[CR] น้ำตาไหลในน้ำตกเอราวัญ กาญนะจ๊ะบุรีรมณ์ T___T

กระทู้รีวิว
โดยปกติแล้วเรากับรูมเมทเป็นคู่หูดูโอ้ที่ชอบเที่ยวมาก ครั้งแรกของการออกทริปของเราคือการนั่งรถไฟไปเชียงใหม่ แล้วตีรถกลับมาลำปางเพื่อมาเที่ยวบ้านเพื่อนอีกคนหนึ่ง สำหรับครั้งนั้นก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ประทับใจมากๆ นั้นเป็นเพราะเป็นการเดินทางครั้งแรก สำหรับครั้งนี้ก็เช่นกันเราตัดสินใจวางตัวเองลงบนรถไฟฟรีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นการตัดสินใจเดินทางสองคน เป็นทริปที่ค่อนข้างกะทันหัน เกรินมานานเริ่มเลยแล้วกันน้อ
วันศุกร์ที่ 18 กันยายน 2558
       หลังจากเลิกเรียน เราตื่นเต้นกับการเดินทางครั้งนี้มาก รีบกลับห้องมาเก็บของ  ในกระเป๋ามีเงินอยู่ 940บาท เรานั่งแท็กซี่จากหอในมหาวิทยาลัยขอนแก่นไปสถานีรถไฟ 118 บาทเป็นช่วงเวลาที่เฉียดฉิวมาก รถไฟออก21.06น. เราถึงสถานีรถไฟประมาน 20.45น. แต่เอาเข้าจริงการรถไฟไทยไม่มีเลยความตรงต่อเวลา กว่าจะเคลื่อนวงล้อออกจากสถานีได้ประมาน21.45น.
เราว่าเสน่ห์ของรถไฟน่าจะเป็นห้องน้ำทั้งหลักการปล่อยของเสียระหว่างทางเราว่ามันเป็นเสน่ห์จริงๆ
เป็นเพื่อนร่วมทางที่เราโคตรหวงแหน

       วงล้อของรถไฟฟรีหนองคาย-กรุงเทพ เหยียบกรุงเทพประมาณ06.12น. แต่กว่าจะผ่านแต่ละสถานที่คือจอดนานมากโดยเฉพาะ บางซื่อ สามเสน หลักสี่ กว่าจะถึงหัวลำโพงโดยสวัสดิภาพก็ประมาณ07.08น. เราตั้งใจกับเพื่อนไว้ว่าจะพากันไปนั่งรถไฟสายธนบุรี-กาญจนบุรี ก่อนเพราะได้ยินข่าวเลืองลือมาว่าเป็นรถไฟสายที่สวยที่สุด แต่ประเด็นอยู่ที่ว่ารถไฟสายนั้นออก07.55น. แต่ไม่มีอะไรล้มเลิกความตั้งใจเราไว้ได้ เราพากันตัดสินใจนั่งพี่ตุ๊กตุ๊กเคียงข้างคู่คนไทย พี่แกใช้เวลาเดินทางประมาณ20นาทีก็ถึงสถานีธนบุรีโดยสวัสดิภาพ
       เมื่อถึงสถานีเรารีบวิ่งไปยังจุดขายตั๋ว รับตั๋วรถไฟฟรีเสร็จก็รีบวิ่งตรงไปยังห้องน้ำ ในช่วงเวลานั้นเราทำได้แค่ล้างหน้าแปรงฟันเนื่องจากเหลือเวลาเพียงเสี้ยวนาที
        แต่.....การรถไฟไทยไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ครั้งนี้วงล้อเคลื่อนออกจากสถานี 09.30น.

        หลังจากรถไฟเคลื่อนที่รู้สึกตื่นเต้นมาก เราว่ารถไฟฟรีมันมีเสน่ห์มาก ภาพของวิถีชีวิตบ้านๆของแต่ละพื้นที่ กลิ่นสนิทที่บ่งบอกถึงความดึกดำบรรพ์ หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมทางที่ไม่รู้จัก หลังจากเดินทางมาได้สักพักใหญ่ๆๆๆๆก็ถึงสถานีกาญจนบุรีประมาณ13.30น. ข้าวเช้าระหว่างทาง หมูแผ่น แผ่นจริงๆประมาณว่าบางกว่าลอริเอ๊ะได้เลย
        ตามด้วยสถานีสะพานข้ามแม่น้ำแควที่จัดว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของกาญจนบุรี ระหว่างการเดินทางนอกหน้าต่างของรถไฟถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาลูกโตๆ ต้นไม้สีเขียวๆ สถานีที่เราประทับใจมากๆอีกที่คือสถานีถ้ำกระแซ ซึ่งจะมีทางรถไฟที่เป็นรางไม้ที่ถือเป็นรางรถไฟไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย คนกาญจนบุรีรู้จักกันในนาม”รถไฟสายมรณะ” จากประวัติแล้ว  การก่อสร้างทางรถไฟ ในช่วงนี้ มีเทือกเขาสูงชันติดกับลำน้ำแควน้อย วิศวกรญี่ปุ่น จำเป็นต้องสร้างเลียบลำน้ำทางรถไฟจะลัดเลาะ ไปตามภูเขายาว 400 เมตร ซึ่งเป็นช่วงที่เชลยศึกต้องเสียชีวิตมากที่สุด ประมาณ 1,000 กว่าคน เป็นรางรถไฟที่ข้ามเหวลึกที่ยาวที่สุด  เส้นทางรถไฟสายนี้ สร้างเสร็จในเวลาอันรวดเร็วมาก นักโทษเชลยศึกสงครามได้ทำงานกันอย่างบ้าคลั่ง จากคำสั่งของผู้คุมนักโทษชาวญี่ปุ่น ที่รู้จักดีในคำที่เรียกว่า "สปีดโด" (Speedo) หรือ "ทำไปอย่าหยุด" จากเดือนเมษายน 2486 การก่อสร้างดำเนิน การรุดหน้าไปเร็วมาก เนื่องด้วยฝ่ายญี่ปุ่นต้องการให้การก่อสร้างแล้วเสร็จตามความคาดหมายคือเดือนสิงหาคม ซึ่งถูกกำหนดเป็นเส้นตายของ การก่อสร้าง ห้วงเวลาดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของห้วงเวลาแห่งความเร่งด่วน (Speedo) เชลยศึกและคนงานชาวเอเชียถูกลงโทษ ให้ทำงานจนค่ำ ที่บริเวณซึ่งทำการตัดช่องเขาขาดนั้น แสงแวบๆ จากกองไฟส่องกระทบเรือนร่าง ที่ผอมโซของคนงาน จึงเป็นที่มาของชื่อ “ช่องไฟนรก” (Hellfire Pass) หรือ “ช่องเขาขาด”  ถ้าต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ http://www.paiduaykan.com/province/central/kanjanaburi/railway.html  นะค่ะ สถานีสุดท้ายสำหรับรถไฟขบวนนี้ก็คือสถานีน้ำตก บอกได้เลยว่ากว่าจะถึงเพลียร่างมาก ออกเดินทาง09.30น. ถึงสถานีปลายทาง15.00น. วิถีคนอ้วนทั้งสองแพนเค้กยัก
       เราเริ่มซีเรียสกับการเดินทางกลับมาก เพราะต้องถึงสถานีกาญจนบุรีก่อนห้าโมงครึ่ง เนื่องจากรถเที่ยวสุดท้ายจากสถานีขนส่งกาญจนบุรีไปน้ำตกเอราวัณหมด17.20น. เราเดินไปถามพี่เจ้าหน้าที่รถไฟแกบอกว่าน่าจะถึงประมาณห้าโมงเย็น คือแบบมันเป็นการเดินทางที่เฉียดฉิวอีกแล้ว ในตอนนั้นทำได้แค่ภาวนาให้ทันรถ เพื่อนเราเลยโทรถามเจ้าหน้าที่อุทยานพี่แกบอกว่าถ้ามาถึงเย็นอาจต้องรอให้เจ้าหน้าที่กางเต็นท์ให้นานหน่อยเพราะหมดเวลาทำงานแล้ว ตอนนั้นคิดว่านานแค่ไหนก้อได้ขอแค่มีที่นอน ขากลับเราว่าสองข้างทางบรรยากาศดีมาก เลยทำให้ลดระดับความเครียดได้ แต่ดีหน่อยที่ขากลับระหว่างทางบรรยากาศข้างทางโคตรจะดีโคตรจะฟิน
       17.10น.สถานีนี้คือสถานีกาญจนบุรีขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบสัมภาระก่อนลง ตอนนั้นรีบวิ่งพุ่งตรงไปยังพี่วินมอเตอร์ไซต์ พี่ค่ะขอด่วนๆ ขอแรงๆ  ไปสถานีขนส่งกาญจนบุรีค่ะรถหนูออก17.20น.ค่ะพี่ แล้วแบบว่าพี่แกได้ใจมาก5นาทีถึงสำหรับค่ารถพี่วินคนละ25บาท เราติดสปีดวิ่งหารถประจำทางกาญจนุบรี-น้ำตกเอราวัณ ถามพี่กระเป๋ารถเมย์ พี่แกบอกรถออก 17.40น. ยังพอมีเวลาให้เราสองคนเตรียมเสบียงอาหาร เราวิ่งตรงไปยังโรงอาหารหลักขอคนไทย ใช่ค่ะ7-11 เราได้เกี๊ยวกุ้ง ไส้กรอก มาม่า ขนมปังแผ่น น้ำเปล่า ขนมกรุบกรอบ2ห่อ แค่นี้ก้อเพียงพอ รถเริ่มเคลือนออกจากกาญ17.50น. ในใจคิดอย่างเดียวว่า ขอให้มีที่นอน เพื่อนเราได้พูดคุยกับพี่กระเป๋ารถ พี่แกบอกว่าไม่ต้องห่วงเพราะยังไงแล้วอุทยานต้องรอรถเที่ยวสุดท้าย นั่นก้อคือคันนี้ พี่แกแนะนำดีมาก บอกตารางการเดินรถ เล่าให้ฟังทุกอย่าง พี่แกอัธยาศัยดีมาก พี่แกบอกว่ามีพี่สองคนที่จะไปน้ำตกเหมือนเราตอนนั้นโล่งมากคิดว่าอย่างน้อยถ้าเราไม่มีที่นอนพี่สองคนนนั้นก็ไม่มีที่นอนว่ะ5555++ เราเคยได้ยินมาว่ารถสายนี้ถูกขนานนามว่า”รถหวานเย็น”  เราไม่แปลกใจเลยทำไมถึงเรียกว่าว่ารถหวานเย็น สำหรับเราเราคิดว่าคงเป็นเพราะ ความเป็นกันเองของเพื่อนผู้ร่วมเดินทาง ความเป็นกันเองของคนขับรถ ของพี่กระเป๋ารถ เป็นรถประจำทางคันแรกในชีวิตที่เราประทับใจมากๆ
         เราถึงน้ำตกเอราวัณประมาณ19.30น. สำหรับค่าเข้าอุทยานวันจันทร์-ศุกร์ 50 บาท ถ้ามีบัตรนศ.ลดครึ่งราคาเหลือ 25บาท วันเสาร์-อาทิตย์100บาท  ถ้ามีบัตรนศ.ลดครึ่งราคาเหลือ50บาท  เมื่อรถจอดพี่กระเป๋ารถหวานเย็น พาเราเดินไปยังศูนย์บริการนักท่องเที่ยว พี่เจ้าหน้าที่ให้เราติดต่อเรื่องเต็นท์เครื่องนอนเครื่องประกอบอาหาร จากศูนย์บริการนักท่องเที่ยวต้องเดินเข้าไปยังอาคารอุปกรณ์เพื่อรับของสถานที่กางเต็นท์ก็อยู่ที่นั้น ทางเดินไปอาคารอุปกรณ์น่ากลัวมากเป็นทางเดินมืดๆ ข้างทางเป็นป่าเดินมาได้ครึ่งทาง คือหวิวมาก หันไปมองหน้าเพื่อน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรากลับเหอะ พอหันหลังกลับเท่านั้นละโชคดีที่พี่สองคนที่เป็นแฟนกันเดินมาพอดี พี่แกบอกว่าถูกทางแล้วค่ะ เราได้ไปรับอุปกรณ์ที่อาคารอุปกรณ์  มีเต็นท์1หลัง(หลังใหญ่มากๆนอนได้4คนสภาพเต็นท์ดีมากๆ) ที่ปูรองนอน2อัน หมอน1อัน เตาถ่าน1อัน ถ่าน1ถุง กระทะตะหลิว ทั้งหมด255บาท สำหรับเรื่องเต็นท์ไม่ต้องกางเองพี่เจ้าหน้าที่จัดการให้เรียบร้อย ทำเพียงแค่รูดซิบแล้วเข้าไปนอนได้เลย เมื่อถึงสถานที่กางเต็นท์แวบแรก โอ้ย....อะไรจะวิเศษขนาดนี้ กางเต็นท์ริมแม่น้ำแคว ถัดไปเป็นภูเขาลูกโตๆ2ลูกตอนนั้นเวลาประมาณ20.30น. สำหรับเรื่องห้องน้ำถือว่าโอเคมากเป็นชักโครก มีศาลาสำหรับชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือ  คือนั้นเป็นคืนที่ดาวสวยมากๆ ไม่มีแสงใดๆมาแข่งขันกับแสงดาว มันวิเศษจริงๆ เราหลับตาลงไปพร้อมกับภาพความทรงจำสุดท้ายของดาวดวงเล็กๆบนท้องฟ้า
วันอาทิตย์ที่20กันยายน 2558    
       เปลือกตาเราเปิดข้นเวลา06.00น. รูดซิบเปิดเต็นท์ขึ้นมา ภาพที่เห็น โอ้โห้ คือจะบรรยายยังไงให้ล้ำค่ามากกว่าคำว่าสวยงาม ตอนนั้นหมอกลงเยอะมากแทบจะไม่เห็นแสงของดวงอาทิตย์ สิ่งแรกที่เราทำคือการหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูป คำแรกที่เพื่อนพูดกับเราก็คือ"เดี๋ยวๆ กุแคะขี้ตาก่อน กุมองไม่เห็น” มันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก  กับการทำอะไรที่เร่งรีบกับแสงแดดเร่งรีบกับสายหมอก วินาทีนั้นอยากกดปุ่มหยุดเวลาไว้ เราชอบภาพนี้ที่สุด คือเราถ่ายรูปโดยใช้ไอโฟนใช้ไม่เซลฟี่เลยคุยกันว่าๆเรามากระโดดกันภาพที่ได้เลยเป็นแบบนี้ 555++
       หลังจากเก็บภาพถ่ายอย่างสาสมใจเราเตรียมตัวไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายเพื่อเตรียมตัวเดินทางผจญภัยชมความงดงามของน้ำตก หลังจากอาบน้ำเสร็จเรารีบก่อไฟอุ่นเสบียงอาหารที่เตรียมมา เมนูอาหารวันนี้เป็นครั้งแรกที่สามารถสื่อความหมายถึงคำว่า”อาหารเช้า” อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นห้องครัว เป็นห้องอาหารที่สมบูรณ์แบบมากๆในชีวิต [img]http://f.ptcdn.info/264/037/000/nxliml115gi7MOwsaE
ชื่อสินค้า:   แด่น้ำตาที่เสียไปกับความทรงจำในใจที่ได้มา
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่