จากต้องตัดขา กลายเป็นเดินได้ ==>>> ประสบการณ์ตรงเมื่อคุณพ่อ ต้องรักษาตัวจากเบาหวาน ภัยมืดที่มาแบบไม่ทันตั้งตัว

ผมตั้งใจจะเขียนเพื่อเป็นวิทยาทาน และต้องการบอกต่อ ว่าสิ่งที่ครอบครัวผมและประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้รับ
มันสามารถส่งต่อให้กับผู้ที่ต้องการข้อมูล เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ภัยมืดที่มาแบบฉับพลัน และไม่ทันตั้งตัว

ผมขออนุญาติไม่ลงรูปใดๆ เพราะผมว่าหลายท่านอาจจะตกใจ แต่ถ้าท่านไหนอยากเห็นสามารถหลังไมค์มา
ขอได้ครับ

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นในช่วงตรุษจีน ปี 2558 ที่ผ่านมา

เมื่อคุณพ่อ เริ่มเท้าบวม และไม่สามารถเดินไปไหนมาได้อย่างสะดวก
(ปกติคุณพ่อจะเดินทางไปกลับกรุงเทพ ฉะเชิงเทราเป็นประจำ เพราะบ้านป้าอยู่ที่นั่น)

สุดท้ายเมื่อเท้าบวมและไม่สามารถเดินทางกลับมาจากฉะเชิงเทราได้
น้องสาวผม เดินทางไปรับกลับมากรุงเทพ

เมื่อกลับมาถึงที่กรุงเทพ คุณพ่อก็ยังดื้อไม่ไปหาหมอ ขอนอนพักอยู่ที่บ้าน เพราะคิดว่าไม่น่าจะเป็นอะไรมาก
ปรากฎว่า เท้าบวมมากๆขึ้น และแดง จนสุดท้ายน้องสาวผมต้องพาไปหาหมอ
โดยใช้สิทธิ์ที่โรงพยาบาล รัฐ ที่คุณพ่อสังกัดอยู่

(ต้องบอกก่อนว่า คุณพ่อมีการเป็นโรคความดัน และเบาหวานอยู่แล้ว เราเคยพาไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน
แต่เมื่อคุณพ่อเห็นค่ารักษาพยาบาล ก้อล้มเลิกความตั้งใจใจการรักษาต่อ)

เมื่อไปถึงคุณหมอที่โรงพยาบาลรัฐแห่งนั้น บอกว่า อาจจะเป็นเพราะการเดินมากเกินไปทำให้
เท้าอักเสบ ซึ่งน้องสาวผมก็ได้สอบถามว่า เกี่ยวกับ โรคเบาหวานหรือไม่ ทางคุณหมอบอกว่า ไม่น่าจะเกี่ยวเนื่องกัน

แต่สุดท้าย น้องสาวผมเลยพาย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐอีกที่ ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์ได้ตามรัฐกำหนด
คุณพ่อเดินทางไปถึงโรงพยาบาลแห่งนั้นในคืนวันเกิดผมพอดี (วันนั้นผมรู้แล้วว่า การมาพบหมอครั้งนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน)

โดยเมื่อไปถึง โรงพยาบาลรัฐแห่งนั้น ช่วงเย็นๆ ซึ่งหมอ ยังไม่ได้ลงตรวจ
เมื่อครอบครัวเราไปถึง สุดท้าย คือไม่ได้พบหมอ และทางโรงพยาบาล รับคุณพ่อไว้ดูแลต่อ
โดยเหตุการณ์ตอนนั้นค่อนข้างกระทันหันมาก ดังนั้นผมเลยไม่ได้ดำเนินการ เรื่องการจองห้องพักส่วนตัว
ให้คุณพ่อ

และคืนนั้นเอง คุณหมอลงตรวจช่วงดึก และสั่งคว้านเท้าคุณพ่อทันที

ผมไปหาพ่อในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น คุณพ่อผมโดยคว้านเท้าเรียบร้อยแล้ว
และเราก็พักรอดูอาการคุณพ่อ ตลอดระยะเวลา ของการอยู่โรงพยาบาลนั้น
คุณพ่อผมโดนคว้านเท้าทั้งหมด 3 ครั้ง พร้อมตัดกระดูกที่อยู่ในเท้า ตรงฝ่าเท้าออกทั้งหมดเรียบร้อย
เท่ากับว่า เท้าคุณพ่อผมไม่มีกระดูกและเส้นเอ็นต่างๆอยู่ตรงฝ่าเท้าเลย

คุณพ่อรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนั้นทั้งหมด 2 สัปดาห์
จนครั้งสุดท้าย คุณหมอ แจ้งว่าต้องตัดขาทิ้งเพื่อไม่ให้แผลลาม

ตอนนั้นทั้งบ้านเครียดกันมาก เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เราไม่ได้เตรียมการเพื่อรับมือ
ทั้งเรื่องของสุขภาพจิต เรื่องการเงิน เรื่องการดูแลคุณพ่อ
ตัวคุณพ่อเองก็เครียดมาก เนื่องจากว่าทุกวันคุณพ่อจะต้องล้างแผลทั้งหมด 2 ครั้งต่อวัน
และทุกครั้งที่ล้างแผลเป็นการล้างแผลสด ที่คุณพ่อเจ็บจนร้องไห้ทุกครั้ง
พวกเราเองก็ใจเสีย ทุกครั้งที่คุณพ่อต้องล้างแผล

สุดท้ายตัวผมเอง และน้องสาวพยายามค้นหาทุกวิถีทาง ของการรักษาแผลทีเกิดจากโรคเบาหวาน
สุดท้ายเราก็ได้มา 2-3 ตัวเลือก
ตัวเลือกแรก เป็นโรงพยาบาลรัฐ ที่ต้องพาคุณพ่อ ซึ่งไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย
ไปเพื่อทำทะเบียนคนไข้ตามขั้นตอน

ตัวเลือกที่สองเป็นศูนย์วิจัย ที่ต้องพาคุณพ่อไปเช่นกันอยู่แถวนครนายก
ซึ่งเราเองก็ติดว่าไม่สะดวกในการเคลื่อนย้าย

และสุดท้าย คือข้อมูลจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง
ที่มีคลินิคเท้า ที่รักษาสำหรับคนเป็นโรคเบาหวานโดยเฉพาะ
และให้ข้อมูลการรักษาโรคเบาหวานที่มีหลากหลายวิธี

และวันนี้เป็นวันที่ผมและครอบครัวต้องให้คำตอบกับทางโรงพยาบาลรัฐที่พ่อผม
รักษาตัวอยู่ว่า จะดำเนินการอย่างไร ตัดขา หรือจะย้ายโรงพยาบาล
ไปรักษาตัวที่อื่น

ผมและน้องสาว รวมถึงคุณแม่ ตัดสินใจหลังจากการโทรสอบถามหลายๆตัวเลือก
จน สุดท้ายเรารู้สึกประทับใจกับการบริการในด้านการให้ข้อมูลเบื้องต้น
ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านพระรามสี่

เพราะเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลได้ดีมาก พร้อมกับ ยื่นมือ มาคอยสอบถามความเคลื่อนไหว
ของคุณพ่อตลอด แม้ว่าจะยังไม่ได้ไปใช้บริการเลยก็ตาม

สุดท้ายพวกผมตัดสินใจย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้
เพื่อรักษาตัวคุณพ่อ (โดยระหว่างนั้นก็ให้คุณพ่อทำใจว่า จะพยายามให้ดีที่สุด
แต่ก็ไม่แน่ว่าต้องตัดขาหรือไม่ เพื่อให้แกทำใจไประดับนึง และไม่ให้ความหวัง
เพราะตอนนี้สภาพจิตใจคุณพ่อย่ำแย่มาก เนื่องจากคุณพ่อน้อยใจตัวเองว่า
เกิดมา ก็เดินไม่ได้ตั้งแต่เกิด สุดท้ายก็เดินได้ แม้เท้าจะผิดรูปไม่เหมือนคนทั่วไป
แต่ยังจะต้องมาเสี่ยงโดนตัดขาอีก)

เมื่อไปให้ที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ดูอาการแล้ว
ทุกคนรวมถึงคุณหมอ ที่รักษาคุณพ่อ ก็พูดเหมือนกันว่าให้ทำใจ
เพราะการรักษาอาจจะต้องตัดขา แต่ทั้งนี้ คุณพ่อ มีข้อดีอย่างนึง
คือหลอดเลือดคุณพ่อค่อนข้างแข็งแรงดี ดังนั้น ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่อาจจะหายขาด

ทางโรงพยาบาลให้ทางพวกเราตัดสินใจว่า จะเดินหน้าสู้ต่อ
หรือจะย้ายกลับโรงพยาบาลเดิม
ผมและน้องสาวมองว่า การพยายามให้ดีที่สุด คือการรักษาขาคุณพ่อไว้
ดังนั้นเราเลยตัดสินใจสู้ต่อ พร้อมเตรียมเรื่องการเงินต่างๆ

เบื้องต้นแผนการรักษาคุณพ่อคือ
จะใช้วิธีส่งตัวหนอนเข้าไปกินของเสียต่างๆที่อยู่ในเท้า

แต่เมื่อคุณหมอเบาหวานทำงาน พร้อมกับทีม คุณหมอศัลยกรรม
ทางทีมมองว่าอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีเป็นการรักษา
โดยคุณหมอศัลยกรรมทำการผ่าตัดขาคุณพ่ออีกครั้งและคว้านเป็นครั้งที่ 4
เพื่อเอาเนื้อไม่ดี และเน่าเสีย ออกจากเท้าอีกครั้ง

หลังจากนั้นเมื่อเฝ้าดูอาการแล้ว
โดยคุณหมอศัลยกรรมใช้วิธีที่เรียกว่า แวคคูอั่ม (ไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่)
โดยการมีเครื่องดูดของเสียติดขาคุณพ่อตลอด พร้อมกับ ล้างแผล ควบคุมอาหาร รวมไปถึงการใช้
ยาเร่งการเติบโตของเนื้อเยื่อ เพื่อให้ดีขึ้น

อาการของคุณพ่อดีเป็นลำดับๆ และสุดท้ายคุณพ่อไม่ต้องตัดเท้า
พร้อมกับควบคุมอาหาร โดยหมอและพยาบาลที่นี่น่ารักมากๆครับทำงานกันเป็นทีม

สุดท้ายคุณพ่อผมใช้ระยะเวลาในการรักษาที่โรงพยาบาลทั้งหมด
ระยะเวลาประมาณเดือนกว่า เมื่อคุณหมอเห็นว่าแผลข้างในขาทั้งหมดหายดีแล้ว
และเหลือแต่เนื้อดี ที่ทยอยสร้างเนื้อใหม่เข้ามาปิดฝ่าเท้า

จึงปล่อยตัวกลับบ้าน แต่ระหว่างนี้
น้องสาวผมยังต้องล้างแผลทุกวัน พร้อมกับพวกเราต้องมาพบหมอทุกอาทิตย์
จากทุกอาทิตย์ เป็นทุกเดือน เป็นเดือนเว้นเดือน และล่าสุดคือ สามเดือนที

สุดท้ายคุณพ่อผม จากจะต้องตัดขา กลายเป็นรักษาขาไว้ได้
โดยเริ่มจากใช้รถเข็นเป็นเหลือ วอล์กกิ้ง เป็นตัดรองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวานใส่
และเดินได้ตามปกติ

ล่าสุดตอนนี้ คุณพ่อสามารถเดินไปไหนมาไหนเองได้โดยลำพัง
โดยต้องใส่รองเท้าแตะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน เมืออยู่ที่บ้าน และรองเท้าอีกคู่สำหรับออกนอกบ้าน
โดยต้องใส่ถุงเท้าพิเศษสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน รวมไปถึงคอยระวังเรื่องอาหารและไม่ให้เกิดแผล
พร้อมทั้งสุ่มตรวจน้ำตาลและความดัน เป็นครั้งคราว ด้วยเครื่องตรวจน้ำตาลที่ซื้อมาไว้ใช้โดยเฉพาะที่บ้าน

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการเจ็บป่วยของคุณพ่อครั้งนี้คือ

1. ในยามที่ครอบครัวเราประสบปัญหาร่วมกัน ความรัก ความสัมพันธ์ในครอบครัว
เป็นสิ่งที่พวกเรายึดเหนี่ยวกันไว้ เรามักจะมีคำพูดที่เราพูดด้วยกันบ่อยๆ ว่า
"แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน"

2.ขอปรบมือให้กับทีมงานทั้งโรงพยาบาลรัฐที่คุณพ่อผมเข้าไปรักษาครั้งแรก
แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ผมรู้ว่าทีมพยาบาลที่นั่น น่ารักมาก
ดูแลคุณพ่อและครอบครัวผมอย่างสุดความสามารถ แต่ด้วยข้อจำกัดต่างๆ
ผมเลยตัดสินใจย้ายไปอยู่โรงพยาบาลเอกชน

3.ขอบคุณการให้ความช่วยเหลือ ของครอบครัว เพื่อนๆ พี่ๆที่ทำงาน
และญาติพี่น้องที่ผลัดกันมาคอยดูแลห่วงใยกันตลอด

4.ผมตั้งใจจะเขียนกระทู้นี้เพื่อแนะนำ เป็นวิทยาทานให้กับโรงพยาบาลที่
เน้นการดำเนินธุรกิจที่ไม่เอาเปรียบผู้ป่วย เพราะผมเองถามกับทางโรงพยาบาลว่า
ทำไม ไม่ค่อยมีคนรู้จัก ว่า ทางโรงพยาบาลเก่งด้านเบาหวานโดยเฉพาะผู้ที่มีแผลที่เท้า

เรื่องของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางโรงพยาบาลจะทำและดำเนินการ
ตามความเหมาะสม เพราะ ทางโรงพยาบาลเองไม่มีนโยบายเก็บค่ารักษาพยาบาล
เพื่อนำงบประมาณมาทำการตลาด ดังนั้น ไม่แปลกใจที่
ทุกครั้งที่พบหมอ คุณพยาบาลและคุณหมอ
มักจะสอบถามว่า เอาที่ล้างแผลมาด้วยหรือไม่ ?
ยาตัวนี้หมดหรือยัง ไปซึ้อข้างนอกก็ได้นะ?

ซึงโดยรวมแล้วค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลคุณพ่อ โดยรวม
เกือบ สองเดือน อาจจะเท่ากับโรงพยาบาลเอกชน ที่นอนได้สักสามถึงห้าคืนเท่านั้น

5.อาการของคนเป็นโรคเบาหวาน
มันมีตั้งแต่ มีแผลที่เห็นได้ชัด (เหมือนคนทั่วไป ที่รักษาและต้องตัดอวัยวะทิ้งไปทีละส่วนๆ)
หรือแบบคุณพ่อผม ที่เค้ามีอาการเบาหวาน และความดันอยู่แล้ว
ประกอบกับแอบลูกทานสัปปะรดภูแล + มะเขือเทศเชื่อม จนทำให้เท้าบวมและแผลระเบิดจากข้างใน

โดยการรักษานั้นต้องอาศัย
กำลังใจจากผู้ป่วย
อาหารการกินที่ต้องเปลี่ยนไป
และการรักษาของทางการแพทย์
รวมไปถึงการพบหมออย่างสม่ำเสมอ

หากท่านไหนที่อยากได้ข้อมูลเกี่ยวกับแผลเบาหวาน ของคุณพ่อ หรือการรักษา ต่างๆ
เพิ่มเติม ผมยินดีให้ข้อมูลโดยติดต่อได้หลังไมค์นะครับ


"ผมขอบคุณจริงๆครับ"
มันคือปาฎิหารย์ สำหรับครอบครัวผมที่เกิดขึ้นในปี 2558
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่