก็โทรหาพี่สก็อต (ได้ข้อมูลมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนว่าพี่เค้าบริการดีและใส่ใจ ไม่มีโกง) เพื่อให้เป็นแท็กซี่และไกด์ให้ผม
จริงๆ เราอาจจะหารถมอเตอร์ไซค์หรือจักรยานเช่าเองได้ แต่ว่าที่เที่ยวหลายที่อยู่ไกลแลเดินทางลำบากเพราะปยี่ยังไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวเต็มรูปแบบ
ป้ายบอกทางต่างๆมีน้อยและสภาพถนนบางช่วงยังไม่ค่อยดี
ในที่สุดก็ตกลงกับพี่สก๊อตสำหรับการท่องเที่ยวสองวันนี้ ตามแผนดังนี้ครับ
วันแรก
- ช่วงเช้าไปเที่ยวเมืองเก่าศรีเกษตร (Sri Ksetra หรือThayekittaya) เมืองนี้เพิ่งขึ้นทเบียนเป็นมรดกโลกแห่งแรกของพม่า เมื่อปีที่แล้ว (2014) นี่เองครับ
- จากนั้นไปวัดพระมหาธาตุชเวซันดอว์ (Shwe San Daw) หนึ่งในมหาสักการสถานศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
- ช่วงบ่ายไปพระสวมแว่นทองที่วัดชเวเมียตมาน (Shwe Myat Hman) ที่เมืองชเวเตาง์ (Shwedaung) ห่างจากปยี่ราว 20 กม.
- หัวค่ำออกมาเที่ยวงานวัดพระมหาธาตุชเวซันดอว์อีกครั้งหนึ่ง
วันที่สอง
- ออกเดินทางไกลไปยังเมืองถ่นโบ่ (Htonbo) เพื่อไปชมพระสลักพันองค์ริมแม่น้ำเอยาวดีที่ภูเขาอะเกาก์เตาง์ (Akauk Taung) ห่างจากปยี่ราว 60 กม.
- กลับมาเก็บบรรยากาศเมืองปยี่จากบนเขา และเตรียมเดินทางกลับย่างกุ้ง
ทั้งหมดนี้พี่สก็อตสนนราคาบวกลบไว้ที่ 80$ (ตกแปดหมื่นจั๊ต) ซึ่งผมมาคำนวณดูจากการลองถามแท็กซี่ทั่วไปแล้ว พี่สก็อตคงคุ้มกว่า
เช่น ผมถามราคารถแท็กซึ่จากโรงแรมไปพระมหาธาตุชเวซันดอว์ เขาบอกสามพันจั๊ตต่อได้เหลือสองพันห้า (75บาท)
พอผมถามเหมาไปภูเขาอะเกาก์เตาง์เขาขอหกหมื่นต่อได้ห้าหมื่นจั๊ต (1,500 บาท) อีกคันขอแปดหมื่น (บ้าไปแล้ววว)
ผมเลยตกลงเหมาพี่สก็อตสองวัน (แต่พี่เขาเป็นมอไซค์นะครับ ไม่ใช่รถแท็กซี่) เดี๋ยวค่อยเล่าประวัติพี่เขาทีหลัง
พอตกลงราคาได้ก็เริ่มเดินทางกันเลยครับ
ที่แรกที่พี่เขาพาไปคือเมืองโบราณศรีเกษตร มรดกโลกแห่งแรกของพม่าที่เพิ่งขึ้นทะเบียนไปเมื่อปีที่แล้ว
เมืองศรีเกษตร คนพม่าออกเสียงเป็น ตะเยขิตตะหย่า
(พม่าเขาออก ศ-ส เป็น ต และ ร เป็น ย ดังนั้นคำแขกว่า สะ-รี-กะ-เสด-ตรา เลยเป็น ตะเยขิตตะหย่า ด้วยประการฉะนี้)
เมืองศรีเกษตรเป็นหนึ่งในสามเมืองเก่าแก่ของชาวพยู (ออกเสียงคล้าย ผิ่ว) ซึ่งเป็นชนตั้งเดิมบริเวณนี้ก่อนที่พวกพม่าจะอพยพลงมา
เมืองศรีเกษตรเป็นเมืองขนาดใหญ่รูปวงรีกว้างประมาณ 4 กม. ยาวประมาณ 6 กม. เมืองมีกำแพงล้อมรอบ บางส่วนมีกำแพงสามชั้น
ซากอิฐส่วนมากของกำแพงเมืองถูกอังกฤษสมัยอาณานิคมขนไปถมถนนหมดละครับ (เหมือนบ้านเราขนอิฐอยุธยามาสร้างกรุงเทพกับทำถนนยังไงยังงั้น)
เมืองในวัฒนธรรมพยูนี้ แทบจะเป็นเมืองที่มีหลักฐานการใช้อักษรที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลย วัตถุโบราณบางส่วนมีอายุราวพ.ศ. 200-300
ตัวเมืองมีพระราชวังอยู่ตรงกลางเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงอีกชั้นหนึ่ง (ดูแผนที่ประกอบนะครับ)
มีประตูเมืองเก้าประตู ลักษณะประตูเป็นคล้ายปากเหยือกจากแผ่กว้างค่อยๆสอบแคบลง ประตูแบบนี้เป็นเอกลักษณ์ขอเมืองในวัฒนธรรมพยูครับ
ว่าแล้วที่แรกพี่สก็อตพาไปดูก็คือประตูเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือ ชื่อประตูนะกะตุน (Nagatunt)
นะกะตุน หรือ นาคตุน ก็แปลว่า นาคสะบัดครับ พี่สก็อตเล่าว่าตอนที่พระเจ้าตุตตะเบาง์ (กษัตริย์องค์แรกของศรีเกษตร) เสด็จมาถึงที่นี่โดยสิงห์
มีนาคที่อยู่ที่นี่ออกมาลองของพระองค์ พระองค์ก็สำแดงเดชปราบนาคจนนาคสะบัดหนี เลยเรียกกันว่าประตูนาคสะบัดนับแต่นั้น และถือเป็นประตูมงคล
มีป้ายมรดกโลกใหม่เอี่ยมมาปักไว้เป็นแลนด์มาร์กแล้ว
มีทีมฝรั่งเดินทางมาที่นี่ด้วยครับ กลุ่มนี้เขาล่องแม่น้ำเอยาวดี (อิระวดี) มาจากมัณฑะเลย์ เรื่อยมาจนพุกาม ปยี่ จนไปถึงแถบย่างกุ้งที่ปากน้ำ
และมีอีกทีมนึงเป็นฝรั่งแต่เดินทางมาเอง ผมเห็นพี่แท็กซี่จอดส่งยืนรอ ไม่มีมาบรรยายอะไรเลย ู้สึกคุ้มทันทีที่ว่าจ้างพี่สก็อต
นี่เป็นภาพข้างในตัวเมืองที่กว้างสุดลูกหูลูกตาครับ เมืองศรีเกษตรเคยรุ่มรวยด้วยโบราณวัตถุที่ทำจากทองคำมากมาย เรี่ยราดหรือจมไม่ลึกตามพื้น
จนเมื่อปี 2532 เกิดการตื่นทองจนชาวบ้านแห่แหนมาขุดของไปหมด รัฐบาลต้องรีบเข้ามาจัดการ แต่ก็ช้าไป เพราะที่รัฐบาลได้ไว้ก็เป็นส่วนน้อย
จากนั้นเราไปต่อกันที่เจดีย์ภญามา เป็นหนึ่งในสามเจดีย์ทรงเฉพาะของวัฒนธรรมพยู คือเจดีย์ทรงลอมฟางครับ
ดูจากภาพคงพอทราบว่าทำไมถึงได้ชื่อว่าทรงลอมฟางนะครับ ส่วนยอดที่เป็นฉัตรนั้นเพิ่งถูกคนรุ่นหลังนำมาตั้งใหม่
ในสมัยก่อนจะมีการนำเอาบัลลังก์วางด้านบนและปักฉัตรกับธงซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบริเวณที่เผาพระศพกษัตริย์และพระพุทธเจ้ามาปักไว้ด้านบนสุด
ถามว่าอ้าวแล้วรู้ได้ไงว่าสมัยก่อนเป็นแบบนั้น มันมีหลักฐานยืนยันครับ ภาพสลักเจดีย์แบบพยูในพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นที่ต่อไปที่เราจะไปกัน
นี่ครับภาพหลักฐานของเจดีย์ยุคนั้นที่เราค้นพบ
****เล่ามาซะยาว เดี๋ยวผมมาต่อครับ****
ชอบไม่ชอบ ติชมกันได้เต็มที่ครับ