หมายเหตุ ไม่ได้ยืนยันตัวตนจึงตั้งเป็นสนทนาไม่ได้ครับ
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ชาวพันทิป วันนี้ผมขออนุญาตมาแชร์เรื่องราวความรักที่ผ่านมาแล้วสักระยะหนึ่งของผมนะครับ
**base on true story ทุกฉาก ทุกคำพูดเกิดขึ้นจริง **
ผมเป็นคนที่ไม่มีโชคด้านความรักเอาซะเลย ผมมักจินตานาการถึงความรักแสนหวาน ความรักนิรันดร์เหมือนในการ์ตูนดิสนีย์ ผมมักเฝ้ามองหาเจ้าหญิงของผม...
ครั้งหนึ่งผมหลงรักสาวผมบลอนด์ เจ้าของดวงตาสีฟ้ากลมโต ที่อายุมากกว่าเข้า แต่แล้ว มันก็มีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถรักเธอได้อีกต่อไป
ต่อมาผมปิ้งรักสาวผมบลอนด์ รุ่นน้อง แต่สุดท้ายเราก็เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน
ผมมีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนหนึ่งครับ แรกๆผมไม่ชอบขี้หน้าเค้าหรอก ผู้หญิงอะไรปากคอเราะร้าย... แต่วันนึงเราก็กลายเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างจะสนิท จากนั้นเราก้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะเรียนคนละห้อง เธอฮอตน่าดูครับ มีเพื่อนๆมาถามเยอะแยะ ว่าเธอเป็นคนยังไง โสดมั้ย อิจฉามีเพื่อนสวย ผมก็เฉยๆนะ สวยหรอบ้าป่ะ ตอนนั้นสำหรับผม เธอก็แค่ยัยม้าดีดกะโหลกตลกโปกฮาคนนึง
พอขึ้นมัธยมปลายเธอย้ายไปเรียนที่ต่างจังหวัด เราก็ยังติดต่อกันนะ เธอโทรมาบ้าง อาทิตย์ละ ครั้งสองครั้ง ... สองสามเดือนต่อมา ผมต้องไปต่างประเทศ ผมสอบทุนโครงการแลกเปลี่ยนโครงการหนึ่ง ผมเลือกโซนยุโรปครับ ดังนั้น ผมกับเธอจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่ ช่วงนั้น ไลน์เริ่มฮิต ก็แชทไลน์กันบ้าง เพราะโทรศัพท์ผมยังไม่มีโปรเน็ต ตอนนั้นซื้อไม่เป็น เลยเป็นการโต้ตอบข้อความแบบ + - 6 ชั่วโมง ที่นั่นผมเจอกับสาวผมบลอนด์ ตาฟ้าที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ผมก็เล่าให้เพื่อนผมฟังตลอด เธอก็ฟังเฉยๆไม่ออกความเห็นอะไร ช่วงนึง ผมมีปัญหากับเพื่อนกับโฮส(เค้าไม่ยอมให้ผมติดต่อครอบครัวที่ไทย) ผมก็ระบายให้เธอฟังทางสไกป์ครับ จากนั้น ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนโฮส โฮสใหม่ใจดีมากครับ ให้อิสระผมเหมือนกับลูกๆของเค้า ผมกับเธอเลยได้สไกป์กันบ่อยขึ้น ผมยังคงพูดถึงพี่สาวผมบลอนด์ให้เธอฟัง ผมรู้สึกว่าพักหลังๆดูเธอเริ่มนอยด์ๆ(ผมอาจจะคิดไปเอง) แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ
เธอเรียนเก่งครับ ขยันอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง ผมยังคิดเลย ว่าแก่ไปเธอจะเป็นยัยป้าคร่ำครึ นั่งหน้าเครียดทั้งวัน 5555555 เพราะเธออ่านหนังสือจนดึก ทำให้เราได้สไกป์กัน เราคุยกันไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง เกือบทุกวัน ผมรู้สึกสนิทกับเธอมากขึ้นกว่าเดิม อารมณ์แบบ ระยะทางไม่ใช่ปัญหาในการพัฒนามิตรภาพระหว่างเรา (เลี่ยนเนอะ55555) ก็นั่นแหละครับ เป็นแบบนี้เรื่อยๆจนผมครบกำหนดกลับไทย พอผมถึงสุวรรณภูมิ ผมก็เห็นข้อความจากเธอว่าถึงแล้วใช่มั้ย อะไรประมาณนี้ ... ผมเริ่มรู้สึกว่าเธอเป็นเพื่อนที่น่ารักคนนึงครับ
กลับมาได้ไม่นาน ที่โรงเรียนของผมมีนักเรียนจากยุโรปมาแลกเปลี่ยนคนนึง 1ปี ด้วยความที่ผมค่อนข้างจะเฟรนด์ลี่ และชอบเทคแคร์เด็กแลกเปลี่ยน เพราะผมคิดว่าผมเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวลึกๆที่พวกเขามีน่ะครับ นั่นแหละครับ ผมเผลอชอบเด็กคนนั้นเข้าแต่ก็ตัดใจเพราะเธอฮอตจริงๆ แต่แล้ววันหนึ่ง เธอดั๊นน มาบอกชอบผมซะนี่ แต่สายไปแล้วแม่คุณ เราไม่เหมาะสมกันครับ เธอน่ะ งอแง งี่เง่า เอาแต่ใจ ผมขอบายครับ 555555 ...ก็อีหรอบเดิม ผมก็เล่าเรื่องสาวน้อยคนนี้ให้เพื่อนผมฟัง เธอออกอาการแบบไม่แยแส อ้อหรอ แล้วไงล่ะ ไปๆมาๆก้ขัดผมซะงั้น "ไม่ต้องสนใจหรอก ช่าง
" (ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพนะครับเพื่ออรรถรส 5555) แล้วเธอก้เปลี่ยนเรื่องไปดื้อๆ ... ผู้หญิงนี่มันผู้หญิงจริงๆ ฮาาาาา. ต่อครับ มีหลายเหตุการณ์มาก ที่ผมรู้สึกว่า เพื่อนผมน่ารัก เทคแคร์ ห่วงใยผมเสมอ เวลาผมไปธุระแถวจังหวัดที่เธออยู่ เธอเจ้ากี้เจ้าการวางแผนไปนั่นไปนี่ กินบ้างเที่ยวบ้าง ตามเวลาที่เอื้ออำนวย ผมมีความสุขมากครับ เราคุยกันทุกวันเหมือนปกติ และแล้ว วิดีคอลไลน์ก้ได้ก่อกำเนิดขึ้น เราจึงเปลี่ยนจาก โทร, แชท, voice call มาเป็น วิดีโอคอลบ้าง ทั้งวันเราคุยกัน เธอจะถ่ายรูปส่งมาเรื่อยๆว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร จะไปไหนกับใครก็บอก (ผมก็ส่งรูป รายงานเธอเหมือนกันครับ) ตกดึกเราก็วิดีโอคอลกันจนหลับคาโทรศัพท์ 555555 เล่าให้เพื่อนๆในแก๊งบอยแบนด์ของผมฟังต่างก็กิ๊วก๊าวกันใหญ่ ไอ้ผมก็ อะไรวะ เพื่อนกันโว้ยๆๆ ไม่มีอะไร แต่ในใจผมคิดว่า ผมแอบรักเธอมาได้สักพักแล้วครับ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ตัวจริงๆ
ส่วนใหญ่เคยได้ยินแต่ "ผู้หญิงขี้มโน" ใช่มั้ยครับ ในกรณีผมน่ะ มันกลับกัน ผมเป็น "ผู้ชายขี้มโน" และเธอ "ผู้หญิงที่ชอบให้ความหวัง" การกระทำของเธอ คำพูดต่างๆ มันทำให้ผมอ่อนไหว ผมหลงรักแววตาที่มุ่งมั่น น้ำเสียงที่มั่นคงของเธอ และผมชอบมากๆครับ ผู้หญิงที่สบตาเวลาคุยกัน ไม่ว่าจะผ่านจอหรือไม่ก็ตาม
เราคุยกันทุกเรื่อง อารมณ์ความรู้สึกความเห็นต่อเรื่องต่างๆ เพื่อน ที่บ้าน แม้ไม่มีเรื่องคุยเราก็เอ็นจอยกับความเงียบของเราสองคนครับ ผมมีความสุขมากจริงๆ ... เธอมักจะขอให้ผมโทรปลุก ซึ่งผมก้ทำนะ น้ำเสียงเธอเวลางัวเงียน่ารักจริงๆ 555555 ผมโทรปลุกเธอจนติด จนชิน บางทีเธอบอกไม่ต้องปลุก แต่พอผมตื่นจะเป็นต้องหยิบโทรศัพท์มาโทร แต่ก็เปลี่ยนเป็นส่งสติ๊กเกอร์ไลน์แทน
ผมไม่กล้าบอกเธอตรงๆว่าผมคิดยังไง และผมก็ไม่กล้าถามเธอด้วย เพราะผมกลัวเสียคำว่า 'เพื่อน' ไป ผมอาจดูขี้ขลาด แต่ผมมีเหตุผลมากกว่านั้น มันค่อนข้างละเอียดอ่อนครับ ... ผมคิดอยู่หลายทีว่าจะทำยังไง ผมเป็นคนค่อนข้างเข้าข่าย perfectionist จะทำอะไรก็จะประเมินสถานการณ์ แล้วค่อยวางแผนเป็นสเต็ป กันพลาดครับ สุดท้าย ผมเลือกที่จะรอ รอให้ถึงเวลาที่ผมมองว่าเหมาะสมสำหรับเราสองคน
ตอนนี้เธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยครับ (กว้างไปเนอะ แต่ช่างเถอะ5555) ผมก็เข้าใจนะ ว่ากิจกรรมเยอะ เรียนก็หนัก เธออาจจะไม่มีเวลาให้ผมเหมือนที่ผ่านมา ผมก็พยายามเข้าใจจุดนั้น ช่วงเปิดเทอมแรกๆ ก็ยังปกติครับ แต่แล้ววันนึง เธอหายไปทั้งวัน รัวไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ ผมสังหรณ์ใจแปลกๆแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เราเริ่มคุยกันน้อยลง ผมวิดีโอคอลไปเธอก็ปฎิเสธอ้างว่าไม่สะดวก แรกๆผมพอจะโอเคนะ เออ คนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัวกันบ้าง แต่นี่มันเกินไป บางทีไลน์ไม่ตอบข้ามวัน โทรไปก็ "มีไร" ห้วนๆ ก็ผมคิดถึง ผมพูดไม่ได้ เสียฟอร์มสิ 55555 เธอก็เริ่มเล่าว่ามี ผู้ชายมาจีบ ทำไงดี ผมก็ออกอาการสิครับ ใครจะชอบให้คนอื่นมาจีบเพื่อนเรา 55555 เธอก็ขำๆไป จากนั้นไม่นาน เธอก็มาถามผม ว่า จีบ ผู้ชายทำยังไง คุยกับผู้ชายคนอื่นๆไม่เก่ง แต่ชอบคนนี้จริงๆน่ารักดี ผมถึงกับของขึ้น แต่ก็เก็บอาการนะ แต่ก็ไม่บอก เหมือนเธอจับได้ว่าผมนอยด์ ก็มาพูดประมาณว่า อย่าคิดมากสิ เธอไม่ไปไหนหรอก จากนั้นเธอก็ไม่พูดถึงผู้ชายให้ผมฟังอีกเลย จน หลายเดือนก่อน เราคุยกันน้อยมากๆๆ เธอเบี้ยวนัดผม เธอผิดสัญญากับผมเป็นว่าเล่น เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เป็นคนที่ผมรู้จักหน้า แต่ไม่รู้จักนิสัยไปแล้ว ผมก็สังหรณ์ใจไม่ดี จนเธอบอกว่าช่วงนี้เธอยุ่งๆ เครียดๆ แต่จู่ๆก็มีเสียง "ไม่ใช่ เธอไม่ได้ยุ่งจริงๆหรอก" ดังก้องอยู่ในหัวผม ผมก็ไม่ได้ใส่ใจคิดว่าตัวเองคิดมาก เลยปล่อยตามเลยไป เธอจะทักมา โทรมาเฉพาะเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ เวลาที่เธออยากจะระบาย ผมยินดีช่วย ยินดีรับฟัง เพียงได้ยินเสียงเธอผมก็มีความสุขแล้ว จากนั้น เราไม่ได้คุยกันเลย แม้แต่แชทไลน์ ราวกับขาดการติดต่อ ผมก็คิดถึงเธอนะ มันเคยชินที่ต้องตอบไลน์เธอทั้งวัน คอยรูปที่เธอส่งมา แต่ในใจลึกๆผมกลับห้ามตัวเองคิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วก็จนได้ครับ
คืนนึง เธอทักไลน์มาว่า ว่างมั้ย กินไรกันป่ะ ผมก็ตกลง ตอนนั้นก็มีเสียงก้องในหัวผมอีก "-ชื่อร้านอาหาร-* ผมก็ เห้ยย ไรวะ ไม่เคยคิดอยากไปร้านนี้เลย ไม่เคยอยู่ในความคิด พอผมเคลิ้มๆจะหลับ ผมเห็นภาพเธอนั่งตรงข้ามกับผม บอกกับผมว่าเธอมีแฟนแล้วนะ ตอนนั้นผมรู้สึกโหวงๆ แต่ผมคงเหนื่อยแหละ พอถึงวันที่เรานัดกัน มันมีเหตุต้องไปที่ร้านนั้น ไม่รู้ว่าฟ้าลิขิตหรือความบังเอิญ เอาล่ะสิ ผมเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมเห็นก่อนนอน ผมพยายามควบคุมตัวเอง คอยดูสถานการณ์วินาทีต่อวินาที ผมเครียดมาก แต่ผมพยายามไม่แสดงออก พยายามทำตัวตามปกติ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ... เธอบอกผมด้วยเสียงเบาประหนึ่งเสียงกระซิบ ว่า เธอคุยกับผู้ชายคนนึงได้สักพักใหญ่ๆ แล้วกำลังจะเป็นแฟนกัน
ผมรู้สึกหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ มันอื้ออึงไปหมด แต่ผมให้เธอเห็นไม่ได้เด็ดขาด ผมเลยกลบเกลื่อนโดยการถามว่าเป็นใคร หล่อมั้ย เธอก็บอกว่าน่ารักดี แต่ยังไม่พร้อมให้ผมรู้จัก ซะงั้น ก่อนหน้าที่เธอจะบอกผม เธอพูดจาเชิงผลักไส (คงไม่แรงไปนะครับสำหรับคำนี้ TT)ให้ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เปิดรับบ้าง สังคมใหม่ๆ ผู้คนมากมาย ทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยน เปิดใจสิ ตอนเธอพูดน้ำเสียงเธอสั่นๆ ค่อยๆ ไม่เหมือนยามปกติที่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยพลังความมั่นใจ สายตาเธออีก เธอมองไปที่อื่น เธอไม่สบตาผมเหมือนเคย เธอเหมือนไม่ใช่เธอคนเดิมที่ผมรู้จัก... ผมก็บ่ายเบี่ยง บอกว่ายังไม่ถึงเวลา ผมยังไม่พร้อมรักใคร ผมพูดแบบนั้นไปเพื่อปกป้องตัวเองล่วงหน้า เหมือนผมจะบอกเธอด้วยว่าผมเป็นไบ ผมเชื่อในลางสังหรณ์ของผม แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
แปลกทั้งๆที่ผมคิดว่าวันนึงอาจมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น(เพราะตอนนี้เธอสวยมาก สวยปานเจ้าหญิงที่ผมเฝ้ารอมาตลอด) ผมคงน้ำตาไหลต่อหน้าเธอแน่ๆ แต่เปล่าเลย ไม่มีน้ำตาสักหยดออกมาจากตาผม ผมยังขอให้เธอและผู้ชายคนนั้นรักกันนานๆ ...
ช่วงที่เรามุ้งมิ้งกุ๊งกิ๊งกัน เธอมักพูดว่า เธอไม่อยากมีแฟนเลย เพราะถ้ามีแฟน เธอจะไปไหนมาไหนกับผมได้น้อยลง บางครั้งเธอก็ถามผม ว่าถ้าผมเข้ามหาลัย เธอคงหมดความสำคัญ ผมยังว่าเธอเพ้อเจ้อ ยังไงเธอก็สำคัญที่สุดสำหรับผมเสมอผมตอบไปแบบนั้น...แต่ตอนนี้มันกลับตาลปัตร เธอมีแฟนก่อนผม และ ผม...หมดความสำคัญต่อเธอแล้ว
วันนั้นทำให้ผมเคลียร์ทุกข้อข้องใจ เธอหายไปไหน? เธอเลี่ยงวิดีโอคอล เธอผิดนัด ฯลฯ ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย แค่ประโยคเดียว ผมเข้าใจ...
ผมไม่รู้สึกเสียใจที่เสียเธอไป เพราะเวลาที่ผ่านมาผมถือว่าผม เต็มที่กับมัน ผมเก็บทุกรายละเอียดความสุขระหว่างเรา ผมทำหน้าที่ของผมได้ดีในระดับนึงแม้จะเป็นสถานะที่คลุมเครือ แต่เราเหมือนรู้กัน (ผมคิดว่าเธอคิดแบบเดียวกับผมตอนที่เธอพล่ามเรื่องเปิดใจ) ตอนนั้นเราต่างมีความสุข ผมสังเกตได้จากแววตาใสๆของเธอ ผมคิดถึงดวงตาคู่นั้น
ตอนนี้ผมลบแชทเก่าๆที่เคยคุยกัน ไม่ใช่เพราะอยากลืม หรือทำใจไม่ได้ แต่เป็นเพราะ ต่อจากนี้ไปเราคงไม่ได้คุยกันแล้วอยู่ดี และ ทุกคำพูด ทุกความรู้สึก ทุกสิ่งอย่างผมเก็บไว้ติดตัวผม เก็บไว้ในความทรงจำ ที่ไม่มีอะไรทำให้มันหายไปได้ เมื่อผมท้อ ผมจะนึกถึงคำพูดของเธอที่คอย cheer up เมื่อผมมีความสุข ผมจะนึกถึงใบหน้าสวยหวานของเธอที่เปื้อนยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะอันสดใสของเธอ
หากเธอต้องการผม เธอน่าจะรู้ดีว่าจะติดต่อผมได้อย่างไร ผมยังพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเธอ คอยช่วยเหลือเมื่อเธอต้องการ ...แม้สถานะระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิม แต่ผมยังรักและเป็นห่วงเธอเสมอในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ที่มองตาก็รู้ว่าคิดอะไร เช่นเรามักจะสบตากันแล้วหัวเราะในเรื่องเดียวกันขณะที่คนอื่นไม่เข้าใจว่าสองคนนี่หัวเราะอะไร ...
ผมไม่คิดจะแย่งเธอกลับมาหรอก ผมเชื่อว่า วัยเราเป็นวัยค้นหา ความรักคือประสบการณ์ และรักแท้ชั่วนิรันดร์ในวัยเรียนมันเป็นไปได้ยาก วันหนึ่ง เราอาจเจอเจ้าหญิงเจ้าชายของตัวเองก็ได้ เพราะการ์ตูนดิสนีย์ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องเดียว แต่ถ้าเราเป็นของกันและกัน เราคงได้ร่วมทางกันอีก... ผมปล่อยให็เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน ผมยังไม่พร้อมเปิดใจให้ใครอีกนาน.
ปล.เรื่องนี้ผู้อ่านสามารถสลับเพศของตัวละครได้ ผมคิดว่าความรู้สึกของหญิงหรือชายที่ค่อนข้างจะอ่อนไหวต่อเรื่องความรักไม่ได้ต่างกันมากมายหรอก .... What you see is not what you think and vice versa
เมื่อมันสายเกินไป [มาร่วมเเชร์เรื่องความรักกันครับ]
สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ชาวพันทิป วันนี้ผมขออนุญาตมาแชร์เรื่องราวความรักที่ผ่านมาแล้วสักระยะหนึ่งของผมนะครับ
**base on true story ทุกฉาก ทุกคำพูดเกิดขึ้นจริง **
ผมเป็นคนที่ไม่มีโชคด้านความรักเอาซะเลย ผมมักจินตานาการถึงความรักแสนหวาน ความรักนิรันดร์เหมือนในการ์ตูนดิสนีย์ ผมมักเฝ้ามองหาเจ้าหญิงของผม...
ครั้งหนึ่งผมหลงรักสาวผมบลอนด์ เจ้าของดวงตาสีฟ้ากลมโต ที่อายุมากกว่าเข้า แต่แล้ว มันก็มีอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้ผมไม่สามารถรักเธอได้อีกต่อไป
ต่อมาผมปิ้งรักสาวผมบลอนด์ รุ่นน้อง แต่สุดท้ายเราก็เป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกัน
ผมมีเพื่อนผู้หญิงอยู่คนหนึ่งครับ แรกๆผมไม่ชอบขี้หน้าเค้าหรอก ผู้หญิงอะไรปากคอเราะร้าย... แต่วันนึงเราก็กลายเป็นเพื่อนที่ค่อนข้างจะสนิท จากนั้นเราก้ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะเรียนคนละห้อง เธอฮอตน่าดูครับ มีเพื่อนๆมาถามเยอะแยะ ว่าเธอเป็นคนยังไง โสดมั้ย อิจฉามีเพื่อนสวย ผมก็เฉยๆนะ สวยหรอบ้าป่ะ ตอนนั้นสำหรับผม เธอก็แค่ยัยม้าดีดกะโหลกตลกโปกฮาคนนึง
พอขึ้นมัธยมปลายเธอย้ายไปเรียนที่ต่างจังหวัด เราก็ยังติดต่อกันนะ เธอโทรมาบ้าง อาทิตย์ละ ครั้งสองครั้ง ... สองสามเดือนต่อมา ผมต้องไปต่างประเทศ ผมสอบทุนโครงการแลกเปลี่ยนโครงการหนึ่ง ผมเลือกโซนยุโรปครับ ดังนั้น ผมกับเธอจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกันสักเท่าไหร่ ช่วงนั้น ไลน์เริ่มฮิต ก็แชทไลน์กันบ้าง เพราะโทรศัพท์ผมยังไม่มีโปรเน็ต ตอนนั้นซื้อไม่เป็น เลยเป็นการโต้ตอบข้อความแบบ + - 6 ชั่วโมง ที่นั่นผมเจอกับสาวผมบลอนด์ ตาฟ้าที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ผมก็เล่าให้เพื่อนผมฟังตลอด เธอก็ฟังเฉยๆไม่ออกความเห็นอะไร ช่วงนึง ผมมีปัญหากับเพื่อนกับโฮส(เค้าไม่ยอมให้ผมติดต่อครอบครัวที่ไทย) ผมก็ระบายให้เธอฟังทางสไกป์ครับ จากนั้น ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนโฮส โฮสใหม่ใจดีมากครับ ให้อิสระผมเหมือนกับลูกๆของเค้า ผมกับเธอเลยได้สไกป์กันบ่อยขึ้น ผมยังคงพูดถึงพี่สาวผมบลอนด์ให้เธอฟัง ผมรู้สึกว่าพักหลังๆดูเธอเริ่มนอยด์ๆ(ผมอาจจะคิดไปเอง) แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ
เธอเรียนเก่งครับ ขยันอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง ผมยังคิดเลย ว่าแก่ไปเธอจะเป็นยัยป้าคร่ำครึ นั่งหน้าเครียดทั้งวัน 5555555 เพราะเธออ่านหนังสือจนดึก ทำให้เราได้สไกป์กัน เราคุยกันไม่ต่ำกว่า 3-4 ชั่วโมง เกือบทุกวัน ผมรู้สึกสนิทกับเธอมากขึ้นกว่าเดิม อารมณ์แบบ ระยะทางไม่ใช่ปัญหาในการพัฒนามิตรภาพระหว่างเรา (เลี่ยนเนอะ55555) ก็นั่นแหละครับ เป็นแบบนี้เรื่อยๆจนผมครบกำหนดกลับไทย พอผมถึงสุวรรณภูมิ ผมก็เห็นข้อความจากเธอว่าถึงแล้วใช่มั้ย อะไรประมาณนี้ ... ผมเริ่มรู้สึกว่าเธอเป็นเพื่อนที่น่ารักคนนึงครับ
กลับมาได้ไม่นาน ที่โรงเรียนของผมมีนักเรียนจากยุโรปมาแลกเปลี่ยนคนนึง 1ปี ด้วยความที่ผมค่อนข้างจะเฟรนด์ลี่ และชอบเทคแคร์เด็กแลกเปลี่ยน เพราะผมคิดว่าผมเข้าใจถึงความโดดเดี่ยวลึกๆที่พวกเขามีน่ะครับ นั่นแหละครับ ผมเผลอชอบเด็กคนนั้นเข้าแต่ก็ตัดใจเพราะเธอฮอตจริงๆ แต่แล้ววันหนึ่ง เธอดั๊นน มาบอกชอบผมซะนี่ แต่สายไปแล้วแม่คุณ เราไม่เหมาะสมกันครับ เธอน่ะ งอแง งี่เง่า เอาแต่ใจ ผมขอบายครับ 555555 ...ก็อีหรอบเดิม ผมก็เล่าเรื่องสาวน้อยคนนี้ให้เพื่อนผมฟัง เธอออกอาการแบบไม่แยแส อ้อหรอ แล้วไงล่ะ ไปๆมาๆก้ขัดผมซะงั้น "ไม่ต้องสนใจหรอก ช่าง" (ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพนะครับเพื่ออรรถรส 5555) แล้วเธอก้เปลี่ยนเรื่องไปดื้อๆ ... ผู้หญิงนี่มันผู้หญิงจริงๆ ฮาาาาา. ต่อครับ มีหลายเหตุการณ์มาก ที่ผมรู้สึกว่า เพื่อนผมน่ารัก เทคแคร์ ห่วงใยผมเสมอ เวลาผมไปธุระแถวจังหวัดที่เธออยู่ เธอเจ้ากี้เจ้าการวางแผนไปนั่นไปนี่ กินบ้างเที่ยวบ้าง ตามเวลาที่เอื้ออำนวย ผมมีความสุขมากครับ เราคุยกันทุกวันเหมือนปกติ และแล้ว วิดีคอลไลน์ก้ได้ก่อกำเนิดขึ้น เราจึงเปลี่ยนจาก โทร, แชท, voice call มาเป็น วิดีโอคอลบ้าง ทั้งวันเราคุยกัน เธอจะถ่ายรูปส่งมาเรื่อยๆว่าอยู่ที่ไหนทำอะไร จะไปไหนกับใครก็บอก (ผมก็ส่งรูป รายงานเธอเหมือนกันครับ) ตกดึกเราก็วิดีโอคอลกันจนหลับคาโทรศัพท์ 555555 เล่าให้เพื่อนๆในแก๊งบอยแบนด์ของผมฟังต่างก็กิ๊วก๊าวกันใหญ่ ไอ้ผมก็ อะไรวะ เพื่อนกันโว้ยๆๆ ไม่มีอะไร แต่ในใจผมคิดว่า ผมแอบรักเธอมาได้สักพักแล้วครับ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ผมไม่รู้ตัวจริงๆ
ส่วนใหญ่เคยได้ยินแต่ "ผู้หญิงขี้มโน" ใช่มั้ยครับ ในกรณีผมน่ะ มันกลับกัน ผมเป็น "ผู้ชายขี้มโน" และเธอ "ผู้หญิงที่ชอบให้ความหวัง" การกระทำของเธอ คำพูดต่างๆ มันทำให้ผมอ่อนไหว ผมหลงรักแววตาที่มุ่งมั่น น้ำเสียงที่มั่นคงของเธอ และผมชอบมากๆครับ ผู้หญิงที่สบตาเวลาคุยกัน ไม่ว่าจะผ่านจอหรือไม่ก็ตาม
เราคุยกันทุกเรื่อง อารมณ์ความรู้สึกความเห็นต่อเรื่องต่างๆ เพื่อน ที่บ้าน แม้ไม่มีเรื่องคุยเราก็เอ็นจอยกับความเงียบของเราสองคนครับ ผมมีความสุขมากจริงๆ ... เธอมักจะขอให้ผมโทรปลุก ซึ่งผมก้ทำนะ น้ำเสียงเธอเวลางัวเงียน่ารักจริงๆ 555555 ผมโทรปลุกเธอจนติด จนชิน บางทีเธอบอกไม่ต้องปลุก แต่พอผมตื่นจะเป็นต้องหยิบโทรศัพท์มาโทร แต่ก็เปลี่ยนเป็นส่งสติ๊กเกอร์ไลน์แทน
ผมไม่กล้าบอกเธอตรงๆว่าผมคิดยังไง และผมก็ไม่กล้าถามเธอด้วย เพราะผมกลัวเสียคำว่า 'เพื่อน' ไป ผมอาจดูขี้ขลาด แต่ผมมีเหตุผลมากกว่านั้น มันค่อนข้างละเอียดอ่อนครับ ... ผมคิดอยู่หลายทีว่าจะทำยังไง ผมเป็นคนค่อนข้างเข้าข่าย perfectionist จะทำอะไรก็จะประเมินสถานการณ์ แล้วค่อยวางแผนเป็นสเต็ป กันพลาดครับ สุดท้าย ผมเลือกที่จะรอ รอให้ถึงเวลาที่ผมมองว่าเหมาะสมสำหรับเราสองคน
ตอนนี้เธอเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยครับ (กว้างไปเนอะ แต่ช่างเถอะ5555) ผมก็เข้าใจนะ ว่ากิจกรรมเยอะ เรียนก็หนัก เธออาจจะไม่มีเวลาให้ผมเหมือนที่ผ่านมา ผมก็พยายามเข้าใจจุดนั้น ช่วงเปิดเทอมแรกๆ ก็ยังปกติครับ แต่แล้ววันนึง เธอหายไปทั้งวัน รัวไลน์ไปก็ไม่ตอบ โทรไปก็ไม่รับ ผมสังหรณ์ใจแปลกๆแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เราเริ่มคุยกันน้อยลง ผมวิดีโอคอลไปเธอก็ปฎิเสธอ้างว่าไม่สะดวก แรกๆผมพอจะโอเคนะ เออ คนเราก็ต้องการเวลาส่วนตัวกันบ้าง แต่นี่มันเกินไป บางทีไลน์ไม่ตอบข้ามวัน โทรไปก็ "มีไร" ห้วนๆ ก็ผมคิดถึง ผมพูดไม่ได้ เสียฟอร์มสิ 55555 เธอก็เริ่มเล่าว่ามี ผู้ชายมาจีบ ทำไงดี ผมก็ออกอาการสิครับ ใครจะชอบให้คนอื่นมาจีบเพื่อนเรา 55555 เธอก็ขำๆไป จากนั้นไม่นาน เธอก็มาถามผม ว่า จีบ ผู้ชายทำยังไง คุยกับผู้ชายคนอื่นๆไม่เก่ง แต่ชอบคนนี้จริงๆน่ารักดี ผมถึงกับของขึ้น แต่ก็เก็บอาการนะ แต่ก็ไม่บอก เหมือนเธอจับได้ว่าผมนอยด์ ก็มาพูดประมาณว่า อย่าคิดมากสิ เธอไม่ไปไหนหรอก จากนั้นเธอก็ไม่พูดถึงผู้ชายให้ผมฟังอีกเลย จน หลายเดือนก่อน เราคุยกันน้อยมากๆๆ เธอเบี้ยวนัดผม เธอผิดสัญญากับผมเป็นว่าเล่น เธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เป็นคนที่ผมรู้จักหน้า แต่ไม่รู้จักนิสัยไปแล้ว ผมก็สังหรณ์ใจไม่ดี จนเธอบอกว่าช่วงนี้เธอยุ่งๆ เครียดๆ แต่จู่ๆก็มีเสียง "ไม่ใช่ เธอไม่ได้ยุ่งจริงๆหรอก" ดังก้องอยู่ในหัวผม ผมก็ไม่ได้ใส่ใจคิดว่าตัวเองคิดมาก เลยปล่อยตามเลยไป เธอจะทักมา โทรมาเฉพาะเวลาที่เธอต้องการความช่วยเหลือ เวลาที่เธออยากจะระบาย ผมยินดีช่วย ยินดีรับฟัง เพียงได้ยินเสียงเธอผมก็มีความสุขแล้ว จากนั้น เราไม่ได้คุยกันเลย แม้แต่แชทไลน์ ราวกับขาดการติดต่อ ผมก็คิดถึงเธอนะ มันเคยชินที่ต้องตอบไลน์เธอทั้งวัน คอยรูปที่เธอส่งมา แต่ในใจลึกๆผมกลับห้ามตัวเองคิดถึงเรื่องเก่าๆ แล้วก็จนได้ครับ
คืนนึง เธอทักไลน์มาว่า ว่างมั้ย กินไรกันป่ะ ผมก็ตกลง ตอนนั้นก็มีเสียงก้องในหัวผมอีก "-ชื่อร้านอาหาร-* ผมก็ เห้ยย ไรวะ ไม่เคยคิดอยากไปร้านนี้เลย ไม่เคยอยู่ในความคิด พอผมเคลิ้มๆจะหลับ ผมเห็นภาพเธอนั่งตรงข้ามกับผม บอกกับผมว่าเธอมีแฟนแล้วนะ ตอนนั้นผมรู้สึกโหวงๆ แต่ผมคงเหนื่อยแหละ พอถึงวันที่เรานัดกัน มันมีเหตุต้องไปที่ร้านนั้น ไม่รู้ว่าฟ้าลิขิตหรือความบังเอิญ เอาล่ะสิ ผมเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่ผมเห็นก่อนนอน ผมพยายามควบคุมตัวเอง คอยดูสถานการณ์วินาทีต่อวินาที ผมเครียดมาก แต่ผมพยายามไม่แสดงออก พยายามทำตัวตามปกติ แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ... เธอบอกผมด้วยเสียงเบาประหนึ่งเสียงกระซิบ ว่า เธอคุยกับผู้ชายคนนึงได้สักพักใหญ่ๆ แล้วกำลังจะเป็นแฟนกัน
ผมรู้สึกหมดแรงขึ้นมาดื้อๆ มันอื้ออึงไปหมด แต่ผมให้เธอเห็นไม่ได้เด็ดขาด ผมเลยกลบเกลื่อนโดยการถามว่าเป็นใคร หล่อมั้ย เธอก็บอกว่าน่ารักดี แต่ยังไม่พร้อมให้ผมรู้จัก ซะงั้น ก่อนหน้าที่เธอจะบอกผม เธอพูดจาเชิงผลักไส (คงไม่แรงไปนะครับสำหรับคำนี้ TT)ให้ผมมีแฟนเป็นตัวเป็นตนสักที เปิดรับบ้าง สังคมใหม่ๆ ผู้คนมากมาย ทำให้อะไรหลายๆอย่างเปลี่ยน เปิดใจสิ ตอนเธอพูดน้ำเสียงเธอสั่นๆ ค่อยๆ ไม่เหมือนยามปกติที่น้ำเสียงเด็ดเดี่ยวเต็มไปด้วยพลังความมั่นใจ สายตาเธออีก เธอมองไปที่อื่น เธอไม่สบตาผมเหมือนเคย เธอเหมือนไม่ใช่เธอคนเดิมที่ผมรู้จัก... ผมก็บ่ายเบี่ยง บอกว่ายังไม่ถึงเวลา ผมยังไม่พร้อมรักใคร ผมพูดแบบนั้นไปเพื่อปกป้องตัวเองล่วงหน้า เหมือนผมจะบอกเธอด้วยว่าผมเป็นไบ ผมเชื่อในลางสังหรณ์ของผม แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ
แปลกทั้งๆที่ผมคิดว่าวันนึงอาจมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น(เพราะตอนนี้เธอสวยมาก สวยปานเจ้าหญิงที่ผมเฝ้ารอมาตลอด) ผมคงน้ำตาไหลต่อหน้าเธอแน่ๆ แต่เปล่าเลย ไม่มีน้ำตาสักหยดออกมาจากตาผม ผมยังขอให้เธอและผู้ชายคนนั้นรักกันนานๆ ...
ช่วงที่เรามุ้งมิ้งกุ๊งกิ๊งกัน เธอมักพูดว่า เธอไม่อยากมีแฟนเลย เพราะถ้ามีแฟน เธอจะไปไหนมาไหนกับผมได้น้อยลง บางครั้งเธอก็ถามผม ว่าถ้าผมเข้ามหาลัย เธอคงหมดความสำคัญ ผมยังว่าเธอเพ้อเจ้อ ยังไงเธอก็สำคัญที่สุดสำหรับผมเสมอผมตอบไปแบบนั้น...แต่ตอนนี้มันกลับตาลปัตร เธอมีแฟนก่อนผม และ ผม...หมดความสำคัญต่อเธอแล้ว
วันนั้นทำให้ผมเคลียร์ทุกข้อข้องใจ เธอหายไปไหน? เธอเลี่ยงวิดีโอคอล เธอผิดนัด ฯลฯ ไม่ต้องอธิบายอะไรเลย แค่ประโยคเดียว ผมเข้าใจ...
ผมไม่รู้สึกเสียใจที่เสียเธอไป เพราะเวลาที่ผ่านมาผมถือว่าผม เต็มที่กับมัน ผมเก็บทุกรายละเอียดความสุขระหว่างเรา ผมทำหน้าที่ของผมได้ดีในระดับนึงแม้จะเป็นสถานะที่คลุมเครือ แต่เราเหมือนรู้กัน (ผมคิดว่าเธอคิดแบบเดียวกับผมตอนที่เธอพล่ามเรื่องเปิดใจ) ตอนนั้นเราต่างมีความสุข ผมสังเกตได้จากแววตาใสๆของเธอ ผมคิดถึงดวงตาคู่นั้น
ตอนนี้ผมลบแชทเก่าๆที่เคยคุยกัน ไม่ใช่เพราะอยากลืม หรือทำใจไม่ได้ แต่เป็นเพราะ ต่อจากนี้ไปเราคงไม่ได้คุยกันแล้วอยู่ดี และ ทุกคำพูด ทุกความรู้สึก ทุกสิ่งอย่างผมเก็บไว้ติดตัวผม เก็บไว้ในความทรงจำ ที่ไม่มีอะไรทำให้มันหายไปได้ เมื่อผมท้อ ผมจะนึกถึงคำพูดของเธอที่คอย cheer up เมื่อผมมีความสุข ผมจะนึกถึงใบหน้าสวยหวานของเธอที่เปื้อนยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะอันสดใสของเธอ
หากเธอต้องการผม เธอน่าจะรู้ดีว่าจะติดต่อผมได้อย่างไร ผมยังพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างเธอ คอยช่วยเหลือเมื่อเธอต้องการ ...แม้สถานะระหว่างเราจะไม่เหมือนเดิม แต่ผมยังรักและเป็นห่วงเธอเสมอในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง ที่มองตาก็รู้ว่าคิดอะไร เช่นเรามักจะสบตากันแล้วหัวเราะในเรื่องเดียวกันขณะที่คนอื่นไม่เข้าใจว่าสองคนนี่หัวเราะอะไร ...
ผมไม่คิดจะแย่งเธอกลับมาหรอก ผมเชื่อว่า วัยเราเป็นวัยค้นหา ความรักคือประสบการณ์ และรักแท้ชั่วนิรันดร์ในวัยเรียนมันเป็นไปได้ยาก วันหนึ่ง เราอาจเจอเจ้าหญิงเจ้าชายของตัวเองก็ได้ เพราะการ์ตูนดิสนีย์ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องเดียว แต่ถ้าเราเป็นของกันและกัน เราคงได้ร่วมทางกันอีก... ผมปล่อยให็เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน ผมยังไม่พร้อมเปิดใจให้ใครอีกนาน.
ปล.เรื่องนี้ผู้อ่านสามารถสลับเพศของตัวละครได้ ผมคิดว่าความรู้สึกของหญิงหรือชายที่ค่อนข้างจะอ่อนไหวต่อเรื่องความรักไม่ได้ต่างกันมากมายหรอก .... What you see is not what you think and vice versa