ใน episod 1 หากพิจารณาอย่างละเอียด ตัวละครเด่นที่สุดอย่าง "ดาร์ธ มอล" จะมีบทสนทนาน้อยจนแทบจะไม่มีเลย ส่วนมากจะหนักไปทางรับคำสั่งและเข้าต่อสู้กับอัศวินเจได ถ้ามองกันอย่างผิวเผินด้วยรูปลักษณ์หน้าตา และการเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับอัศวินเจได ก็คงจะจัดได้ว่า "ดาร์ธ มอล" เป็นตัวร้ายของเรื่อง
แต่หากมองอย่างลึกซึ่งแล้ว ข้อมูลของ ดาร์ธ มอล มีไม่เพียงพอที่จะประทับตราคำว่าตัวโกงลงไปเพียงอย่างเดียว เพราะอยู่ดีๆ ก็คงไม่มีใครลุกขึ้นมาห่ำหั่นจองล้างจองพลาญกับผู้อื่นโดยเอาชีวิตเข้าแลกเป็นแน่ แล้วถ้าอย่างนั้น "ดาร์ธ มอล" เป็นใคร และมีที่มาอย่างไร\
คำตอบก็คือ "ดาร์ธ มอล" เป็นพวก "ซิธ" ครับ
จากประวัติศาสตร์ของ STAR WARS ที่อ้างอิงมาจาก The Complete Star Wars Encyclopedia ที่มีผู้เรียบเรียงไว้แล้ว พวก "ซิธ" นั้นแบ่งได้เป็น 2 พวก พวกแรกคือ “เผ่าพันธุ์ซิธ” ซึ่งรุ่งเรืองและล่มสลาย ก่อน episode 4 ถึง 3,997 ปี
เผ่าพันธุ์ซิธเป็นเผ่าพันธุ์โบราณมีความสามารถด้านพลังจิตและเวทมนต์คาถา มีความรู้ทางจิตวิญญาณสูงมาก แต่ก็ได้เสื่อมสลายไปแล้ว
อีกพวกหนึ่ง คือ "ซิธ" ที่เป็น “อดีตอัศวินเจได” แต่หลงไปในวิธีพลังด้านมืด และทิ้งพลังด้านสว่างรวมทั้งตั้งนิกายของตนขึ้นมาใหม่ ดาร์ธ ซีเดียส – ดาร์ธ มอล – ดาร์ธ เวเดอร์ เหล่านี้ก็ถือเป็นพวก "ซิธกลุ่มใหม่" ทั้งนั้น
ซิธกลุ่มใหม่ จึงไม่เกี่ยวข้องอะไร “เผ่าพันธุ์ซิธ” ทั้งสิ้น
“เทอร์รี่ บรู๊คส์” ผู้เขียน The Phantom Menace ฉบับนิยายได้อธิบายความเป็นมาของ "ฝ่ายซิธ" ไว้ดังนี้
"ซิธกลุ่มใหม่" อุบัติขึ้นมาเมื่อสองพันกว่าปีก่อน เป็นอัศวินเจไดผู้สยบยอมต่อพลังด้านมืด และเชื่อมั่นในความคิดที่ว่า "การปฏิเสธอำนาจคือความสูญเปล่า"
ผู้สถาปนาก่อตั้ง "ซิธกลุ่มใหม่" ขึ้นนั้นคือ อัศวินเจไดนอกคอกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในระเบียบวิถีที่เป็นมาแต่เดิม เขาคือกบฏผู้รู้อยู่เต็มหัวอกแล้วว่า "อำนาจที่แท้จริงของพลังมิได้อยู่ในด้านสว่าง" หากแต่อยู่ใน "ด้านมืด" เมื่อสภาเจไดไม่ยอมรับหลักการนี้ เขาจึงได้แยกตัวออกมาจากองค์กร พร้อมความรู้และทักษะและความลับที่จะจัดการกับใครก็ตามที่ขวางทางเขา
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คงจะประมาณได้ว่า พลังที่มาจากความเกลียดชัง (ซึ่งเป็นด้านมืด) มีพลังที่รุนแรงกว่าพลังที่มาจากความรัก (ซึ่งเป็นด้านสว่าง) หลายเท่านัก และความเกลียดชังสามารถสร้างได้ง่ายกว่าความรัก ความเมตตา จึงไม่แปลกอะไรที่ใครสักคน หรือหลายๆ คนจะหลงไปในทางนี้ เพราะผลสัมฤทธิ์ของมัน "เร็ว" และ "แรง" กว่ามากมาย
ในเบื้องต้นก็มีอัศวินเจไดนอกคอกเพียงผู้เดียว แต่นานเข้ามีอัศวินเจไดหลายต่อหลายคน เริ่มเห็นพ้องกับแนวคิดของเขาและตามเขาไปศึกษา "ด้านมืดของพลัง" ทำให้ในที่สุด "ซิธ" ก็มีสมาชิกร่วม 50 คน
พวกเขาละทิ้งแนวคิดเรื่องการร่วมมือและความสมานฉันท์ของสภาเจได... หันมายึดถือว่า "การได้มาซึ่งอำนาจจำต้องมาจากความแข็งกร้าว และมีชัยเหนือผู้อื่นแทนนั้น... "
พวกซิธกลุ่มใหม่เริ่มตั้งลัทธิของตนขึ้น และเป็นปรปักษ์กับสภาเจได องค์กรของพวกซิธกลุ่มใหม่ของเขามิได้มีไว้เพื่อ “รับใช้” แต่มีไว้เพียง “ปกครอง” ผู้คน
ซิธกลุ่มใหม่ประกาศสงครามกับเจได และห่ำหั่นต่อสู้กันด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ และได้สร้างความพินาศอย่างมากมายมหาศาล เจไดนอกคอกที่สถาปนาซิธกลุ่มใหม่ขึ้นมาคือผู้นำของฝ่ายซิธ แต่ความทะยานอยากของเขา ทำให้แตกความสามัคคีและขาดการรวมกลุ่มไปในที่สุด
ลูกศิษย์เริ่มทรยศอาจารย์และเริ่มไม่ไว้ใจกันเอง ซิธกลุ่มใหม่ จึงแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายเป็นเหล่าขึ้นมา และต้องเผชิญศึกสองด้าน รบรากันเองศึกหนึ่ง พร้อมกับทำศึกกับเจไดอีกศึกหนึ่งไปในคราวเดียวกัน
ในที่สุด ซิธก็ทำสงครามทำลายล้างพวกเดียวกันเอง เริ่มจากหัวหน้าแล้วหันมาฆ่าฟันกันในหมู่ศิษย์ ซิธที่รอดพ้นจากการนองเลือดในครั้งนั้นถูกจับตามองอยู่แล้วโดยพวกอัศวินเจได ในเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์เดียว ซิธก็ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น
เว้นเพียงหนึ่งคน..
ซิธที่เหลือรอดอยู่ได้เพียงคนเดียว พัฒนาการเพื่อความอยู่รอดโดบใช้ความอดทนอดกลั้นให้ยึดเป็นจรรยาบรรณของซิธ พร้อมกับยอมรับในการออกอุบายกลโกงต่างๆ นานาที่นอกเหนือจากพลังด้านมืด และยึดการปิดบังซ่อนเร้นอำพรางกาย ปกปิดสถานภาพความเป็นซิธของตน ถือสันโดษเป็นวิถีทางพื้นฐานแห่งซิธ..
ซึ่งวิถีเหล่านี้แต่เดิมแล้วเป็นวิถีของการฝึกฝนเป็นอัศวินเจไดที่ครั้งหนึ่งพวกซิธเคยปฏิเสธ จนนำไปสู่ความพินาศของพวกตนอย่างรวดเร็วในที่สุด.. และเมื่อไรที่ซิธสร้างความมั่นคงได้อย่างพร้อมสรรพ ซิธก็จะเปิดเผยสถานะภาพ..... เฝ้ารอโอกาสที่จะมาถึงเพื่อทวงคืนหนี้แค้น
เมื่อตอนที่ซิธถูกกระหนาบด้วยศึกสองด้าน และประสบความพ่ายแพ้จนต้องเร้นกายปกปิดสถานะภาพ ทุกฝ่ายเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า “ซิธ” นั้นถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ในความเป็นจริง
ซิธได้ค่อยๆ เปิดเผยสถานะภาพตัวตนทีละน้อย... ในเบื้องต้นซิธจะทำงานเพียงลำพัง แต่เมื่อแก่ตัวลง และตระหนักว่าเหลือซิธอยู่เพียงคนเดียว ซิธจึงหาศิษย์เพื่อมาฝึกปรือ เพื่อเป็นปรมาจารย์ซิธเป็นตัวตายตัวแทนสานงานกันต่อๆ ไป
ซึ่งในคราวหนึ่งจะมีซิธเพียงสองคนเท่านั้น มิมีมากกว่านี้ ทั้งนี้เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จะไม่มีการเข่นฆ่ากันเองในฝ่ายซิธ ศัตรูของซิธคืออัศวินเจไดมิใช่พวกเดียวกัน ซิธจะต้องรักษาตัวเองไว้เพื่อทำต่อกรกับเหล่าอัศวินเจได
ซิธที่ที่หลงจากสงครามคราวนั้น ได้สถาปนาองค์กรขึ้นมาใหม่ ซิธผู้นั้นคือ “ดาร์ธ เบน”
และพันปีผ่านไปหลังจากที่เชื่อกันว่าไม่มีซิธเหลืออยู่อีกแล้ว หลังจากที่พวกเขาเฝ้ารอมานานแสนนาน
“ในที่สุด เราจะได้โผล่มาเจอพวกเจไดซะที.. เวลาแห่งการล้างแค้นมาถึงแล้ว” “ดาร์ธ มอล” เป็นคนพูดประโยคนี้ ใน episode I
ในสมองอันยุ่งเหยิงของผมดันจินตนาการไปไกลว่า "Sith ซิธ" อาจจะมาจากคำว่า "Sin" ที่แปลว่าบาป" และ "Dart (ดาร์ธ) อาจจะมาจากคำว่า "Dark" ที่แปลว่ามืด
นิตยสาร Time ได้เขียนถึง Episod 2 “Attack of Clones” ที่เปิดเผยความเป็น "ซิธ" มากขึ้นกว่า ตัวประหลาดสีแดงๆ ที่ชื่อ “ดาร์ธ มอล” ไว้ว่า
“Attack of Clones” ถือว่าเป็นการก้าวไปข้างหน้าต่อจาก “The Phantom Menace” เป็นที่น่าพอใจ ความผิดพลาดใน “The Phantom Menace” แทบทุกอย่างได้รับการแก้ไข หรือไม่อย่างน้อยก็ถูกทำให้ดีขึ้น
Attack of Clones มีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น (Variety) ในหลายๆ ประเด็นที่หนังนำเสนอไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "รักต้องห้าม" "การหักหลัง" "ยุธศาสตร์การเมือง" และ "ยุธศาสตร์การรบ" ที่ซับซ้อนกว่า Episode 1 “The Phantom Menace”
แต่สำหรับผมที่สนใจด้านศาสนาและจิตวิญญาณในหนังซีรีย์นี้มากกว่า การรบหรือสงครามระหว่างดวงดาว การได้เห็น “โยดา” บัญชาการรบบนยานรบหรือ “อัศวินเจได” ร่วมรบอยู่ฝ่ายเดียวกับ “ทหารโคลน” จะว่าไปก็ไม่ใช่ส่วนที่เสริมให้ “คำทำนายโบราณ” หรือ “ผู้ถูกเลือก” หรือ “สมดุลแห่งพลัง” หรือ “ซิธ” หรือการมีระดับพลังงาน “มิดิ คลอเรียน” มากกว่าใครในจักรวาล หรือ “กำเนิดบริสุทธิ์” (virgin birth) ของ อนาคิน สกายวอคเกอร์ ที่ลูกัสอุตส่าห์ “ปูพื้น” เอาไว้ใน Episode 1 โดดเด่นหรือชัดเจนขึ้นมามากพอ ที่จะสร้างความรู้สึกร่วมถึง "วิถีแห่งพลัง (ทั้งด้านสว่างและด้านมืด) อันเป็นหัวใจหลักที่ลูกัสเคยกล่าวว่า Star Wars คือหนังวิทยาศาสตร์ที่แฝงไปด้วย "ศาสนาและจิตวิญญาณ
Episod 2 “Attack of Clones” เปิดเผยความเป็น ซิธ มากขึ้นอย่างการเปิดตัวของ “เคาต์ดูกู” ที่เข้าห่ำหั่นกระบี่แสงกับ“โอบีวัน” และ “อนาคิน” โดยมีคิวบู๊ของ “โยดา” มาโชว์เพลงกระบี่แสงเสริมให้ฉากนี้เห็นถึงความลุ่มลึกของด้านสว่าง ผ่านสายตาของปรมาจารย์เจไดอย่างโยดา ที่ห่วงใยศิษย์มากกว่าชัยชนะที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ในขณะที่ “เคาต์ดูกู” กลับไม่เลือกวิธีการในการเอาชนะ สามารถกระทำได้แม้วิธีสกปรกด้วยการถล่มซากปรักหักพังเข้าใส่ “โอบีวัน” และ “อนาคิน” ที่นอนสลบอยู่เพราะพ่ายจากการดวล
หรือแม้แต่การย่างเข้าไปเฉียดกรายความเป็นซิธ ของ ““อนาคิน สกายวอร์คเกอร์”” ที่เห็นแม่ของตน "ฉมี สกายวอคเกอร์" ถูกฆ่าตายไปจนระงับโทสะไม่อยู่ เลือดขึ้นหน้าสังหารมนุษย์ทรายบนดาวทาตูอีนจนเกลี้ยง ซึ่งความ "โกรธ" "เกลียด" "กลัว" นี่เองที่เป็นบาทฐานของด้านมืดก็ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะให้คนดูรู้สึกถึง "ความเป็นซิธในตัวอนาคิน"
แต่สำหรับผม “ความเป็นซิธ” มันมาเริ่มเอาแถวๆ ตอนที่ “โอบีวัน” เริ่มพบ “ความไม่ชอบมาพากล” ในการสร้างกองทัพโคลน ประมาณว่าอาจจะมี “ใครบางคน” เป็น “ไส้ศึก” อยู่ในหมู่อัศวินเจได...
รวมถึงการปกปิดจุดอ่อนของ “อัศวินเจได” ของปรมาจารย์โยดาที่บอกว่า
“ด้านมืด” เข้าครอบคลุมจนมองไม่เห็นอนาคต แต่ก็ให้แพร่งพรายออกไปไม่ได้ ด้วยเหตุว่าศัตรูจะฉวยโอกาสเข้าจู่โจมทำลาย..
อันแสดงให้เห็นว่าการเป็นอัศวินเจได ก็หาใช่เป็นสิ่งสมบูรณ์..........
อัศวินเจได อาจจะกลายเป็นซิธได้ และซิธเองก็คงจะกลายเป็นอัศวินเจไดได้ทุกเมื่อเหมือนกัน
อาจจะประมาณเดียวกันกับอหิงสกะ หลงผิดคิดถวายยัญด้วยชีวิตคนหนึ่งพันคนเพื่อเข้าถึงเทพมหาพรหม แต่กลายมาเป็นองคุลีมาลที่ได้กลับใจเมื่อได้รับฟังพระเทศนาของพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระอรหันต์
ปรัชญา ศาสนาและจิตวิญญาณใน Star Wars : ประวัติศาสตร์ ซิธ ในจักรวาล
ใน episod 1 หากพิจารณาอย่างละเอียด ตัวละครเด่นที่สุดอย่าง "ดาร์ธ มอล" จะมีบทสนทนาน้อยจนแทบจะไม่มีเลย ส่วนมากจะหนักไปทางรับคำสั่งและเข้าต่อสู้กับอัศวินเจได ถ้ามองกันอย่างผิวเผินด้วยรูปลักษณ์หน้าตา และการเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับอัศวินเจได ก็คงจะจัดได้ว่า "ดาร์ธ มอล" เป็นตัวร้ายของเรื่อง
แต่หากมองอย่างลึกซึ่งแล้ว ข้อมูลของ ดาร์ธ มอล มีไม่เพียงพอที่จะประทับตราคำว่าตัวโกงลงไปเพียงอย่างเดียว เพราะอยู่ดีๆ ก็คงไม่มีใครลุกขึ้นมาห่ำหั่นจองล้างจองพลาญกับผู้อื่นโดยเอาชีวิตเข้าแลกเป็นแน่ แล้วถ้าอย่างนั้น "ดาร์ธ มอล" เป็นใคร และมีที่มาอย่างไร\
คำตอบก็คือ "ดาร์ธ มอล" เป็นพวก "ซิธ" ครับ
จากประวัติศาสตร์ของ STAR WARS ที่อ้างอิงมาจาก The Complete Star Wars Encyclopedia ที่มีผู้เรียบเรียงไว้แล้ว พวก "ซิธ" นั้นแบ่งได้เป็น 2 พวก พวกแรกคือ “เผ่าพันธุ์ซิธ” ซึ่งรุ่งเรืองและล่มสลาย ก่อน episode 4 ถึง 3,997 ปี
เผ่าพันธุ์ซิธเป็นเผ่าพันธุ์โบราณมีความสามารถด้านพลังจิตและเวทมนต์คาถา มีความรู้ทางจิตวิญญาณสูงมาก แต่ก็ได้เสื่อมสลายไปแล้ว
อีกพวกหนึ่ง คือ "ซิธ" ที่เป็น “อดีตอัศวินเจได” แต่หลงไปในวิธีพลังด้านมืด และทิ้งพลังด้านสว่างรวมทั้งตั้งนิกายของตนขึ้นมาใหม่ ดาร์ธ ซีเดียส – ดาร์ธ มอล – ดาร์ธ เวเดอร์ เหล่านี้ก็ถือเป็นพวก "ซิธกลุ่มใหม่" ทั้งนั้น
ซิธกลุ่มใหม่ จึงไม่เกี่ยวข้องอะไร “เผ่าพันธุ์ซิธ” ทั้งสิ้น
“เทอร์รี่ บรู๊คส์” ผู้เขียน The Phantom Menace ฉบับนิยายได้อธิบายความเป็นมาของ "ฝ่ายซิธ" ไว้ดังนี้
"ซิธกลุ่มใหม่" อุบัติขึ้นมาเมื่อสองพันกว่าปีก่อน เป็นอัศวินเจไดผู้สยบยอมต่อพลังด้านมืด และเชื่อมั่นในความคิดที่ว่า "การปฏิเสธอำนาจคือความสูญเปล่า"
ผู้สถาปนาก่อตั้ง "ซิธกลุ่มใหม่" ขึ้นนั้นคือ อัศวินเจไดนอกคอกคนหนึ่งที่ไม่เชื่อในระเบียบวิถีที่เป็นมาแต่เดิม เขาคือกบฏผู้รู้อยู่เต็มหัวอกแล้วว่า "อำนาจที่แท้จริงของพลังมิได้อยู่ในด้านสว่าง" หากแต่อยู่ใน "ด้านมืด" เมื่อสภาเจไดไม่ยอมรับหลักการนี้ เขาจึงได้แยกตัวออกมาจากองค์กร พร้อมความรู้และทักษะและความลับที่จะจัดการกับใครก็ตามที่ขวางทางเขา
ถ้าจะให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คงจะประมาณได้ว่า พลังที่มาจากความเกลียดชัง (ซึ่งเป็นด้านมืด) มีพลังที่รุนแรงกว่าพลังที่มาจากความรัก (ซึ่งเป็นด้านสว่าง) หลายเท่านัก และความเกลียดชังสามารถสร้างได้ง่ายกว่าความรัก ความเมตตา จึงไม่แปลกอะไรที่ใครสักคน หรือหลายๆ คนจะหลงไปในทางนี้ เพราะผลสัมฤทธิ์ของมัน "เร็ว" และ "แรง" กว่ามากมาย
ในเบื้องต้นก็มีอัศวินเจไดนอกคอกเพียงผู้เดียว แต่นานเข้ามีอัศวินเจไดหลายต่อหลายคน เริ่มเห็นพ้องกับแนวคิดของเขาและตามเขาไปศึกษา "ด้านมืดของพลัง" ทำให้ในที่สุด "ซิธ" ก็มีสมาชิกร่วม 50 คน
พวกเขาละทิ้งแนวคิดเรื่องการร่วมมือและความสมานฉันท์ของสภาเจได... หันมายึดถือว่า "การได้มาซึ่งอำนาจจำต้องมาจากความแข็งกร้าว และมีชัยเหนือผู้อื่นแทนนั้น... "
พวกซิธกลุ่มใหม่เริ่มตั้งลัทธิของตนขึ้น และเป็นปรปักษ์กับสภาเจได องค์กรของพวกซิธกลุ่มใหม่ของเขามิได้มีไว้เพื่อ “รับใช้” แต่มีไว้เพียง “ปกครอง” ผู้คน
ซิธกลุ่มใหม่ประกาศสงครามกับเจได และห่ำหั่นต่อสู้กันด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ และได้สร้างความพินาศอย่างมากมายมหาศาล เจไดนอกคอกที่สถาปนาซิธกลุ่มใหม่ขึ้นมาคือผู้นำของฝ่ายซิธ แต่ความทะยานอยากของเขา ทำให้แตกความสามัคคีและขาดการรวมกลุ่มไปในที่สุด
ลูกศิษย์เริ่มทรยศอาจารย์และเริ่มไม่ไว้ใจกันเอง ซิธกลุ่มใหม่ จึงแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายเป็นเหล่าขึ้นมา และต้องเผชิญศึกสองด้าน รบรากันเองศึกหนึ่ง พร้อมกับทำศึกกับเจไดอีกศึกหนึ่งไปในคราวเดียวกัน
ในที่สุด ซิธก็ทำสงครามทำลายล้างพวกเดียวกันเอง เริ่มจากหัวหน้าแล้วหันมาฆ่าฟันกันในหมู่ศิษย์ ซิธที่รอดพ้นจากการนองเลือดในครั้งนั้นถูกจับตามองอยู่แล้วโดยพวกอัศวินเจได ในเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์เดียว ซิธก็ถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น
เว้นเพียงหนึ่งคน..
ซิธที่เหลือรอดอยู่ได้เพียงคนเดียว พัฒนาการเพื่อความอยู่รอดโดบใช้ความอดทนอดกลั้นให้ยึดเป็นจรรยาบรรณของซิธ พร้อมกับยอมรับในการออกอุบายกลโกงต่างๆ นานาที่นอกเหนือจากพลังด้านมืด และยึดการปิดบังซ่อนเร้นอำพรางกาย ปกปิดสถานภาพความเป็นซิธของตน ถือสันโดษเป็นวิถีทางพื้นฐานแห่งซิธ..
ซึ่งวิถีเหล่านี้แต่เดิมแล้วเป็นวิถีของการฝึกฝนเป็นอัศวินเจไดที่ครั้งหนึ่งพวกซิธเคยปฏิเสธ จนนำไปสู่ความพินาศของพวกตนอย่างรวดเร็วในที่สุด.. และเมื่อไรที่ซิธสร้างความมั่นคงได้อย่างพร้อมสรรพ ซิธก็จะเปิดเผยสถานะภาพ..... เฝ้ารอโอกาสที่จะมาถึงเพื่อทวงคืนหนี้แค้น
เมื่อตอนที่ซิธถูกกระหนาบด้วยศึกสองด้าน และประสบความพ่ายแพ้จนต้องเร้นกายปกปิดสถานะภาพ ทุกฝ่ายเชื่อกันอย่างสนิทใจว่า “ซิธ” นั้นถูกทำลายไปหมดแล้ว แต่ในความเป็นจริง
ซิธได้ค่อยๆ เปิดเผยสถานะภาพตัวตนทีละน้อย... ในเบื้องต้นซิธจะทำงานเพียงลำพัง แต่เมื่อแก่ตัวลง และตระหนักว่าเหลือซิธอยู่เพียงคนเดียว ซิธจึงหาศิษย์เพื่อมาฝึกปรือ เพื่อเป็นปรมาจารย์ซิธเป็นตัวตายตัวแทนสานงานกันต่อๆ ไป
ซึ่งในคราวหนึ่งจะมีซิธเพียงสองคนเท่านั้น มิมีมากกว่านี้ ทั้งนี้เพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จะไม่มีการเข่นฆ่ากันเองในฝ่ายซิธ ศัตรูของซิธคืออัศวินเจไดมิใช่พวกเดียวกัน ซิธจะต้องรักษาตัวเองไว้เพื่อทำต่อกรกับเหล่าอัศวินเจได
ซิธที่ที่หลงจากสงครามคราวนั้น ได้สถาปนาองค์กรขึ้นมาใหม่ ซิธผู้นั้นคือ “ดาร์ธ เบน”
และพันปีผ่านไปหลังจากที่เชื่อกันว่าไม่มีซิธเหลืออยู่อีกแล้ว หลังจากที่พวกเขาเฝ้ารอมานานแสนนาน “ในที่สุด เราจะได้โผล่มาเจอพวกเจไดซะที.. เวลาแห่งการล้างแค้นมาถึงแล้ว” “ดาร์ธ มอล” เป็นคนพูดประโยคนี้ ใน episode I
ในสมองอันยุ่งเหยิงของผมดันจินตนาการไปไกลว่า "Sith ซิธ" อาจจะมาจากคำว่า "Sin" ที่แปลว่าบาป" และ "Dart (ดาร์ธ) อาจจะมาจากคำว่า "Dark" ที่แปลว่ามืด
นิตยสาร Time ได้เขียนถึง Episod 2 “Attack of Clones” ที่เปิดเผยความเป็น "ซิธ" มากขึ้นกว่า ตัวประหลาดสีแดงๆ ที่ชื่อ “ดาร์ธ มอล” ไว้ว่า
“Attack of Clones” ถือว่าเป็นการก้าวไปข้างหน้าต่อจาก “The Phantom Menace” เป็นที่น่าพอใจ ความผิดพลาดใน “The Phantom Menace” แทบทุกอย่างได้รับการแก้ไข หรือไม่อย่างน้อยก็ถูกทำให้ดีขึ้น
Attack of Clones มีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น (Variety) ในหลายๆ ประเด็นที่หนังนำเสนอไม่ว่าจะเป็นเรื่อง "รักต้องห้าม" "การหักหลัง" "ยุธศาสตร์การเมือง" และ "ยุธศาสตร์การรบ" ที่ซับซ้อนกว่า Episode 1 “The Phantom Menace”
แต่สำหรับผมที่สนใจด้านศาสนาและจิตวิญญาณในหนังซีรีย์นี้มากกว่า การรบหรือสงครามระหว่างดวงดาว การได้เห็น “โยดา” บัญชาการรบบนยานรบหรือ “อัศวินเจได” ร่วมรบอยู่ฝ่ายเดียวกับ “ทหารโคลน” จะว่าไปก็ไม่ใช่ส่วนที่เสริมให้ “คำทำนายโบราณ” หรือ “ผู้ถูกเลือก” หรือ “สมดุลแห่งพลัง” หรือ “ซิธ” หรือการมีระดับพลังงาน “มิดิ คลอเรียน” มากกว่าใครในจักรวาล หรือ “กำเนิดบริสุทธิ์” (virgin birth) ของ อนาคิน สกายวอคเกอร์ ที่ลูกัสอุตส่าห์ “ปูพื้น” เอาไว้ใน Episode 1 โดดเด่นหรือชัดเจนขึ้นมามากพอ ที่จะสร้างความรู้สึกร่วมถึง "วิถีแห่งพลัง (ทั้งด้านสว่างและด้านมืด) อันเป็นหัวใจหลักที่ลูกัสเคยกล่าวว่า Star Wars คือหนังวิทยาศาสตร์ที่แฝงไปด้วย "ศาสนาและจิตวิญญาณ
Episod 2 “Attack of Clones” เปิดเผยความเป็น ซิธ มากขึ้นอย่างการเปิดตัวของ “เคาต์ดูกู” ที่เข้าห่ำหั่นกระบี่แสงกับ“โอบีวัน” และ “อนาคิน” โดยมีคิวบู๊ของ “โยดา” มาโชว์เพลงกระบี่แสงเสริมให้ฉากนี้เห็นถึงความลุ่มลึกของด้านสว่าง ผ่านสายตาของปรมาจารย์เจไดอย่างโยดา ที่ห่วงใยศิษย์มากกว่าชัยชนะที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ในขณะที่ “เคาต์ดูกู” กลับไม่เลือกวิธีการในการเอาชนะ สามารถกระทำได้แม้วิธีสกปรกด้วยการถล่มซากปรักหักพังเข้าใส่ “โอบีวัน” และ “อนาคิน” ที่นอนสลบอยู่เพราะพ่ายจากการดวล
หรือแม้แต่การย่างเข้าไปเฉียดกรายความเป็นซิธ ของ ““อนาคิน สกายวอร์คเกอร์”” ที่เห็นแม่ของตน "ฉมี สกายวอคเกอร์" ถูกฆ่าตายไปจนระงับโทสะไม่อยู่ เลือดขึ้นหน้าสังหารมนุษย์ทรายบนดาวทาตูอีนจนเกลี้ยง ซึ่งความ "โกรธ" "เกลียด" "กลัว" นี่เองที่เป็นบาทฐานของด้านมืดก็ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะให้คนดูรู้สึกถึง "ความเป็นซิธในตัวอนาคิน"
แต่สำหรับผม “ความเป็นซิธ” มันมาเริ่มเอาแถวๆ ตอนที่ “โอบีวัน” เริ่มพบ “ความไม่ชอบมาพากล” ในการสร้างกองทัพโคลน ประมาณว่าอาจจะมี “ใครบางคน” เป็น “ไส้ศึก” อยู่ในหมู่อัศวินเจได...
รวมถึงการปกปิดจุดอ่อนของ “อัศวินเจได” ของปรมาจารย์โยดาที่บอกว่า “ด้านมืด” เข้าครอบคลุมจนมองไม่เห็นอนาคต แต่ก็ให้แพร่งพรายออกไปไม่ได้ ด้วยเหตุว่าศัตรูจะฉวยโอกาสเข้าจู่โจมทำลาย..
อันแสดงให้เห็นว่าการเป็นอัศวินเจได ก็หาใช่เป็นสิ่งสมบูรณ์..........
อัศวินเจได อาจจะกลายเป็นซิธได้ และซิธเองก็คงจะกลายเป็นอัศวินเจไดได้ทุกเมื่อเหมือนกัน
อาจจะประมาณเดียวกันกับอหิงสกะ หลงผิดคิดถวายยัญด้วยชีวิตคนหนึ่งพันคนเพื่อเข้าถึงเทพมหาพรหม แต่กลายมาเป็นองคุลีมาลที่ได้กลับใจเมื่อได้รับฟังพระเทศนาของพระพุทธองค์จนบรรลุเป็นพระอรหันต์