สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
“นางโลม” /“ถึงชั่วก็รัก” สายัณห์ สัญญา
นางโลม/โสเภณี/นางคณิกา/กะหะหรี่
อาชีพนี้คงจะมีมานาน....และคงจะมีอีกต่อไปตราบเท่าที่ความ “หื่น” ของมนุษย์ยังขาดการควบคุม พระไตรปิฏกได้กล่าวถึงอาชีพนี้อยู่เหมือนกัน
ในสมัยพุทธกาลโสเภณีเป็นอาชีพที่ถือว่ามีเกียรติพอสมควร ถึงขั้นที่ว่าเจ้าแห่งแว่นแคว้นทรงแต่งตั้งอาชีพนี้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของแว่นแคว้น แคว้นวัชชีเป็นแว่นแคว้นที่ทำรายได้เข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำจากอาชีพนี้ เจ้าแห่งโสเภณีก็คือนางอัมพปาลี....ที่ความสวยงามของนางกระเดื่องเลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป...ขนาดพระเจ้าพิมพิสารเจ้าแห่งแว่นแคว้นราชคฤห์ที่อยู่ห่างไกลเป็นร้อยๆ โยชน์ยังเป็นขาประจำของนางอัมพปาลี....จนเกิดตั้งครรภ์.....บั้นปลายสุดท้ายของนางอัมพปาลีนั้นเธอได้ออกบวชเป็นอัมพปาลีเถรีบรรลุอรหันต์
พระเจ้าพิมพิสารทรงไปใช้บริการโสเภณีที่แคว้นวัชชีบ่อยเข้า จึงเกิดปิ๊งไอเดียสร้างอาชีพโสเภณีในเมืองราชคฤห์ (แล้วพระองค์เองก็จะได้ไม่ทนลำบากเดินทางไกลเป็นวันๆ ไปใช้บริการที่แคว้นวัชชีด้วย) จึงจัดเวที “ประกวดนางงาม” หาคนที่สวยที่สุดจะได้มาครองตำแหน่งโสเภณีหรือที่เรียวก “หญิงงามเมือง” และคนที่ได้ครองมงกุฏเพชรตำแหน่งโสเภณีแห่งแคว้นราชคฤห์ก็คือนาง “สาลวดี” และเมื่อนางสาลวดีหมดวาระทำหน้าที่โสเภณีประเมืองแล้ว ตำแหน่งนี้ก็ตกไปอยู่ที่ลูกสาวที่กล่าวกันว่าสวยที่สุดคือนาง “สิริมา” ความสวยของนางเลื่องลือระบือไกล......ตำแหน่งราชินีแห่งโสเภณีของเธอ ชายกระจอกงอกง่อยนั้นมีสิทธิ์แค่ “มโน” แล้ว “ไปสนามหลวง” เอาเอง....เพราะค่าตัวเธอแพงลิ่บลิ่ว คิดเป็นเงินคร่าวๆ ก็หกพันกว่าบาท!! นั่นเป็นราคาต่อคืนในสมัยสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว....ความสวยงามของนางสิริมานั้นเลื่องลือข้ามกำแพงวัดไปถึงหูพระภิกษุหนุ่มเณรน้อยในวัดของพระพุทธเจ้า ในยามเช้าเวลาออกเดินบิณฑบาตรผ่านหน้าหอนางโลมของเธอ พระหนุ่มเณรน้อยผู้อินทรีย์ยังไม่กล้าแข็งต้องชะเง้อมองทุกที.....และทุกๆ เช้านางสิริมาจะออกมาใส่บาตร....เช้าวันนั้นเธอป่วย...คนใช้ประคองเธออกมาใส่บาตร พระรูปหนึ่งเห็นเธอครั้งแรกถึงกับอึ้ง ตะลึง เหมือนต้องมนต์สะกดเปิดฝาบาตรค้าง....พอกลับมาถึงวัดก็รีบเข้ากุฏิลั่นดาล เอาผ้าจีวรคุมโปงนอนหลับตาพริ้มเพ้อคร่ำครวญถึงความสวยงามของนางสิริมา ข้าวปลาไม่ยอมฉัน....รำพึงเอาแต่ว่า นี่ขนาดนางสิริมาป่วยเธอยังสวยเปล่งปลั่งขนาดนี้.....แล้วถ้าเธอไม่ป่วยคงจะหยาดฟ้ามาดินแน่ๆ
...และคืนนั้นนางสิริมาได้เสียชีวิต พระพุทธเจ้าทราบก็ขอให้พระเจ้าพิมพิสารเก็บศพนางไว้ก่อน จากนั้นก็พาพระภิกษุหนุ่มเณรน้อยไปดูศพเธอที่ป่าช้า...รวมทั้งพระ “แฟนคลับ” ของนางสิริมาด้วย พระองค์ทรงพาภิกษุเหล่านั้นไปป่าช้าดูร่างที่เคยงดงามราวกับนางฟ้าที่เริ่มเน่าฟอนเฟะไปแต่ละวันเป็นเวลาสามวัน....สุดท้ายพระภิกษุหนุ่มเณรน้อยก็ได้ข้อคิด ...อ้อ นางสิริมา เป็นน้องสาวของท่านหมอชีวกที่เกิดจากพระเจ้าพิมพิสาร
จริงๆ อยากเขียนยาวกว่านี้เรื่องโสเภณี อันนี้แค่เกริ่น(แต่เล่นซะยาว) ที่จังหวัดอุดรธานีสมัยช่วงสงครามเวียดนาม ถ้าจะพูดแบบตรงๆ อุดรธานีเคยเป็นเมืองหลวงโสเภณีที่หญิงสาวจากจังหวัดอื่นๆ มาหากินมากมาย สมัยเป็นเด็กก็เห็นบรรยากาศอย่างนี้ อยากเล่าตรงนี้....คงต้องเอาไว้โอกาสหน้า
ประเวณีมีทั่วทุกตัวสัตว์
ไม่จำกัดห้ามปรามตามวิสัย
นาค มนุษย์ ครุฑา สุลาลัย
สุดแต่ใจปรองดอง...จะครองกัน
นางโลม/โสเภณี/นางคณิกา/กะหะหรี่
อาชีพนี้คงจะมีมานาน....และคงจะมีอีกต่อไปตราบเท่าที่ความ “หื่น” ของมนุษย์ยังขาดการควบคุม พระไตรปิฏกได้กล่าวถึงอาชีพนี้อยู่เหมือนกัน
ในสมัยพุทธกาลโสเภณีเป็นอาชีพที่ถือว่ามีเกียรติพอสมควร ถึงขั้นที่ว่าเจ้าแห่งแว่นแคว้นทรงแต่งตั้งอาชีพนี้เพื่อเป็นหน้าเป็นตาของแว่นแคว้น แคว้นวัชชีเป็นแว่นแคว้นที่ทำรายได้เข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำจากอาชีพนี้ เจ้าแห่งโสเภณีก็คือนางอัมพปาลี....ที่ความสวยงามของนางกระเดื่องเลื่องลือไปทั่วชมพูทวีป...ขนาดพระเจ้าพิมพิสารเจ้าแห่งแว่นแคว้นราชคฤห์ที่อยู่ห่างไกลเป็นร้อยๆ โยชน์ยังเป็นขาประจำของนางอัมพปาลี....จนเกิดตั้งครรภ์.....บั้นปลายสุดท้ายของนางอัมพปาลีนั้นเธอได้ออกบวชเป็นอัมพปาลีเถรีบรรลุอรหันต์
พระเจ้าพิมพิสารทรงไปใช้บริการโสเภณีที่แคว้นวัชชีบ่อยเข้า จึงเกิดปิ๊งไอเดียสร้างอาชีพโสเภณีในเมืองราชคฤห์ (แล้วพระองค์เองก็จะได้ไม่ทนลำบากเดินทางไกลเป็นวันๆ ไปใช้บริการที่แคว้นวัชชีด้วย) จึงจัดเวที “ประกวดนางงาม” หาคนที่สวยที่สุดจะได้มาครองตำแหน่งโสเภณีหรือที่เรียวก “หญิงงามเมือง” และคนที่ได้ครองมงกุฏเพชรตำแหน่งโสเภณีแห่งแคว้นราชคฤห์ก็คือนาง “สาลวดี” และเมื่อนางสาลวดีหมดวาระทำหน้าที่โสเภณีประเมืองแล้ว ตำแหน่งนี้ก็ตกไปอยู่ที่ลูกสาวที่กล่าวกันว่าสวยที่สุดคือนาง “สิริมา” ความสวยของนางเลื่องลือระบือไกล......ตำแหน่งราชินีแห่งโสเภณีของเธอ ชายกระจอกงอกง่อยนั้นมีสิทธิ์แค่ “มโน” แล้ว “ไปสนามหลวง” เอาเอง....เพราะค่าตัวเธอแพงลิ่บลิ่ว คิดเป็นเงินคร่าวๆ ก็หกพันกว่าบาท!! นั่นเป็นราคาต่อคืนในสมัยสองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว....ความสวยงามของนางสิริมานั้นเลื่องลือข้ามกำแพงวัดไปถึงหูพระภิกษุหนุ่มเณรน้อยในวัดของพระพุทธเจ้า ในยามเช้าเวลาออกเดินบิณฑบาตรผ่านหน้าหอนางโลมของเธอ พระหนุ่มเณรน้อยผู้อินทรีย์ยังไม่กล้าแข็งต้องชะเง้อมองทุกที.....และทุกๆ เช้านางสิริมาจะออกมาใส่บาตร....เช้าวันนั้นเธอป่วย...คนใช้ประคองเธออกมาใส่บาตร พระรูปหนึ่งเห็นเธอครั้งแรกถึงกับอึ้ง ตะลึง เหมือนต้องมนต์สะกดเปิดฝาบาตรค้าง....พอกลับมาถึงวัดก็รีบเข้ากุฏิลั่นดาล เอาผ้าจีวรคุมโปงนอนหลับตาพริ้มเพ้อคร่ำครวญถึงความสวยงามของนางสิริมา ข้าวปลาไม่ยอมฉัน....รำพึงเอาแต่ว่า นี่ขนาดนางสิริมาป่วยเธอยังสวยเปล่งปลั่งขนาดนี้.....แล้วถ้าเธอไม่ป่วยคงจะหยาดฟ้ามาดินแน่ๆ
...และคืนนั้นนางสิริมาได้เสียชีวิต พระพุทธเจ้าทราบก็ขอให้พระเจ้าพิมพิสารเก็บศพนางไว้ก่อน จากนั้นก็พาพระภิกษุหนุ่มเณรน้อยไปดูศพเธอที่ป่าช้า...รวมทั้งพระ “แฟนคลับ” ของนางสิริมาด้วย พระองค์ทรงพาภิกษุเหล่านั้นไปป่าช้าดูร่างที่เคยงดงามราวกับนางฟ้าที่เริ่มเน่าฟอนเฟะไปแต่ละวันเป็นเวลาสามวัน....สุดท้ายพระภิกษุหนุ่มเณรน้อยก็ได้ข้อคิด ...อ้อ นางสิริมา เป็นน้องสาวของท่านหมอชีวกที่เกิดจากพระเจ้าพิมพิสาร
จริงๆ อยากเขียนยาวกว่านี้เรื่องโสเภณี อันนี้แค่เกริ่น(แต่เล่นซะยาว) ที่จังหวัดอุดรธานีสมัยช่วงสงครามเวียดนาม ถ้าจะพูดแบบตรงๆ อุดรธานีเคยเป็นเมืองหลวงโสเภณีที่หญิงสาวจากจังหวัดอื่นๆ มาหากินมากมาย สมัยเป็นเด็กก็เห็นบรรยากาศอย่างนี้ อยากเล่าตรงนี้....คงต้องเอาไว้โอกาสหน้า
ประเวณีมีทั่วทุกตัวสัตว์
ไม่จำกัดห้ามปรามตามวิสัย
นาค มนุษย์ ครุฑา สุลาลัย
สุดแต่ใจปรองดอง...จะครองกัน
ความคิดเห็นที่ 1
. Pray for France
เมื่อมนุษย์ ลุ่มหลง กับความเชื่อ
ไม่มีเยื่อ ไม่มีใย ในชีวิต
เชื่อคำสอน เชื่อพระเจ้า อย่างผิดๆ
ไม่เคยคิด ทบทวน สิ่งเป็นจริง
มีความเชื่อ หลากหลาย ให้ยึดติด
ใยไม่คิด มีความจริง เพียงหนึ่งสิ่ง
หลายความเชื่อ จึ่งไม่อาจ จะเป็นจริง
อย่าแอบอิง จนเกินไป ให้ระอา
เป็นมนุษย์ ประเสริฐแท้ รู้จักคิด
ควรเป็นมิตร ต่อกัน จะดีกว่า
เป็นสังคม ให้และรับ ได้พึ่งพา
เป็นที่มา ความสงบ อย่างยั่งยืน
ไม่มีเยื่อ ไม่มีใย ในชีวิต
เชื่อคำสอน เชื่อพระเจ้า อย่างผิดๆ
ไม่เคยคิด ทบทวน สิ่งเป็นจริง
มีความเชื่อ หลากหลาย ให้ยึดติด
ใยไม่คิด มีความจริง เพียงหนึ่งสิ่ง
หลายความเชื่อ จึ่งไม่อาจ จะเป็นจริง
อย่าแอบอิง จนเกินไป ให้ระอา
เป็นมนุษย์ ประเสริฐแท้ รู้จักคิด
ควรเป็นมิตร ต่อกัน จะดีกว่า
เป็นสังคม ให้และรับ ได้พึ่งพา
เป็นที่มา ความสงบ อย่างยั่งยืน
ความคิดเห็นที่ 5
สวัสดียามค่ำค่ะ เพื่อน ๆ
วันนี้ไม่มีข่าวบันเทิง นำเสนอ ชวนเพื่อนฟังเพลงฝรั่งเก่าๆ ก็แล้วกัน มารู้จักนักร้องกันก่อน
ดอริส เดย์ (อังกฤษ: Doris Day) เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1922
เป็นนักแสดง นักร้องและนักเคลื่อนไหวสิทธิสัตว์
เดย์เริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในขณะปลายช่วงวัยรุ่นโดยเป็นนักร้องวงบิ๊กแบนด์ ในปี ค.ศ. 1945
เธอมีเพลงฮิตที่ชื่อ "Sentimental Journey" และในปี 1948 เธอแสดงภาพยนตร์
เรื่องแรกคือเรื่อง Romance on the High Seas เธอมีผลงานแสดงภาพยนตร์ 39 เรื่อง
บันทึกเสียงในบทเพลงมากกว่า 650 เพลง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และได้รับรางวัล
ลูกโลกทองคำและรางวัลแกรมมี่ อย่างละ 1 ครั้ง ในปี 1989 เธอได้รับรางวัลเซซิล บี. เดมิล ในสาขาผู้ประสบ
ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตในวงการภาพยนตร์
ในปี 2009 เดย์ติดอันดับ 1 ของดาราหญิงบนบ็อกซ์ออฟฟิสตลอดกาล และติดอันดับ 6 ในนักแสดงบ็อกซ์ออฟฟิส
(ทั้งชายและหญิง)
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
Doris Day .....Perhaps Perhaps Perhaps
https://www.youtube.com/watch?v=GUVT1NZtZPo
You won't admit you love me
And so, how am I ever, to know
You always tell me
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
A million times I've asked you, and then
I ask you over, again
You only answer
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
If you can't make your mind up, we'll never, get
started
And I don't wanna wind up, being parted, brokenhearted
So if you really love me, say yes
But if you don't dear, confess
And please don't tell me
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
Perhaps, Perhaps, Perhaps
If you can't make your mind up
We'll never, get started
And I don't wanna wind up
Being parted, brokenhearted
So if you really love me, say yes
But if you don't dear, confess
And please don't tell me
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
Perhaps, Perhaps, Perhaps
Perhaps
Perhaps
Perhaps
น่าจะเป็นธรรมชาติของคนนะที่จะชอบความชัดเจนมากกว่า ความคลุมเครือ
อยากจะบอกอะไร ก็บอกมาตรงๆ เถอะ คิดเหมือน พี่สาวไหมคะ
เข้าหน้าหนาวแล้ว ถ้านั่งรถไปทางเหนือ ก็จะเห็น 2 ข้างทาง ใบไม้เปลี่ยนสี และเริ่มร่วง
แม้แต่ ต้นมะม่วงต้นเดียวใน บ้านพี่สาว ใบก็ร่วงเยอะเหมือนกัน
Doris Day - Autumn Leaves - 1956
https://www.youtube.com/watch?v=VZMD_2RZrm4
วันนี้ไม่มีข่าวบันเทิง นำเสนอ ชวนเพื่อนฟังเพลงฝรั่งเก่าๆ ก็แล้วกัน มารู้จักนักร้องกันก่อน
ดอริส เดย์ (อังกฤษ: Doris Day) เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1922
เป็นนักแสดง นักร้องและนักเคลื่อนไหวสิทธิสัตว์
เดย์เริ่มก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในขณะปลายช่วงวัยรุ่นโดยเป็นนักร้องวงบิ๊กแบนด์ ในปี ค.ศ. 1945
เธอมีเพลงฮิตที่ชื่อ "Sentimental Journey" และในปี 1948 เธอแสดงภาพยนตร์
เรื่องแรกคือเรื่อง Romance on the High Seas เธอมีผลงานแสดงภาพยนตร์ 39 เรื่อง
บันทึกเสียงในบทเพลงมากกว่า 650 เพลง ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ และได้รับรางวัล
ลูกโลกทองคำและรางวัลแกรมมี่ อย่างละ 1 ครั้ง ในปี 1989 เธอได้รับรางวัลเซซิล บี. เดมิล ในสาขาผู้ประสบ
ความสำเร็จสูงสุดในชีวิตในวงการภาพยนตร์
ในปี 2009 เดย์ติดอันดับ 1 ของดาราหญิงบนบ็อกซ์ออฟฟิสตลอดกาล และติดอันดับ 6 ในนักแสดงบ็อกซ์ออฟฟิส
(ทั้งชายและหญิง)
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย
Doris Day .....Perhaps Perhaps Perhaps
https://www.youtube.com/watch?v=GUVT1NZtZPo
You won't admit you love me
And so, how am I ever, to know
You always tell me
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
A million times I've asked you, and then
I ask you over, again
You only answer
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
If you can't make your mind up, we'll never, get
started
And I don't wanna wind up, being parted, brokenhearted
So if you really love me, say yes
But if you don't dear, confess
And please don't tell me
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
Perhaps, Perhaps, Perhaps
If you can't make your mind up
We'll never, get started
And I don't wanna wind up
Being parted, brokenhearted
So if you really love me, say yes
But if you don't dear, confess
And please don't tell me
"Perhaps, Perhaps, Perhaps"
Perhaps, Perhaps, Perhaps
Perhaps
Perhaps
Perhaps
น่าจะเป็นธรรมชาติของคนนะที่จะชอบความชัดเจนมากกว่า ความคลุมเครือ
อยากจะบอกอะไร ก็บอกมาตรงๆ เถอะ คิดเหมือน พี่สาวไหมคะ
เข้าหน้าหนาวแล้ว ถ้านั่งรถไปทางเหนือ ก็จะเห็น 2 ข้างทาง ใบไม้เปลี่ยนสี และเริ่มร่วง
แม้แต่ ต้นมะม่วงต้นเดียวใน บ้านพี่สาว ใบก็ร่วงเยอะเหมือนกัน
Doris Day - Autumn Leaves - 1956
https://www.youtube.com/watch?v=VZMD_2RZrm4
แสดงความคิดเห็น
ห้องเพลง**คนรากหญ้า** พักยกการเมือง มุมเสียงเพลง มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม............มีแต่เสียง 14/11/2015
***สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ห้องราชดำเนินทุกคน***
กระทู้นี้ เป็นมุมพักผ่อน มุมนี้ไม่มีสี ไม่มีกลุ่ม.........แต่มีเสียง...................
ห้องเพลงคนรากหญ้าเปิดขึ้นมามีวัตถุประสงค์ เพื่อ
1. มีพื้นที่ให้เพื่อนๆ ได้มาพบปะ พูดคุยระหว่างกัน ในภาวะที่ต้องระมัดระวังการโพสการเมืองอย่างเคร่งครัด
2. เป็นพื้นที่ พักผ่อน ลดความเครียดทางการเมือง ให้เพื่อนๆ มีกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
3. สร้างมิตรภาพและความปรองดอง ซึ่งเราหวังให้สังคมไทยเป็นเช่นนี้ แม้นคิดต่างกัน แต่เมื่อคุยกันแล้วก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
เราทราบกันว่าวันเสาร์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคมเป็นวันเด็กแห่งชาติ แล้วเพื่อนๆ ทราบกันไหมว่าวันเสาร์สัปดาห์ที่ 2
ของเดือนพฤศจิกายนเป็นวันอะไร ... เฉลย เป็นวันคนพิการแห่งชาติค่ะ ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 14 พ.ย. 58 ก็คือวันนี้นั่นเอง
ขอเป็นกำลังใจให้ผู้พิการทุกๆ ท่าน อย่าได้ท้อถอย สิ่งสำคัญที่สุดคือใจสู้
ผู้พิการที่มีชื่อเสียงโด่งดังในประวัติศาสตร์จีนท่านหนึ่งคือ ซุนปิง ถึงกับได้รับฉายาว่า "นักพิชัยสงครามบนรถเข็น"
วันนี้จึงขอนำเรื่องราว “ซุนปิง" ยอดนักพิชัยสงครามผู้ไม่เคยยอมแพ้ ที่เคยเขียนไว้ในห้องเรียนคนรากหญ้ามารีรันอีกครั้ง
ซุนปิงเป็นทายาทรุ่นหลังๆ ของซุนวูเจ้าของตำราพิชัยยุทธ์อันลือลั่น “รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง” ดังนั้นซุนปิงจึงมีพื้นฐานที่ดี
ในเรื่องความเฉลียวฉลาด พิชัยสงคราม รวมถึงได้เป็นศิษย์ของสำนักหุบเขาปิศาจอันมีชื่อเสียง ซึ่งเขารับศิษย์จากการเด็ดใบไม้ ???
ซุนปิงไปกับเพื่อนรุ่นพี่นามว่าผังเจวียน สรุปว่าซุนปินผ่านเพราะวิธีเด็ดใบไม้ของซุนปินแสดงถึง ความเป็นคนซื่อ ใจเย็น หนักแน่น
รอบคอบ คำนึงถึงคนอื่น ในขณะที่ของผังเจวียนแสดงถึงความโหด ใจร้อน และไม่คำนึงถึงใคร นั่นคือ
ซุนปิน เด็ดใบไม้เลือกใบแก่ เพราะไม่ปรารถนาทำลายต้นไม้ ใบแก่กำลังจะล่วงอยู่แล้ว เด็ดก็ง่าย
เพราะยังไงก็ร่วงอยู่แล้ว ยางก็น้อย แสดงว่าเป็นคนใจเย็น รอบคอบและนึกถึงผู้อื่น
ผังเจวียน เลือกใบอ่อนเพราะเด็ดง่าย แสดงให้เห็นว่า เอาง่ายไว้ก่อน หยาบเกินกว่าที่จะคิดว่าใบอ่อนยังเติบโต
ให้ความสวยกับต้นและให้ความร่มเย็นได้อีก
ซุนปิน อ้อมไปเด็ดด้านหลัง เพราะไม่อยากให้ต้นไม้แหว่ง หรือถ้ามียาง จะไหลเห็นร่องรอย คือความรอบคอบ นึกถึงผู้อื่น
ซุนปินสังเกตว่าต้นไม้เยอะ สวยงาม แสดงว่าเจ้าหุบเขารักต้นไม้ แสดงถึงความเป็นคนช่างสังเกต
เพราะผู้ที่จะร่ำเรียนวิชานี้ต้องเป็นคนช่างสังเกตอย่างมาก ไม่เหลวไหลหรือเผอเรอ
ผังเจวียน นั้นเด็ดคือเด็ด ไม่คำนึงถึงความสวยงามของหุบเขาปีศาจ
ซุนปิง เด็ดใบไม้ ปลิดขั้วโดยใช้สองมือ ไม่กระเทือนถึงเปลือกไม้ สองมือคือ ระมัดระวัง ตั้งใจ
ผังเจวียน เด็ดด้วยมือเดียวมีเปลือกติดมาด้วย มือเดียวคือ ไม่ใส่ใจ ต่อหน้าอย่างลับหลังอย่าง
ซุนปินสู่อุตส่าห์ขอร้องแทนเพื่อนให้อาจารย์รับศิษย์อีกคนเป็นเพื่อนกัน อาจารย์ก็ยอมตาม รับคู่กันมาเรียนทั้งบุ๋นและบู๊
ซุนปินสู่อุตส่าห์ขอร้องแทนเพื่อนให้อาจารย์รับศิษย์อีกคนเป็นเพื่อนกัน อาจารย์ก็ยอมตาม รับคู่กันมาเรียนทั้งบุ๋นและบู๊
เมื่อสำเร็จวิชาผังเจวียนได้เป็นแม่ทัพใหญ่ของรัฐเว่ยเนื่องจากเขาเป็นคนคารมคมคาย ต่อมาเขาได้รับคำสั่งจากเว่ยอ๋อง
ให้เชื้อเชิญซุนปินมาช่วยงานรัฐเว่ย ผังเจวียนรู้ว่าซุนปินมีความรู้ ความสามารถสูงกว่าตน จึงกลัวมาซุนปินจะมาคุกคาม
เสถียรภาพของตน จึงเชิญซุนปิงมาร่วมงานโดยจะได้หาทางควบคุมไว้ไม่ให้เป็นภัยแก่ตน
ซุนปินมาถึงได้แสดงความรู้ความสามารถเกินหน้าผังเจวียนจนเว่ยอ๋องแต่งตั้งให้เป็นขุนนางต่างแดน นั่นเอง
“ยุทธการเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” จึงได้เกิดขึ้น ผังเจวียนได้สร้างหลักฐานปลอมและวางแผนใส่ร้ายซุนปินว่าทรยศขายชาติ
เว่ยอ๋องหลงเชื่อจนทำให้ซุนปินถูกลงโทษ ตัดสะบ้าหัวเข่ายังผลให้ขาของซุนปินพิการทั้งสองข้าง และยังสักหน้า
ด้วยตัวอักษร 4 ตัวว่า “คบคิดต่างชาติ” เพื่อประจานไม่ให้พบเห็นใครได้ และไม่สามารถไปเป็นขุนนางแคว้นไหนได้อีก
เรียกว่าตัดอนาคตกันไปเลย โหดแท้ๆ
นอกจากจะทรมานแล้วยังคุมขังซุนปินอย่างเข้มงวดให้ซุนปินหมดทางหนี ผังเจวียนแสร้งทำตัวเป็นคนดี
ช่วยดูแลซุนปินที่พิการและใช้อุบายหลอกล่อให้ซุนปินเขียนตำราพิชัยสงคราม 13 บทให้ โชคดีที่ซุนปินรู้ทันแผนการของเขา
จึงแสร้งทำเป็นคนบ้าสติฟั่นเฟือน
ความจริงตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันมาซุนปินก็รู้แล้วว่าผังเจวียนเป็นคนจิตใจคับแคบ อิจฉาริษยา แต่ไม่นึกว่าจะโหดเหี้ยม
ถึงเพียงนี้ ตอนนี้ตัวเองทั้งพิการ ถูกสักหน้า ถูกขัง ดูไปแล้วหมดสิ้นหนทาง จึงได้แต่เก็บความแค้นอยู่ในใจรอคอยโอกาส
ซุนปินต้องแกล้งบ้า เขาเอาอาหารมาให้ก็ไม่ทานแกล้งโยนขึ้นฟ้า ทำเนื้อตัวเปรอะเปื้อน เขานำอาจมมาให้ก็ต้องคว้าใส่ปาก
จนผังเจวียนคลายใจ
ซุนปิงรอโอกาสคืนฝนตก การควบคุมหย่อนยานคลานไปพบทูตแคว้นฉีที่เดินทางมาแคว้นเว่ย เล่าถึงความอยุติธรรมที่ได้รับ
ทูตแคว้นฉีอาสาช่วยเหลือโดยพาเขาหลบหนีไปที่แคว้นฉี
ฉีเซียนอ๋องเห็นความสามารถซุนปินจึงให้ความสำคัญและแต่งตั้งซุนปินให้เป็นเสนาธิการทหารของแคว้นฉีนับแต่นั้น
เมื่อไปอยู่แคว้นฉี ซุนปินได้สร้างชัยชนะให้แคว้นฉีหลายครั้งหลายหนด้วยตำราพิชัยสงครามและกลยุทธต่างๆ
โดยมีหลายกลยุทธที่อยู่ในตำรา “ 36 กลุยทธ” ที่สืบทอดมาถึงทุกวันนี้ เช่น ม้าดีสู้ม้าเลว ล้อมเว่ยช่วยจ้าว ลดเตาลวงศัตรู
จากผลงานต่างๆ ทำให้ชื่อเสียงซุนปินกลับคืนมาอีกครั้ง และเหมือนจะโด่งดังและเป็นที่ยอมรับมากกว่าเก่า จนถึงศึกครั้งสุดท้าย
ซุนปินให้ทหารขนกองไม้ไปขวางทางชัยภูมิที่ซุ่มตีไว้ และขูดเนื้อต้นไม้และสลักว่า "ผังเจวียนตายอยู่ใต้ต้นไม้นี้" ให้พลธนูขึ้นไป
ซุ่มบนเขาและสั่งว่า "หากเห็นแสงไฟวาบสว่างที่ต้นไม้นั้นในตอนฟ้ามืด ให้ระดมยิ่งไปยังที่นั้น"
เมื่อผังเจวียนมาถึงก็ได้ให้ทหารช่วยกันขนกองไม้ออก และสั่งทหารให้จุดไฟดูตัวอักษร พอเข้าไปดูใกล้ๆ ผังเจวียนก็หน้าซีด
ร้องว่า "เราหลงกลเจ้าคนขาหักสักหน้าเสียแล้ว" พร้อมสั่งให้ทหารถอยทัพ แต่ไม่ทันการณ์
ผังเจวียนถูกเกาทัณฑ์ไปหลายดอก เจ็บใจเหลือกำลัง แหงนขึ้นฟ้าร้องตะโกนว่า "เราเสียใจนักที่ไม่ฆ่าเจ้าคนสักหน้าขาหักเสีย
แต่ในครั้งกระโน้น วันนี้จึงกลับต้องมาช่วยส่งเสริมชื่อเสียงของมันให้โด่งดังขึ้นไปอีก" ว่าแล้วก็ชักดาบออกมาแทงตัวตาย
...........................................................................
ซุนปินถูกทำร้ายจนพิการแถมโดนสักหน้าเพื่อตัดอนาคต โดนคุมขังให้หมดอิสรภาพ แต่เขาไม่เคยยอมแพ้ หาวิธีกลับมายิ่งใหญ่จนได้
วันนี้ต่อให้เราถูกริดรอนอิสรภาพ อยู่ภายใต้ความกดดันเพียงใด แต่สิ่งที่ใครก็มาริดรอนจากเราไม่ได้คือ "ความหวัง"
ก็อย่าได้ยอมแพ้ ขอให้ตั้งสติ พยายามสร้างสิ่งดีๆ รอโอกาส วันหนึ่งย่อมสำเร็จแน่นอน กายพิการไม่สำคัญ อย่าให้ใจพิการเป็นพอ
ศรัทธา - หิน เหล็ก ไฟ [ HQ Audio ]
...รางวัลมีไว้ให้คนตั้งใจ ขวากหนามทิ่งแทงก่อนผ่านพ้นไป
โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาง่ายดาย
ใจสู้หรือเปล่า ไหวมั๊ยบอกมา โอกาสของผู้กล้า ศรัธาไม่มีท้อ...
https://www.youtube.com/watch?v=6GbPtzogvck