ว่ากันว่ารักแรก(มักจะ)เป็นรักยากจะลืม
ว่ากันว่ารักแรก(มักจะ)จบลงด้วยความไม่สมหวัง
และเปอร์เซ็นแทบจะเป็นศูนย์ที่รักครั้งแรกมันพัง
แล้วจะให้กลับมาคืนดีได้
แต่สำหรับบางคน รักแรกมันเป็นมากกว่ารักแรก
และเป็นยิ่งกว่ารักครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุนี้
"รักครั้งแรก" ของบางคนจึงกลายเป็น "รักครั้งเดียว" ของชีวิต
โอโนเดระ ริทสึ อายุ 25 ทายาทของสำนักพิมพ์ชื่อดัง ด้วยความที่ชอบอ่านมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อเรียนจบเป็นบัณฑิตหมาด ๆ ก็ได้โอกาสเข้าทำงานในบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว แต่กระนั้นเสียงติฉินนินทาลอยตามลมมา ว่าที่เจริญก้าวหน้าทุกวันนี้ ก็ภายใต้ปีกของบิดา เซนเซย์ที่มีชื่อเสียงภายใต้การดูแลของเจ้าตัวที่อยู่ในตำแหน่งบรรณาธิการเล่ม (แผนกวรรณกรรม) ผู้มีชื่อเหล่านั้นจะตกมาถึงมือเด็กมือใหม่เช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่ใช่การใช้ "เส้น" เพียงเท่านี้โอโนะเดระ ผู้หัวดื้อ อ่อนไหว และ ตรงไปตรงมา บวกกับวัยผู้ใหญ่ช่วงต้นอายุราว 25 ที่ต้องการเป็นที่ยอมรับ ก็ไม่รอช้าที่จะก้าวออกมา พยายามสร้างที่ทางของตัวเองในแวดวงเดิม แวดวงน้ำหมึก
กับประสบการณ์บรรณาธิการเล่ม 3 ปี กับสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ และ ภูมิหลังฐานะที่ไม่ใช่ no name โอโนะเดระได้ที่ทำงานใหม่ในสำนักพิมพ์อย่างที่คาดหมายไว้ แต่เรื่องราวกับพลิกล็อกขนานใหญ่ เมื่อตำแหน่งงานที่มารุคาวะ ไม่ใช่แผนกวรรณกรรมอย่างที่ตั้งใจ แต่กลับไปจบลงที่แผนกโชโจมังงะ (การ์ตูนตาหวาน) หนังสือคืองานศิลปะ และ งานศิลปะในสายตาโอโนเดระ คือ กระดาษอาร์ต หนังสือปกแข็ง จัดพิมพ์เป็นเล่มปราณีต ควรค่าแก่การสะสม เขาไม่ได้ดูถูกมังงะหรอกนะ แต่ไอ้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ สกรีนโทน แสงฟรุ้งฟริ้งวิ้งว้าว อะไรพวกนั้น เขาไม่ถนัดเอาซะเลย
ท้ายที่สุด .... โชโจมังงะมันไม่ใช่ทางตันในอาชีพสำหรับผู้ชายหรอกหรือ ?
สาว OL ที่นำทางเขาไปกองบรรณาธิการนิตยสารรายเดือนอย่างเอเมอรัลถึงกับหัวเราะ หากเป็นเมื่อปีก่อนนั้นล่ะใช่ เอเมอรัลเคยเป็นรอยโหว่ของสำนักพิมพ์มารุคาวะ แต่เมื่อบรรณาธิการบริหารคนปัจจุบันเขามารับตำแหน่ง เขากอบกู้เอเมอรัลให้เป็นหัวนิตยสารที่ทำกำไรภายใน 1 ปี จากตัวห่วยกลายเป็นตัวท็อปไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นบรรณาธิการแถวหน้าของแผนกนี้ยังเป็น "ผู้ชาย" ล้วน ๆ แล้วแบบนี้จะว่าเป็นทางตันของอาชีพได้อย่างไร
ถึงจะไม่ค่อยพอใจ .... แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่ลองก็ไม่รู้สินะ
คนจะซวยอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ... วันทำงานวันแรกดันอยู่ในช่วง war zone ของแผนกพอดี โอโนะเดระจึงตกอยู่ในสมรภูมิซอมบี้บรรณาธิการที่โทรมยิ่งกว่าศพเดินได้ เมื่อต้อง manage ต้นฉบับและวิ่งสู้ฟัดกับโรงพิมพ์ แล้วความซวยก็กลายร่างเป็นหายนะเมื่อบรรณาธิการบริหารซึ่งเป็นหัวหน้ากองยังเป็นคนนิสัยเสียไร้ที่ติ มาถึงมองหน้าก็หาว่าไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ฉันจะอยู่รอดถึงสองอาทิตย์ไหมเนี่ย ... วานบอก
ทาคาโนะ มาซามุเนะ มองเด็กใหม่ด้วยความขัดใจ war zone week แบบนี้ เหนื่อยแทบจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว จะส่งคนใหม่มาทั้งที ให้มีประสบการณ์หน่อยก็ไม่ได้ ยิ่งได้รู้ว่าทำอะไรมาในหัวยิ่งคิดว่า "ไร้ประโยชน์" ว่าแต่หมอนี่หน้าตามันคุ้น ๆ ไหม ? ทำไมเหมือนติด ๆ อยู่ในหัว ไอ้หน้าตาบ๊องแบ๊วกับความรู้สึกตรงไปตรงมาไม่เคยระงับได้ นี่มันเคยเจอที่ไหน แต่ยังไงก็เหอะ เด็กคนนี้ ... ไม่น่าจะอยู่ได้นาน นอกจากความเป็นมือใหม่แล้ว อีกเรื่องที่เห็นได้ชัด คือ ใจ ... ไม่รู้จะอยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้าได้นานเท่าไหร่ อยากอยู่วรรณกรรมแต่ดันถูกส่งมาโชโจมังงะ มันจะได้สักกี่น้ำ
แต่ถ้าคิดว่าวรรณกรรมเป็น "ศิลป์" ... มังงะเองก็ไม่ได้ด้อยกว่ากันมันเป็น "ศาสตร์"
งานเขียนต่างประเภทแต่วิธีการจัดการก็ต้องอาศัยความชำนาญไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
แต่เมื่อได้เจ้านี่มาเป็นลูกน้อง ถึงไม่เป็นก็ต้องหัดกันละนะ พาแผนกติดปีกมาได้ปีหนึ่งแล้ว performance จะตกต่ำลงได้ยังไง แถมดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็น่าจะจริงจังตั้งใจอยู่ไม่น้อย ถึงจะเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ แต่ถ้ามันเป็น "งาน" ก็ดูกระตือรือร้นดี ถ้าลองอ่านมังงะ 100 เล่มข้ามคืนได้ และ ยังนั่งท่องรายชื่อหนังสือในสต็อกอีก เอ๊ะ ... อะไรนะ เคยอ่านหนังสือทั้งห้องสมุดเป็นงานอดิเรกตอนมัธยมปลายเรอะ
โอโนะเดระ รึทสิ หรือว่าเจ้าเด็กคนนั้น คนที่ทำเราเป็นบ้าเป็นหลัง คนที่ทิ้งเราไป ก็คือเจ้านี่
ก็ได้ ... ทาคาโนะ มาซามุเนะ ประกาศ ถ้าอย่างนั้น ... ฉันจะทำให้นายบอกรักฉันอีกครั้งเอง
แม้แต่ทาคาโนะเองตอนนั้นคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป และ ทำไมต้องพูดแบบนั้น 10 ปีได้ผ่านไป กับ ความเข้าใจผิดทั้งสองฝ่าย หลังจากมีสัมพันธ์กันลึกซึ้งเด็กน้อยนิสัยน่ารักบ๊องแบ๊วใส ๆ วัยรุ่นชอบคนนั้น ถามเขาว่าเราเดทกันใช่ไหม รุ่นพี่รักผมบ้างไหม เขาถึงกับหัวเราะ และ หลังจากวันนั้น เจ้านั่นก็หายไป โดยที่เขาไม่รู้แม้แต่ "ชื่อจริง" ชีวิตส่วนตัวพังทลายเมื่อการจากไปของรึทสึ และ ปัญหาทางบ้านรุมเร้าเข้ามาพร้อมกัน
จนวันนี้เขาและคน ๆ นั้นกลับมาในฐานะใหม่ เจ้านาย และ ลูกน้อง
ช่องว่าง 10 ปี ทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปมาก พ่อกับแม่หย่ากันเขาเปลี่ยนนามสกุล เจ้าเด็กคนนั้นจากหนุ่มน้อยขี้อาย กลายเป็นเด็กหนุ่มที่กระหายชัยชนะและความทะเยอทะยาน แต่ก็ยังมีความหมกมุ่นไม่หมั่นใจ แถมขี้โวยวาย และ ช่างโมโหอีกด้วย กาลเวลาลบเลือนรอยสัมผัสแห่งรักครั้งแรกไป ทาคาโนะ และ ริทสึ จึงเหมือนคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย และ ต้องทำความรู้จักกันใหม่
หากเปรียบหนังสือ ... ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งคู่ต่างชอบและชื่นชม
บัดนี้ทาคาโนะและริทสึก็เหมือนหนังสือสองประเภทที่แตกต่างกันสุดกู่
ด้านหนึ่งคือมังงะ ด้านหนึ่งคือวรรณกรรม
ก็ยังมองไม่เห็นว่ามันจะลงเอยกันได้อย่างไร
คนเราจะตกหลุมรักคน ๆ เดิมเป็นครั้งที่สองได้หรือไม่
ในเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ทาคาโนะไม่ใช่หนุ่มเย็นชาหน้าเฉยคนเดิม บัดนี้เขาคือบรรณาธิการบริหาร คล่องงาน ปากร้าย เหลี่ยมคมแพรวพราว โอโนะเดระไม่ใช่หนุ่มน้อยนิสัยอ่อนหวานน่ารัก แสนจะขี้อาย และ ใสซื่ออีกแล้ว เขาโตขึ้น กล้าหาญขึ้น แม้จะขาดความมั่นใจอยู่บ้าง หากก็แฝงไว้ด้วยดวงตาดื้อดึง และ พร้อมลุยทุกอย่างทุกประการเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
แถมเจ้าตัวยังตั้งมั่นอีกด้วยว่าจะไม่มีวันรักทาคาโนะซังเป็นครั้งที่สองอีก
แต่แล้ว ... ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อทั้งทาคาโนะและโอโนะเดระ ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว "ความประทับใจ" ใน "รักแรก" นั้นมันยังไม่ได้หายไปไหน และมันยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อได้ทำความรู้จักกับตัวตนใหม่ในปัจจุบัน สำหรับโอโนะเดระแล้ว หากจะเทียบกันทาคาโนะซังในวันที่พบกันครั้งแรกเปรียบเหมือนงานวรรณกรรม สูงส่ง สูงค่า และ ควรแก่การเทิดทูน ทำให้เขาต้องแหงนหน้ามองด้วยความเขินอาย สำหรับวันนี้เวลานี้ทาคาโนซังก็เหมือนมังงะ ... มันอาจไม่ใช่งานศิลป์ที่เคยคิดฝันมาตั้งแต่แรก หากสุดท้ายเจ้าตัวก็เข้าใจจนได้ว่ามันเป็นอีก "ศาสตร์" หนึ่งที่ประกอบด้วยสีสันลวดลายและมีคุณค่าไม่ได้แพ้งานวรรณกรรมที่เป็นรักแรก ส่วนทาคาโนะเอง ภาพของโอโนะเดระที่เขาเห็นไม่เคยชัดเจน เหมือนหนังสือซักเล่มที่ทั้งอ่านยากทั้งอ่านง่ายในคราวเดียว กลายเป็นหนังสืออีกเล่มที่ตรงจัดชัดเจน มีเส้นสายจัดจ้านของสีสันและอารมณ์ มีความง่ายมีความยากเหมือนกันกับที่แล้วมาเพียงแต่คนละแบบ
หากไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มไหนประเภทอะไร มันก็คือ "หนังสือ" เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นวันนั้นหรือวันนี้ จะเป็นรักครั้งแรก หรือ เป็นรักครั้งท้ายสุด ณ จุด ๆ นี้ ทุกอย่างที่ว่ามาก็อยู่ในคน ๆ เดียวกัน
ในความรักบางครั้งก็ต้องยอมรับละนะ
ว่าที่มากกว่ารักครั้งแรก ยิ่งกว่ารักครั้งสุดท้าย
ยิ่งกว่าความรักครั้งไหน ๆ ก็คือไม่ว่ารักหนใด
ก็คือ "รัก" คน ๆ เดียวกัน
ป.ล.
1. เมะนี้ Y นะ (แต่มังงะน่าจะฮาร์คอร์กว่า)
2. ชอบมากเรื่อง slice of life ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ inside เรื่องมังงะ ทัศนคติด้านการทำงานได้ใจมาก เรียกว่าทำเป็นพล็อตละคร(ที่ไม่ต้อง Y) ก็ได้ สบาย ๆ จะเรียกว่าเป็นพล็อตละครอาชีพก็ยังได้เลยนะ
[Anime Review] Sekai ichi Hatsukoi : มากกว่ารักแรก ยิ่งกว่ารักสุดท้าย ยิ่งกว่าความเป็น Y คือ slice of life (สปอยด์)
ว่ากันว่ารักแรก(มักจะ)จบลงด้วยความไม่สมหวัง
และเปอร์เซ็นแทบจะเป็นศูนย์ที่รักครั้งแรกมันพัง
แล้วจะให้กลับมาคืนดีได้
แต่สำหรับบางคน รักแรกมันเป็นมากกว่ารักแรก
และเป็นยิ่งกว่ารักครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุนี้
"รักครั้งแรก" ของบางคนจึงกลายเป็น "รักครั้งเดียว" ของชีวิต
โอโนเดระ ริทสึ อายุ 25 ทายาทของสำนักพิมพ์ชื่อดัง ด้วยความที่ชอบอ่านมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อเรียนจบเป็นบัณฑิตหมาด ๆ ก็ได้โอกาสเข้าทำงานในบริษัทซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว แต่กระนั้นเสียงติฉินนินทาลอยตามลมมา ว่าที่เจริญก้าวหน้าทุกวันนี้ ก็ภายใต้ปีกของบิดา เซนเซย์ที่มีชื่อเสียงภายใต้การดูแลของเจ้าตัวที่อยู่ในตำแหน่งบรรณาธิการเล่ม (แผนกวรรณกรรม) ผู้มีชื่อเหล่านั้นจะตกมาถึงมือเด็กมือใหม่เช่นนั้นได้อย่างไร หากไม่ใช่การใช้ "เส้น" เพียงเท่านี้โอโนะเดระ ผู้หัวดื้อ อ่อนไหว และ ตรงไปตรงมา บวกกับวัยผู้ใหญ่ช่วงต้นอายุราว 25 ที่ต้องการเป็นที่ยอมรับ ก็ไม่รอช้าที่จะก้าวออกมา พยายามสร้างที่ทางของตัวเองในแวดวงเดิม แวดวงน้ำหมึก
กับประสบการณ์บรรณาธิการเล่ม 3 ปี กับสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ และ ภูมิหลังฐานะที่ไม่ใช่ no name โอโนะเดระได้ที่ทำงานใหม่ในสำนักพิมพ์อย่างที่คาดหมายไว้ แต่เรื่องราวกับพลิกล็อกขนานใหญ่ เมื่อตำแหน่งงานที่มารุคาวะ ไม่ใช่แผนกวรรณกรรมอย่างที่ตั้งใจ แต่กลับไปจบลงที่แผนกโชโจมังงะ (การ์ตูนตาหวาน) หนังสือคืองานศิลปะ และ งานศิลปะในสายตาโอโนเดระ คือ กระดาษอาร์ต หนังสือปกแข็ง จัดพิมพ์เป็นเล่มปราณีต ควรค่าแก่การสะสม เขาไม่ได้ดูถูกมังงะหรอกนะ แต่ไอ้เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ สกรีนโทน แสงฟรุ้งฟริ้งวิ้งว้าว อะไรพวกนั้น เขาไม่ถนัดเอาซะเลย
สาว OL ที่นำทางเขาไปกองบรรณาธิการนิตยสารรายเดือนอย่างเอเมอรัลถึงกับหัวเราะ หากเป็นเมื่อปีก่อนนั้นล่ะใช่ เอเมอรัลเคยเป็นรอยโหว่ของสำนักพิมพ์มารุคาวะ แต่เมื่อบรรณาธิการบริหารคนปัจจุบันเขามารับตำแหน่ง เขากอบกู้เอเมอรัลให้เป็นหัวนิตยสารที่ทำกำไรภายใน 1 ปี จากตัวห่วยกลายเป็นตัวท็อปไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นบรรณาธิการแถวหน้าของแผนกนี้ยังเป็น "ผู้ชาย" ล้วน ๆ แล้วแบบนี้จะว่าเป็นทางตันของอาชีพได้อย่างไร
คนจะซวยอะไรก็ฉุดไม่อยู่ ... วันทำงานวันแรกดันอยู่ในช่วง war zone ของแผนกพอดี โอโนะเดระจึงตกอยู่ในสมรภูมิซอมบี้บรรณาธิการที่โทรมยิ่งกว่าศพเดินได้ เมื่อต้อง manage ต้นฉบับและวิ่งสู้ฟัดกับโรงพิมพ์ แล้วความซวยก็กลายร่างเป็นหายนะเมื่อบรรณาธิการบริหารซึ่งเป็นหัวหน้ากองยังเป็นคนนิสัยเสียไร้ที่ติ มาถึงมองหน้าก็หาว่าไร้ประโยชน์เสียแล้ว
ทาคาโนะ มาซามุเนะ มองเด็กใหม่ด้วยความขัดใจ war zone week แบบนี้ เหนื่อยแทบจะไม่ได้นอนอยู่แล้ว จะส่งคนใหม่มาทั้งที ให้มีประสบการณ์หน่อยก็ไม่ได้ ยิ่งได้รู้ว่าทำอะไรมาในหัวยิ่งคิดว่า "ไร้ประโยชน์" ว่าแต่หมอนี่หน้าตามันคุ้น ๆ ไหม ? ทำไมเหมือนติด ๆ อยู่ในหัว ไอ้หน้าตาบ๊องแบ๊วกับความรู้สึกตรงไปตรงมาไม่เคยระงับได้ นี่มันเคยเจอที่ไหน แต่ยังไงก็เหอะ เด็กคนนี้ ... ไม่น่าจะอยู่ได้นาน นอกจากความเป็นมือใหม่แล้ว อีกเรื่องที่เห็นได้ชัด คือ ใจ ... ไม่รู้จะอยู่กับงานที่อยู่ตรงหน้าได้นานเท่าไหร่ อยากอยู่วรรณกรรมแต่ดันถูกส่งมาโชโจมังงะ มันจะได้สักกี่น้ำ
งานเขียนต่างประเภทแต่วิธีการจัดการก็ต้องอาศัยความชำนาญไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย
แต่เมื่อได้เจ้านี่มาเป็นลูกน้อง ถึงไม่เป็นก็ต้องหัดกันละนะ พาแผนกติดปีกมาได้ปีหนึ่งแล้ว performance จะตกต่ำลงได้ยังไง แถมดูท่าแล้วอีกฝ่ายก็น่าจะจริงจังตั้งใจอยู่ไม่น้อย ถึงจะเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจ แต่ถ้ามันเป็น "งาน" ก็ดูกระตือรือร้นดี ถ้าลองอ่านมังงะ 100 เล่มข้ามคืนได้ และ ยังนั่งท่องรายชื่อหนังสือในสต็อกอีก เอ๊ะ ... อะไรนะ เคยอ่านหนังสือทั้งห้องสมุดเป็นงานอดิเรกตอนมัธยมปลายเรอะ
แม้แต่ทาคาโนะเองตอนนั้นคงไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป และ ทำไมต้องพูดแบบนั้น 10 ปีได้ผ่านไป กับ ความเข้าใจผิดทั้งสองฝ่าย หลังจากมีสัมพันธ์กันลึกซึ้งเด็กน้อยนิสัยน่ารักบ๊องแบ๊วใส ๆ วัยรุ่นชอบคนนั้น ถามเขาว่าเราเดทกันใช่ไหม รุ่นพี่รักผมบ้างไหม เขาถึงกับหัวเราะ และ หลังจากวันนั้น เจ้านั่นก็หายไป โดยที่เขาไม่รู้แม้แต่ "ชื่อจริง" ชีวิตส่วนตัวพังทลายเมื่อการจากไปของรึทสึ และ ปัญหาทางบ้านรุมเร้าเข้ามาพร้อมกัน
ช่องว่าง 10 ปี ทำให้อะไร ๆ เปลี่ยนไปมาก พ่อกับแม่หย่ากันเขาเปลี่ยนนามสกุล เจ้าเด็กคนนั้นจากหนุ่มน้อยขี้อาย กลายเป็นเด็กหนุ่มที่กระหายชัยชนะและความทะเยอทะยาน แต่ก็ยังมีความหมกมุ่นไม่หมั่นใจ แถมขี้โวยวาย และ ช่างโมโหอีกด้วย กาลเวลาลบเลือนรอยสัมผัสแห่งรักครั้งแรกไป ทาคาโนะ และ ริทสึ จึงเหมือนคนแปลกหน้าที่คุ้นเคย และ ต้องทำความรู้จักกันใหม่
บัดนี้ทาคาโนะและริทสึก็เหมือนหนังสือสองประเภทที่แตกต่างกันสุดกู่
ด้านหนึ่งคือมังงะ ด้านหนึ่งคือวรรณกรรม
ก็ยังมองไม่เห็นว่ามันจะลงเอยกันได้อย่างไร
คนเราจะตกหลุมรักคน ๆ เดิมเป็นครั้งที่สองได้หรือไม่
ในเมื่อเงื่อนไขต่าง ๆ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ทาคาโนะไม่ใช่หนุ่มเย็นชาหน้าเฉยคนเดิม บัดนี้เขาคือบรรณาธิการบริหาร คล่องงาน ปากร้าย เหลี่ยมคมแพรวพราว โอโนะเดระไม่ใช่หนุ่มน้อยนิสัยอ่อนหวานน่ารัก แสนจะขี้อาย และ ใสซื่ออีกแล้ว เขาโตขึ้น กล้าหาญขึ้น แม้จะขาดความมั่นใจอยู่บ้าง หากก็แฝงไว้ด้วยดวงตาดื้อดึง และ พร้อมลุยทุกอย่างทุกประการเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
แต่แล้ว ... ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อทั้งทาคาโนะและโอโนะเดระ ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว "ความประทับใจ" ใน "รักแรก" นั้นมันยังไม่ได้หายไปไหน และมันยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเมื่อได้ทำความรู้จักกับตัวตนใหม่ในปัจจุบัน สำหรับโอโนะเดระแล้ว หากจะเทียบกันทาคาโนะซังในวันที่พบกันครั้งแรกเปรียบเหมือนงานวรรณกรรม สูงส่ง สูงค่า และ ควรแก่การเทิดทูน ทำให้เขาต้องแหงนหน้ามองด้วยความเขินอาย สำหรับวันนี้เวลานี้ทาคาโนซังก็เหมือนมังงะ ... มันอาจไม่ใช่งานศิลป์ที่เคยคิดฝันมาตั้งแต่แรก หากสุดท้ายเจ้าตัวก็เข้าใจจนได้ว่ามันเป็นอีก "ศาสตร์" หนึ่งที่ประกอบด้วยสีสันลวดลายและมีคุณค่าไม่ได้แพ้งานวรรณกรรมที่เป็นรักแรก ส่วนทาคาโนะเอง ภาพของโอโนะเดระที่เขาเห็นไม่เคยชัดเจน เหมือนหนังสือซักเล่มที่ทั้งอ่านยากทั้งอ่านง่ายในคราวเดียว กลายเป็นหนังสืออีกเล่มที่ตรงจัดชัดเจน มีเส้นสายจัดจ้านของสีสันและอารมณ์ มีความง่ายมีความยากเหมือนกันกับที่แล้วมาเพียงแต่คนละแบบ
หากไม่ว่าจะเป็นหนังสือเล่มไหนประเภทอะไร มันก็คือ "หนังสือ" เหมือน ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นวันนั้นหรือวันนี้ จะเป็นรักครั้งแรก หรือ เป็นรักครั้งท้ายสุด ณ จุด ๆ นี้ ทุกอย่างที่ว่ามาก็อยู่ในคน ๆ เดียวกัน
ว่าที่มากกว่ารักครั้งแรก ยิ่งกว่ารักครั้งสุดท้าย
ยิ่งกว่าความรักครั้งไหน ๆ ก็คือไม่ว่ารักหนใด
ก็คือ "รัก" คน ๆ เดียวกัน
ป.ล.
1. เมะนี้ Y นะ (แต่มังงะน่าจะฮาร์คอร์กว่า)
2. ชอบมากเรื่อง slice of life ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะ inside เรื่องมังงะ ทัศนคติด้านการทำงานได้ใจมาก เรียกว่าทำเป็นพล็อตละคร(ที่ไม่ต้อง Y) ก็ได้ สบาย ๆ จะเรียกว่าเป็นพล็อตละครอาชีพก็ยังได้เลยนะ