[เรื่องที่ 111] The Lobster/โสด เหงา เป็นลอบสเตอร์ ; (Yorgos Lanthimos, 2015)
คะแนน : 10/10 *สปอยล์เบาๆไม่เสียอรรถรส
จัดว่าเป็นหนังอินดี้กระแสแรงกับพล็อตที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ "เล่าถึงยุคๆหนึ่งที่การไม่มีคนรักเป็นสิ่งผิดกฏหมาย คนไหนที่โสด (ไม่ว่าเมียตาย โดนทิ้ง หรือว่าเลิกกัน) จะต้องถูกส่งมาอยู่ที่ 'The Hotel' เพื่อทำการ 'หาคู่' ให้ได้ภายใน 45 วันถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องถูกเปลี่ยนร่างกายเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่ตนเลือก" ซึ่งแน่นอนว่าผู้เขียนก็ตกหลุมรักกับพล็อตตั้งแต่ยังไม่ได้ดูแล้ว
โดยตัวหนังเองจะแบ่งเป็นสองพาร์ทที่ชัดเจนในเวลา 2 ชั่วโมง โดยพาร์ทแรกเรื่องราวถูกเล่าในบริเวณโรงแรมที่พระเอกพึ่งย้ายเข้ามา ซึ่งในพาร์ทนี้เป็นส่วนที่ผู้กำกับจัดเต็มมากกกกกกกกกกกกกก ในแง่ของมุกตลกร้ายหน้าตายต่างๆที่ยิงมารัวๆชนิดขำไม่ต้องหยุดพักกันเลยทีเดียว และเราจะได้เห็นความลำบากของตัวละครที่ต้องอยู่ในโรงแรมที่ทำทุกวิถีทางที่จะผลักดันให้คนโสดไปตามล่าคนอื่นมา ไม่ว่าจะเป็น 'กฏห้ามช่วยตัวเอง' หรือว่า 'เลกเชอร์คลาสข้อเสียในการเป็นคนโสด' และอื่นๆอีกมากมาย .. ชนิดเรียกได้ว่าบิ้วทุกวิถีทางให้บรรลุจุดประสงค์ของโรงแรมให้ได้
และด้วยเหตุที่เวลามีจำกัดเพียง 45 วัน, คนโสดทั้งหลายก็เลยต้องกระเสือกระสนหาคู่ของตัวเองให้ได้ ซึ่งหนังเองก็เสียดสีในแง่มุมของการเลือกชอบใครซักคนของตัวละครในเรื่อง ที่มักพยายามเลือกคนที่มีคุณสมบัติหรือนิสัยคล้ายๆกับตนแล้วทึกทักไปเองว่าเป็นความรัก ไม่ว่าจะเป็น เดินกะเผลกเหมือนกันหรือสายตาสั้นเหมือนกัน เป็นต้น ซึ่งก็มีบางตัวละครที่สิ้นหวังกับเดดไลน์ของตัวเองเพราะจะกลายเป็นสัตว์เต็มที จนทำให้ต้องโขกจมูกตัวเองเพื่อแอ๊บว่าตัวเองเป็นคนเลือดกำเดาไหลง่ายเหมือนผู้หญิง จนทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาจริงๆว่า 'จริงๆแล้วเราอยากมีแฟนเพราะเรามีความรัก หรือเพราะภาวะแวดล้อมทางสังคมเราบังคับให้เราขวนขวายหาใครซักคนกันแน่?' และที่น่าขำอีกอย่างก็คือการโกหกในความเป็นตัวของตัวเองเพื่อไล่ตามใครซักคนมันก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดกับเราในชีวิตประจำวันบ่อยๆเสียด้วยสิ.
และหลังจากสร้างคอนฟลิคต์ให้คนดูอย่างเราๆขบคิดกับตัวเองในข้อเสียของการตามล่าความรักอย่างหน้ามืดแล้ว หนังก็พาเรามาสู่พาร์ทสองที่ตัวเอกหนีจากโรงแรมเข้าป่าไปร่วมกลุ่มกลับ 'คนโสด' ซึ่งมีกฏแตกต่างจากโรงแรมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น ห้ามจีบกัน ,ห้ามเต้นรำให้เสียบหูฟังแดนซ์ได้คนเดียวเท่านั้น หรือ ถ้าจะตายให้ขุดหลุมแล้วพาตัวเองลงหลุมเองซะ เป็นต้น ... ซึ่งพาร์ทนี้ถ้าไม่บอกนี่ไม่รู้เลยว่าผู้กำกับคนเดียวกัน คือตีมหนังมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งท้องฟ้าอึมครึม มุกตลกที่เคยแจกรัวๆในพาร์ทแรกก็มลายหายไป (ขำนับครั้งได้เลยในช่วงหลัง) ที่สำคัญคือบรรยากาศมันน่าอึดอัดมากเพื่อนำเสนอแง่มุมของคนโสด ที่อุดมไปด้วยอิสระในชีวิต แต่มันก็เหงาจนน่าใจหาย.
Colin Farrell รับบทบาทหนุ่มโสดเหงาๆได้อย่างน่าชื่นชมอีกครั้งจนไม่แน่ใจว่าแกซื้อแฟรนชายส์บทแบบนี้ไปรึยัง เราจะได้มีโอกาสได้ค่อยๆเรียนรู้พัฒนาการของตัวละครแบบ 'David' ที่ค่อยๆกลมกลืนไปกับธีมหนังได้อย่างไม่ขัดเขิน และรับบทหนักๆที่หนังสาดใส่คนดูอย่างไม่ปราณีได้อย่างน่าเชื่อถือและเคมีเข้ากันกับนางเอกได้ดี และพ่วงดาราสาวเจ้าบทบาทอย่าง Lea Seydoux ที่ยังคงรักษาอิมเมจ 'สวยหน้านิ่ง' ได้อย่างหมดจดเช่นเคยในบทของ 'ผู้นำคนโสด', ตัวละครนำที่มีเอกลักษณ์ก็นับเป็นส่วนดีที่น่าจดจำของเรื่องนี้เช่นกัน
... The Lobster เป็นหนังตลกร้ายที่เสียดสีรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งคนโสดและคนมีคู่ได้อย่างเจ็บแสบ และมาพร้อมกับตลกร้ายที่ต้องตามให้ทันนิดนึง ซึ่งแน่นอนว่าอาจไม่เอ็นจอยสำหรับทุกคน(คนข้างๆผู้เขียนทำหน้าฉงนว่าจะขำอะไรขนาดนั้น คาดว่าจะตามไม่ทัน) แต่ทั้งนี้พล็อตที่น่าสนใจและการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างติดตามง่ายก็ทำให้คนดูอย่างเราๆไปตั้งคำถามต่อได้หลังหนังจบ และที่สำคัญคือฉากจบที่พีคมากจนอาจทำให้ติดหัวติดใจไปอีกหลายวัน
อย่าลืมไปลองดูกันนะจ๊ะ หาโรงยากหน่อย
ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ :
https://www.facebook.com/expensivemovie
[รีวิวเรื่องที่ 111] The Lobster/โสด เหงา เป็นลอบสเตอร์
[เรื่องที่ 111] The Lobster/โสด เหงา เป็นลอบสเตอร์ ; (Yorgos Lanthimos, 2015)
คะแนน : 10/10 *สปอยล์เบาๆไม่เสียอรรถรส
จัดว่าเป็นหนังอินดี้กระแสแรงกับพล็อตที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ "เล่าถึงยุคๆหนึ่งที่การไม่มีคนรักเป็นสิ่งผิดกฏหมาย คนไหนที่โสด (ไม่ว่าเมียตาย โดนทิ้ง หรือว่าเลิกกัน) จะต้องถูกส่งมาอยู่ที่ 'The Hotel' เพื่อทำการ 'หาคู่' ให้ได้ภายใน 45 วันถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะต้องถูกเปลี่ยนร่างกายเป็นสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่งที่ตนเลือก" ซึ่งแน่นอนว่าผู้เขียนก็ตกหลุมรักกับพล็อตตั้งแต่ยังไม่ได้ดูแล้ว
โดยตัวหนังเองจะแบ่งเป็นสองพาร์ทที่ชัดเจนในเวลา 2 ชั่วโมง โดยพาร์ทแรกเรื่องราวถูกเล่าในบริเวณโรงแรมที่พระเอกพึ่งย้ายเข้ามา ซึ่งในพาร์ทนี้เป็นส่วนที่ผู้กำกับจัดเต็มมากกกกกกกกกกกกกก ในแง่ของมุกตลกร้ายหน้าตายต่างๆที่ยิงมารัวๆชนิดขำไม่ต้องหยุดพักกันเลยทีเดียว และเราจะได้เห็นความลำบากของตัวละครที่ต้องอยู่ในโรงแรมที่ทำทุกวิถีทางที่จะผลักดันให้คนโสดไปตามล่าคนอื่นมา ไม่ว่าจะเป็น 'กฏห้ามช่วยตัวเอง' หรือว่า 'เลกเชอร์คลาสข้อเสียในการเป็นคนโสด' และอื่นๆอีกมากมาย .. ชนิดเรียกได้ว่าบิ้วทุกวิถีทางให้บรรลุจุดประสงค์ของโรงแรมให้ได้
และด้วยเหตุที่เวลามีจำกัดเพียง 45 วัน, คนโสดทั้งหลายก็เลยต้องกระเสือกระสนหาคู่ของตัวเองให้ได้ ซึ่งหนังเองก็เสียดสีในแง่มุมของการเลือกชอบใครซักคนของตัวละครในเรื่อง ที่มักพยายามเลือกคนที่มีคุณสมบัติหรือนิสัยคล้ายๆกับตนแล้วทึกทักไปเองว่าเป็นความรัก ไม่ว่าจะเป็น เดินกะเผลกเหมือนกันหรือสายตาสั้นเหมือนกัน เป็นต้น ซึ่งก็มีบางตัวละครที่สิ้นหวังกับเดดไลน์ของตัวเองเพราะจะกลายเป็นสัตว์เต็มที จนทำให้ต้องโขกจมูกตัวเองเพื่อแอ๊บว่าตัวเองเป็นคนเลือดกำเดาไหลง่ายเหมือนผู้หญิง จนทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองขึ้นมาจริงๆว่า 'จริงๆแล้วเราอยากมีแฟนเพราะเรามีความรัก หรือเพราะภาวะแวดล้อมทางสังคมเราบังคับให้เราขวนขวายหาใครซักคนกันแน่?' และที่น่าขำอีกอย่างก็คือการโกหกในความเป็นตัวของตัวเองเพื่อไล่ตามใครซักคนมันก็เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดกับเราในชีวิตประจำวันบ่อยๆเสียด้วยสิ.
และหลังจากสร้างคอนฟลิคต์ให้คนดูอย่างเราๆขบคิดกับตัวเองในข้อเสียของการตามล่าความรักอย่างหน้ามืดแล้ว หนังก็พาเรามาสู่พาร์ทสองที่ตัวเอกหนีจากโรงแรมเข้าป่าไปร่วมกลุ่มกลับ 'คนโสด' ซึ่งมีกฏแตกต่างจากโรงแรมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น ห้ามจีบกัน ,ห้ามเต้นรำให้เสียบหูฟังแดนซ์ได้คนเดียวเท่านั้น หรือ ถ้าจะตายให้ขุดหลุมแล้วพาตัวเองลงหลุมเองซะ เป็นต้น ... ซึ่งพาร์ทนี้ถ้าไม่บอกนี่ไม่รู้เลยว่าผู้กำกับคนเดียวกัน คือตีมหนังมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทั้งท้องฟ้าอึมครึม มุกตลกที่เคยแจกรัวๆในพาร์ทแรกก็มลายหายไป (ขำนับครั้งได้เลยในช่วงหลัง) ที่สำคัญคือบรรยากาศมันน่าอึดอัดมากเพื่อนำเสนอแง่มุมของคนโสด ที่อุดมไปด้วยอิสระในชีวิต แต่มันก็เหงาจนน่าใจหาย.
Colin Farrell รับบทบาทหนุ่มโสดเหงาๆได้อย่างน่าชื่นชมอีกครั้งจนไม่แน่ใจว่าแกซื้อแฟรนชายส์บทแบบนี้ไปรึยัง เราจะได้มีโอกาสได้ค่อยๆเรียนรู้พัฒนาการของตัวละครแบบ 'David' ที่ค่อยๆกลมกลืนไปกับธีมหนังได้อย่างไม่ขัดเขิน และรับบทหนักๆที่หนังสาดใส่คนดูอย่างไม่ปราณีได้อย่างน่าเชื่อถือและเคมีเข้ากันกับนางเอกได้ดี และพ่วงดาราสาวเจ้าบทบาทอย่าง Lea Seydoux ที่ยังคงรักษาอิมเมจ 'สวยหน้านิ่ง' ได้อย่างหมดจดเช่นเคยในบทของ 'ผู้นำคนโสด', ตัวละครนำที่มีเอกลักษณ์ก็นับเป็นส่วนดีที่น่าจดจำของเรื่องนี้เช่นกัน
... The Lobster เป็นหนังตลกร้ายที่เสียดสีรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งคนโสดและคนมีคู่ได้อย่างเจ็บแสบ และมาพร้อมกับตลกร้ายที่ต้องตามให้ทันนิดนึง ซึ่งแน่นอนว่าอาจไม่เอ็นจอยสำหรับทุกคน(คนข้างๆผู้เขียนทำหน้าฉงนว่าจะขำอะไรขนาดนั้น คาดว่าจะตามไม่ทัน) แต่ทั้งนี้พล็อตที่น่าสนใจและการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างติดตามง่ายก็ทำให้คนดูอย่างเราๆไปตั้งคำถามต่อได้หลังหนังจบ และที่สำคัญคือฉากจบที่พีคมากจนอาจทำให้ติดหัวติดใจไปอีกหลายวัน
อย่าลืมไปลองดูกันนะจ๊ะ หาโรงยากหน่อย
ขอเชิญติดตามรีวิว/ข่าวสารและร่วมกันพูดคุยเรื่องหนังได้ที่เพจครับ : https://www.facebook.com/expensivemovie