มาร พลัง และ ผู้ถูกเลือก
จอร์จ ลูคัส เชื่อมโยงการกลายเป็นมารในภาพยนตร์ STAR WARS ไว้กับเรื่อง “พลัง” “สมดุลแห่งพลัง” และ “ผู้ถูกเลือก”
“พลัง” (force) คืออะไร? แนวคิดพื้นฐานเรื่องนี้เท่าที่ปรากฏใน episode IV-VI ผมได้รวบรวมเอาไว้แล้วในบทความ “อัศวินเจไดกับศาสตร์ตะวันออก”
ในที่นี้เราจะมาว่ากันเรื่อง “พลัง” ที่ลูคัสได้ขยายความออกไปใน episode I
คงจำกันได้ว่า ครูดาบ (เลเซอร์) ไคว-กอน จินน์ ได้แอบเจาะเลือดของหนูน้อยอนาคิน นัยว่าจะตรวจสอบอะไรที่เรียกว่า “มิดิ-คลอเรียน” (midi chlorian) ผลคือ อนาคินมีระดับมิดิคลอเรียนสูงถึง 20,000 ซึ่ง “ยังไม่มีใครที่มีระดับพลังสูงขนาดนี้ แม้แต่ปรมาจารย์โยดา”
ส่วนมิดิ-คลอเรียน คืออะไรนั้น ลูคัสไปอธิบายไว้หลังจากที่สภาเจไดปฎิเสธที่จะรับอนาคินเข้าสำนักด้วยเหตุผลว่า “แก่เกินวัย” อนาคินเดินจ๋อยๆ เข้ามาถามไคว-กอน จินน์ ประมาณคำถามข้างต้น
“มิดิ-คลอเรียน คือ รูปแบบชีวิตในระดับจุลภาคที่อยู่ในเซลล์ของสรรพสิ่ง และเป็นตัวเชื่อมต่อกับพลัง” ครูดาบ (เลเซอร์) ตอบ
“มันอาศัยอยู่ในตัวผมหรือครับ?” เด็กน้อยถามต่อ
“มันอยู่ในเซลล์ของเธอ” ไคว-กอน จินน์ นิ่งไปชั่วครู่ “เราเป็น “สิ่งซึมซับ” พลังด้วย มิดิ-คลอเรียน”
เขาอธิบายกับผู้ที่จะกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ในอนาคตว่า “สิ่งซึมซับ” คือ รูปแบบชีวิตที่ต่างพึ่งพิงอิงแอบอาศัยกันแบบต่างตอบแทน หากไม่มีมิดิ-คลอเรียน ชีวิตก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้
และเราจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพลัง “มิดิ-คลอเรียน” ในตัวเรานั้นจะบอกเราถึงเจตจำนงแห่งพลังโดยที่ “เมื่อเธอเรียนรู้วิธีทำให้ใจสงบ”เธอจะได้ยินเสียงมันคุยกับเธอ”
“ผมไม่เข้าใจ” อนาคินทำสีหน้างงๆ
“เมื่อโตขึ้นและได้ฝึกฝน เธอก็จะเข้าใจเอง”
ลูคัสเองบอกว่า เขาเอาแนวคิดเรื่อง “ความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงอิงแอบต่อกัน” (symbiotic relationship) มาแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม มิดิ-คลอเรียนดัดแปลงมาจากองค์ประกอบทางชีวภาพบางอย่าง ที่จำเป็นต่อการแบ่งเซลล์
“สักวันหนึ่งเราคงจะได้รู้เหตุผลซึ่งเกี่ยวกับกำเนิดชีวิตกับวิธีการที่เซลล์แบ่งตัวเป็นสองเซลล์ ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เข้ามาอยู่ด้วย ถ้าไม่มีพวกมันชีวิตก็คงไม่มีทางอุบัติขึ้น ถ้าปราศจากมันเราก็ตายหมด และจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่เลย เราจำเป็นสำหรับมัน และมันจำเป็นสำหรับเรา”
(อ้างจาก สุกิจ ผูกพันธ์ (๒๕๔๒) ปฐมบทแห่งตำนาน STAWR WARS)
ลูคัสอุปมาไปถึงสังคมโลกว่า เราต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ เราต้องปฎิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอื่นบนดาวดวงนี้ด้วยความเอาใจใส่ มิฉะนั้นดาวดวงนี้ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
ใน episode I ไม่เพียงแนวคิด “พลัง” จะขยายไปโดยใช้ “รูปธรรม” บางอย่างรองรับเท่านั้น “พลัง” ยังถูกขยายไปอย่างเป็น “นามธรรม” ด้วย
ไคว-กอน จินน์ พูดถึงพลังว่าเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจได้ พลังนั้นหยั่งรากอยู่ในสมดุลของสรรพสิ่ง และทุกขณะที่พลังนั้นเคลื่อนตัวก็จะเกิดความเสี่ยงต่อสภาพความสมดุลนั้นๆ อัศวินเจไดมุ่งจะรักษาสมดุลของพลังเอาไว้ให้นิ่ง แต่พลังนั้นดำรงอยู่มากกว่าหนึ่งมิติ และการควบคุมพลังในมิติหลากหลายนั้นอาจต้องใช้เวลาฝึกปรือชั่วชีวิต
สิ่งที่ ไคว-กอน จินน์ อธิบายมานั้น ในทางตะวันออกแล้วสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่เขาอธิบาย คงจะตีความกว้างๆ ได้เท่ากับคำว่า “ปราณ” ซึ่งปราณนี้เองก็อยู่ในตัวคนทุกคน เป็นพลังงานในร่างกายที่ปรับสมดุลให้กับชีวิต
ครูดาบ(เลเซอร์) พูดถึงพลังใน ๒ ลักษณะ คือ “ชีวพลัง” (life force) และ “เอกะพลัง” (unifying force)
เขาพูดถึงจุดอ่อนของตนว่า มีความโน้มเอียงไปทาง “ชีวพลัง” (ความผูกพัน ห่วงใย เอื้ออาทร) มากกว่าที่จะสนใจเรื่อง “เอกะพลัง” (ความเที่ยงธรรม ความถูกต้อง) เขาพบว่าตัวเองมีความผูกพันกับสรรพชีวิตตรงหน้า ณ ปัจจุบัน โดยไม่ค่อยคำนึงถึงอดีตหรืออนาคตของบุคคลเหล่านั้นมากนัก
เปรียบเทียบกับ โอบี-วัน เคนโนบี (และเหล่าสภาเจได ) อาจมองเด็กน้อยอนาคิน สกายวอล์คเกอร์และจาร์ จาร์ บริงค์ แบบเดียวกัน คือเป็นตัวถ่วงที่ไร้ประโยชน์เป็นภาระที่ไร้ความจำเป็น
โอบี-วันนั้นถูกสอนให้มอง “ภาพรวม” บนพื้นฐานของ “เอกะพลัง” เขาจะไม่มี “ญาณสังหรณ์” อย่างที่ ไคว-กอน จินน์มี รวมถึงอาจให้ความเมตตาสงสารต่อสิ่งรอบข้างและสรรพชีวิตไม่มาเท่าผู้เป็นอาจารย์
โอบี-วัน จึงมองไม่เห็นสิ่งที่ ไคว-กอน จีนน์มองเห็น
แต่ไคว-กอน จินน์ ก็ยอมรับว่านี่เป็นแค่การตั้งข้อสังเกต หาใช่ข้อครหา ใครเล่าจะบอกได้ว่าความเข้าใจเรื่องพลังของใครจะดีไปกว่ากัน? และบ่อยครั้งที่ ไคว-กอน จินน์ และโอบี-วัน เห็นไม่ตรงกัน และจุดยืนแบบโอบี-วัน มักจะได้รับการสนับสนุนจากสภาเจได (Terry Brooks(1999) The Phantom Menace, น. 137-138)
ระดับมิดิ-คลอเรียนในตัวอนาคินที่สูงถึง 20,000 มากกว่าใครในจักรวาล ทำให้ไคว-กอน จินน์ ซึ่งรู้สึกว่า “ชะตา” กำหนดให้เขามาพบอนาคินแบบไม่บังเอิญ สิ่งที่เขาค้นพบในตัวของเด็กคนนี้มีบางอย่างที่เขาไม่อาจมองข้าม
ครูดาบ(เลเซอร์) ที่เก่าที่สุดในรอบ 400 ปี เชื่อมั่นแบบปักใจว่า “อนาคิน” คือ ผู้จะมาสร้างสมดุลแห่งพลัง
คำพยากรณ์โบราณของเจได เรียกเขาผู้นั้นว่า “ผู้ถูกเลือก” (The Chosen One)
ปรัชญา ศาสนาและจิตวิญญาณใน Star Wars : มาร พลัง และ ผู้ถูกเลือก
จอร์จ ลูคัส เชื่อมโยงการกลายเป็นมารในภาพยนตร์ STAR WARS ไว้กับเรื่อง “พลัง” “สมดุลแห่งพลัง” และ “ผู้ถูกเลือก”
“พลัง” (force) คืออะไร? แนวคิดพื้นฐานเรื่องนี้เท่าที่ปรากฏใน episode IV-VI ผมได้รวบรวมเอาไว้แล้วในบทความ “อัศวินเจไดกับศาสตร์ตะวันออก”
ในที่นี้เราจะมาว่ากันเรื่อง “พลัง” ที่ลูคัสได้ขยายความออกไปใน episode I
คงจำกันได้ว่า ครูดาบ (เลเซอร์) ไคว-กอน จินน์ ได้แอบเจาะเลือดของหนูน้อยอนาคิน นัยว่าจะตรวจสอบอะไรที่เรียกว่า “มิดิ-คลอเรียน” (midi chlorian) ผลคือ อนาคินมีระดับมิดิคลอเรียนสูงถึง 20,000 ซึ่ง “ยังไม่มีใครที่มีระดับพลังสูงขนาดนี้ แม้แต่ปรมาจารย์โยดา”
ส่วนมิดิ-คลอเรียน คืออะไรนั้น ลูคัสไปอธิบายไว้หลังจากที่สภาเจไดปฎิเสธที่จะรับอนาคินเข้าสำนักด้วยเหตุผลว่า “แก่เกินวัย” อนาคินเดินจ๋อยๆ เข้ามาถามไคว-กอน จินน์ ประมาณคำถามข้างต้น
“มิดิ-คลอเรียน คือ รูปแบบชีวิตในระดับจุลภาคที่อยู่ในเซลล์ของสรรพสิ่ง และเป็นตัวเชื่อมต่อกับพลัง” ครูดาบ (เลเซอร์) ตอบ
“มันอาศัยอยู่ในตัวผมหรือครับ?” เด็กน้อยถามต่อ
“มันอยู่ในเซลล์ของเธอ” ไคว-กอน จินน์ นิ่งไปชั่วครู่ “เราเป็น “สิ่งซึมซับ” พลังด้วย มิดิ-คลอเรียน”
เขาอธิบายกับผู้ที่จะกลายเป็นดาร์ธ เวเดอร์ ในอนาคตว่า “สิ่งซึมซับ” คือ รูปแบบชีวิตที่ต่างพึ่งพิงอิงแอบอาศัยกันแบบต่างตอบแทน หากไม่มีมิดิ-คลอเรียน ชีวิตก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้
และเราจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพลัง “มิดิ-คลอเรียน” ในตัวเรานั้นจะบอกเราถึงเจตจำนงแห่งพลังโดยที่ “เมื่อเธอเรียนรู้วิธีทำให้ใจสงบ”เธอจะได้ยินเสียงมันคุยกับเธอ”
“ผมไม่เข้าใจ” อนาคินทำสีหน้างงๆ
“เมื่อโตขึ้นและได้ฝึกฝน เธอก็จะเข้าใจเอง”
ลูคัสเองบอกว่า เขาเอาแนวคิดเรื่อง “ความสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงอิงแอบต่อกัน” (symbiotic relationship) มาแสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม มิดิ-คลอเรียนดัดแปลงมาจากองค์ประกอบทางชีวภาพบางอย่าง ที่จำเป็นต่อการแบ่งเซลล์
“สักวันหนึ่งเราคงจะได้รู้เหตุผลซึ่งเกี่ยวกับกำเนิดชีวิตกับวิธีการที่เซลล์แบ่งตัวเป็นสองเซลล์ ด้วยความช่วยเหลือของเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เข้ามาอยู่ด้วย ถ้าไม่มีพวกมันชีวิตก็คงไม่มีทางอุบัติขึ้น ถ้าปราศจากมันเราก็ตายหมด และจะไม่มีชีวิตเหลืออยู่เลย เราจำเป็นสำหรับมัน และมันจำเป็นสำหรับเรา”
(อ้างจาก สุกิจ ผูกพันธ์ (๒๕๔๒) ปฐมบทแห่งตำนาน STAWR WARS)
ลูคัสอุปมาไปถึงสังคมโลกว่า เราต้องอยู่ร่วมกันให้ได้ เราต้องปฎิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอื่นบนดาวดวงนี้ด้วยความเอาใจใส่ มิฉะนั้นดาวดวงนี้ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
ใน episode I ไม่เพียงแนวคิด “พลัง” จะขยายไปโดยใช้ “รูปธรรม” บางอย่างรองรับเท่านั้น “พลัง” ยังถูกขยายไปอย่างเป็น “นามธรรม” ด้วย
ไคว-กอน จินน์ พูดถึงพลังว่าเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและยากจะเข้าใจได้ พลังนั้นหยั่งรากอยู่ในสมดุลของสรรพสิ่ง และทุกขณะที่พลังนั้นเคลื่อนตัวก็จะเกิดความเสี่ยงต่อสภาพความสมดุลนั้นๆ อัศวินเจไดมุ่งจะรักษาสมดุลของพลังเอาไว้ให้นิ่ง แต่พลังนั้นดำรงอยู่มากกว่าหนึ่งมิติ และการควบคุมพลังในมิติหลากหลายนั้นอาจต้องใช้เวลาฝึกปรือชั่วชีวิต
สิ่งที่ ไคว-กอน จินน์ อธิบายมานั้น ในทางตะวันออกแล้วสิ่งที่ใกล้เคียงกับที่เขาอธิบาย คงจะตีความกว้างๆ ได้เท่ากับคำว่า “ปราณ” ซึ่งปราณนี้เองก็อยู่ในตัวคนทุกคน เป็นพลังงานในร่างกายที่ปรับสมดุลให้กับชีวิต
ครูดาบ(เลเซอร์) พูดถึงพลังใน ๒ ลักษณะ คือ “ชีวพลัง” (life force) และ “เอกะพลัง” (unifying force)
เขาพูดถึงจุดอ่อนของตนว่า มีความโน้มเอียงไปทาง “ชีวพลัง” (ความผูกพัน ห่วงใย เอื้ออาทร) มากกว่าที่จะสนใจเรื่อง “เอกะพลัง” (ความเที่ยงธรรม ความถูกต้อง) เขาพบว่าตัวเองมีความผูกพันกับสรรพชีวิตตรงหน้า ณ ปัจจุบัน โดยไม่ค่อยคำนึงถึงอดีตหรืออนาคตของบุคคลเหล่านั้นมากนัก
เปรียบเทียบกับ โอบี-วัน เคนโนบี (และเหล่าสภาเจได ) อาจมองเด็กน้อยอนาคิน สกายวอล์คเกอร์และจาร์ จาร์ บริงค์ แบบเดียวกัน คือเป็นตัวถ่วงที่ไร้ประโยชน์เป็นภาระที่ไร้ความจำเป็น
โอบี-วันนั้นถูกสอนให้มอง “ภาพรวม” บนพื้นฐานของ “เอกะพลัง” เขาจะไม่มี “ญาณสังหรณ์” อย่างที่ ไคว-กอน จินน์มี รวมถึงอาจให้ความเมตตาสงสารต่อสิ่งรอบข้างและสรรพชีวิตไม่มาเท่าผู้เป็นอาจารย์
โอบี-วัน จึงมองไม่เห็นสิ่งที่ ไคว-กอน จีนน์มองเห็น
แต่ไคว-กอน จินน์ ก็ยอมรับว่านี่เป็นแค่การตั้งข้อสังเกต หาใช่ข้อครหา ใครเล่าจะบอกได้ว่าความเข้าใจเรื่องพลังของใครจะดีไปกว่ากัน? และบ่อยครั้งที่ ไคว-กอน จินน์ และโอบี-วัน เห็นไม่ตรงกัน และจุดยืนแบบโอบี-วัน มักจะได้รับการสนับสนุนจากสภาเจได (Terry Brooks(1999) The Phantom Menace, น. 137-138)
ระดับมิดิ-คลอเรียนในตัวอนาคินที่สูงถึง 20,000 มากกว่าใครในจักรวาล ทำให้ไคว-กอน จินน์ ซึ่งรู้สึกว่า “ชะตา” กำหนดให้เขามาพบอนาคินแบบไม่บังเอิญ สิ่งที่เขาค้นพบในตัวของเด็กคนนี้มีบางอย่างที่เขาไม่อาจมองข้าม
ครูดาบ(เลเซอร์) ที่เก่าที่สุดในรอบ 400 ปี เชื่อมั่นแบบปักใจว่า “อนาคิน” คือ ผู้จะมาสร้างสมดุลแห่งพลัง
คำพยากรณ์โบราณของเจได เรียกเขาผู้นั้นว่า “ผู้ถูกเลือก” (The Chosen One)