จุดมุ่งหมายของกระทู้นี้น่ะครับ
1. เพื่อแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งที่2 น่ะครับ ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ กับทริปนี้ ซึ่งอาจตรงกันข้ามกับหลายๆ ท่านที่ไปเที่ยวมา
ก็อย่าว่ากันน่ะครับ แค่อยากแชร์บันทึกการเดินทาง เผื่อจะมีท่านอื่นๆ แนะนำว่าผมพลาดอะไรไป เผื่อจะได้กลับไปแก้ตัว
2. เพื่อแชร์ข้อมูลการเดินทาง + ร้านอาหารที่หาและกินมา โดยดูจาก Review Pantip + Google + Tabelog
(เวปของญี่ปุ่นที่ให้คนเข้ามาให้คะแนนกัน) ที่มีคะแนน 3.5 ขึ้นไป
ทริปนี้ไปกัน 3 คน พ่อแม่ลูก (เกือบจะ 4 ขวบ) ตั้งแต่ 22-26 ตุลาคมครับ มีการจองโรงแรม และหาข้อมูลอย่างละเอียดทั้งจาก Pantip, Google,
Google Map (อันนี้มีประโยชน์มาก เพราะเห็นภาพจริงตั้งแต่ยังไปไม่ถึงเลย), Hyperdia (ข้อมูลการขึ้นรถไฟ เวลาที่ใช้ หมายเลขชานชาลา)
ล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน ซึ่งทำให้ไม่มีหลงทาง หรือขึ้นรถไฟผิดเลย (อันนี้แอบดีใจมากๆ ที่ไม่หลง เพราะผมเป็นคนนำเที่ยว ส่วนแฟนเน้นดูแลลูก)
รูปถ่ายทั้งหมดจากกล้องมือถือน่ะครับ ไม่ได้เอากล้องใหญ่ไป เพราะรู้สึกหนัก และเป็นภาระ
Schedule คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ
22Oct ถึงนาริตะ เดินทางด้วย Keisei Skyliner (ราคาปกติคนละ 2,470 เยน แต่ถ้าซื้อบนเครื่อง Air Asia จะได้ 2,200 เยน
แต่ต้องใช้ภายในวันที่ซื้อ) เข้าที่พัก Ueno Touganeya Hotel (พักที่นี่ 4 คืนเลย) ถึงโรงแรมเกือบสามทุ่ม
23Oct เที่ยว YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE
24Oct ไปทะเลสาป Kawaguchiko ดู Mt.Fuji โดยซื้อบัตร Mt.Fuji Round Trip Ticket (คนละ 5,600 เยน)
25Oct เที่ยว Shinjuku, Ikebukuro, Ueno (สุดท้ายเหลือแค่ Ueno)
26Oct กลับเที่ยวบินตอนเช้า
เริ่มวันแรกที่ไปถึง Ueno ซึ่งเกือบสามทุ่มแล้ว เลยจะไปกินตาม Map ที่ทำไว้
สุดท้ายเลือกไปกินข้าวมื้อค่ำกันที่ Sushi Zanmai Ueno
ซึ่งตอนแรกดูในเวปของเค้า เห็นมีเมนูพวกข้าว+Tempura ด้วย (ยังไม่เคยให้ลูกกินพวกของดิบๆ เลยตั้งใจให้กินพวกข้าวหน้าเทมปุระ)
เลยเหมาเอาเองว่าทุกสาขามีเมนูเหมือนกันหมด สรุปว่าที่นี่ไม่มี มีแต่พวกซูชิเป็นหลัก แต่ยังดีที่มีปลาย่าง ลูกก็เลยได้กินปลาย่าง
กับข้าวเปรี้ยวๆ ใน Donburi เมนูที่สั่งเป็น set premium และ Donburi หน้ารวมมากิน ซึ่งตอนแรกที่เห็นหน้าตา
แบบว่า ”สุดยอด สวยงามมาก” คือมันสวยงามน่ากินมาก มีทั้ง Otoro, Uni, กุ้ง, ปลาไหลอย่างยาว เหมือนใน review ต่างๆ เป๊ะเลย
แต่พอกินเข้าไปแล้ว รู้สึกว่าข้าวเปรี้ยวมาก (ไม่รู้เป็นรสชาติเฉพาะของ Sushi Zanmai รึเปล่า) แล้วพวกปลาต่างๆ มันก็สดน่ะ
แต่รู้สึกจืดๆ (ไม่รู้ลิ้นผมเป็นอะไรรึเปล่า) ส่วน Otoro ก็ไม่เห็นละลายในปากแบบที่เค้าว่ากัน + ชิ้นมันบางๆ (แต่ยาวดี)
เอาเป็นสรุปว่ากินเหลือ และไม่ค่อยประทับใจกับมื้อแรกในญี่ปุ่นสักเท่าไร (เทียบกับร้าน Sushi Premium ที่เปิดกันคึกคักในบ้านเราแล้ว
รู้สึกว่าบ้านเราอร่อยกว่าแฮะ) มื้อนี้หมดไป 5,476 เยน
จากนั้นกลับมาที่โรงแรมส่งแฟนกับลูกเข้านอน ซึ่งทริปนี้ผมตั้งใจมากิน กิน และก็กินครับ ส่วนใหญ่ร้านดังๆ จะต้องยืนรอคิวนาน ผมก็จะไม่ได้กิน
เพราะไม่สะดวกเมื่อมีลูกมาด้วย ผมเลยออกมาตอนห้าทุ่ม เพื่อกิน Ichiran Ramen เพราะร้านเปิด 24ชั่วโมง ขนาดไปห้าทุ่มยังมีคนยืนรออยู่ 5 คนเลย
ครับ (แสดงว่าต้องอร่อยจริง) จริงๆ ผมอิ่มแล้วน่ะ แต่ในเมื่อกินตอนอื่นไม่ได้ ก็ต้องกินตอนนี้แหละครับ เลยจัดไป 1ชาม 790เยน สรุปอร่อยครับ
กินเกลี้ยง แต่ว่าชาชูชิ้นบางมากๆๆๆ แต่น้ำซุปกระดูกหมูอร่อย กลมกล่อมดี กินเสร็จกลับโรงแรมนอน (มื้อนี้ประทับใจ)
ต่อวันที่2 ครับจุดหมายคือ YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE
วันนี้ไปที่นี่เพื่อลูกเลยครับ เห็นว่าเป็น Aquarium ที่ใหญ่เป็นอันดับ2 ของญี่ปุ่น เดินทางโดยใช้ JR Keihin-Tohoku/Negishi Lineจาก Ueno
ไป Shin-Sugita ใช้เวลาประมาณ 60 นาที จากนั้นไปต่อรถไฟ Seaside Line จาก Shin-Sugita ไป Hakkeijima อีก 17 นาที โดยออกเดินทาง
ประมาณ 7 โมงกว่าๆ
อาหารเช้าที่ JR Ueno เลยครับ มีให้เลือกหลายร้าน ซึ่งผมดูจาก Tabelog ไปจบที่ร้านนี้ Kokusannihachi Sobakyouka ได้คะแนน 3.54
อยู่ในสถานี JR ชั้น3 เป็นร้านขายพวกโซบะ+เทมปุระ ที่นั่งเป็นแบบเคาน์เตอร์ โดยต้องหยอดเหรียญหน้าร้าน (มีรูปให้ดู)
แล้วเอาคูปองเข้าไปให้ในร้าน สั่งมา 2 อย่างเป็นโซบะร้อน+กุ้งเทมปุระ กับ โซบะเย็น+ผักชุปแป้งทอด กุ้งตัวใหญ่ดี ลูกกินหมดเลย
เส้นก็จืดๆ ไม่เละหรือแข็งไป ส่วนน้ำซุปอร่อย แต่ผักรวมทอด พอกินไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเลี่ยนๆ มื้อนี้เฉยๆ น่ะ ไม่ Fail สรุปว่าผ่าน
พอออกจากร้าน เดินอีกนิดเดียว ลงบันไดมา ก็ถึงชานชาลาที่จะไป Shin-Sugita เลย
ถึง YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE คนไม่เยอะมาก (เสาร์ อาทิตย์น่าจะเยอะกว่านี้) ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนมาทัศนะศึกษา
ผมซื้อบัตรแบบ 4 Aquarium Pass (ไม่รวมเครื่องเล่น) ราคาคนละ 3,000 เยน สามารถเข้าได้คือ
1. Aqua museum เป็น Aquarium แสดงสัตว์น้ำหลักๆ ของที่นี่ มีแสดงโชว์ปลาโลมา (คล้ายๆ ซาฟารีเวิร์ลบ้านเรา แต่บ้านเราคนพากย์สนุกมาก
มุกเยอะ ส่วนของญี่ปุ่นฟังไม่ออกครับ แต่เดาว่ามุกไม่เท่าบ้านเรา สังเกตจากคนญี่ปุ่นเองก็ไม่ค่อยขำสักเท่าไร ส่วนใหญ่เน้นปรบมือตาม)
ส่วน Highlight น่าจะอยู่ที่ฉลามวาฬขนาดใหญ่ ส่วนลูกผมชอบนกเพ็นกวินกับปลาโลมา
2. Umi Farm เป็นส่วนที่ยื่นไปในทะเล เน้นกิจกรรมต่างๆ เช่น ตกปลา จากนั้นเอามาทำอาหารกินกันเลย (มีทั้งย่างและทอด) หรือจะลงไปจับปลา
ซึ่งเค้าทำเป็นโซนตื้นๆ ให้ลงไปลุยจับในน้ำได้เลย (ขึ้นมาก็มีที่ล้างเท้าให้เรียบร้อย) หรือแบบเบาๆ ก็ให้อาหารปลา (เค้าจะมีตู้ให้หยอดเหรียญ)
3. Fureai Lagoon เป็นโซนที่ให้ใกล้ชิดกับปลาโลมา ให้สัมผัสปลาโลมาได้ (เป็นครั้งแรกที่ได้จับปลาโลมา ผิวมันลื่นๆ แข็งๆ แต่ก็หยุ่นๆ
ซึ่งลูกผมไม่กล้าจับ) และมีโชว์ปลาโลมาระบายสี คล้ายๆ กับช้างวาดรูปบ้านเรา แต่บ้านเราเก่งกว่า คือวาดเป็นรูปเลย ส่วนปลาโลมามันแค่ป้ายๆ
ไม่เป็นรูป
4. Dolphin Fantasy เป็นอุโมงค์ปลาโลมา แบบว่าสั้นมากๆ เข้าไปนิดเดียว แล้ววนออกเลย!!!
ส่วนรายละเอียดแต่ละจุด สามารถ download ได้จาก
http://www.seaparadise.co.jp/english/
อ้อ... แล้วที่นี่ยังมี zone สวนสนุกอีกน่ะครับ มีทั้งหวาดเสียวและไม่หวาดเสียว
สรุปว่าที่นี่สามารถใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวันเลย
ส่วนอาหารกลางวัน ผมทานชั้น2 เดินออกจาก Aqua museum มาหน่อยก็เจอ (ก่อนลงบันไดไปชั้น1) ซึ่งชั้น1 ก็มี Food Court เหมือนกันน่ะครับ
อาหารที่สั่งก็มีชุดทงคัตสึ กับชุดเด็ก อาหารอร่อยตามมาตรฐาน แต่น้ำราดทงคัตสึเปรี้ยวไปหน่อย จากนั้นเดินลงมากิน Soft Cream ที่ Food Court
(มาญี่ปุ่นทุกที่ต้องมี Soft Cream เหมือนเป็นขนมประจำชาติไปแล้ว)
กว่าจะกลับก็เกือบเย็นแล้ว เดินกันเมื่อยมาก เหนื่อยด้วย เพราะเอารถเข็นไป บางทีลูกก็ไม่ย่อมนั่ง สรุปต้องจูงลูกด้วย แบกรถเข็นด้วย - -"
กลับมา Ueno ก็ไม่มีแสงแดดแล้ว เนื่องจากอากาศเริ่มเย็น มืดเร็ว ทุกคนอยากกลับโรงแรม ก็เลยซื้อข้าว ไก่ทอด ปลาทอดจาก Lawson
ใกล้ๆ โรงแรมมากๆ เข้ามากิน แต่ที่งงคือยื่นกล่องข้าวให้คนขาย แล้วบอกเค้าว่า “Microwave” เค้าไม่เข้าใจ งงๆ กันอยู่พักนึง ก็เลยเดินเข้าไปชี้
และทำท่าใส่เข้าไป เค้าถึงเข้าใจว่าเราจะให้อุ่นให้ สรุปมื้อนี้ก็จบไป ลูกกินได้เยอะ เพราะเป็นคนชอบข้าวกับพวกปลาทอดมาก
เนื่องจากยังคาใจ Sushi Zanmai เมื่อวาน คืนนี้พอแฟนกับลูกหลับ ก็เลยออกตามหา sushi อีกเจ้า ตามแผนที่ข้างบน (ทั้งๆ ที่อิ่มอยู่) นั่นก็คือ
ซูชิหน้ายักษ์ Miuramisaki นั่นเอง ขนาดไปสามทุ่มยังมีคนต่อคิวอยู่เลย แต่ไม่มาก และเนื่องจากผมไปคนเดียวเลยได้เข้าไปเร็ว เค้าคงเห็นเราไม่ใช่คน
ญี่ปุ่นแน่นอน เลยเอาเมนูมาให้ จะได้สั่งได้ง่ายๆ หน่อย (นอกเหนือจากในสายพาน) ผมเลยจัด Uni, Otoro และอีก 2 อย่างอะไรก็ไม่รู้หยิบมามั่วๆ
รสชาติของข้าวร้านนี้ดี ไม่เปรี้ยวเหมือน Sushi Zanmai ส่วน Uni มันก็เค็มๆ มันๆ แต่ก็เฉยๆ ส่วน Otoro ดีกว่า Sushi Zanmai แต่ก็ไม่ขนาดละลาย
ในปากน่ะ (คือละลายในปาก หมายถึงไม่ต้องเคี้ยวเลยใช่มั้ย คือมันไม่ใช่อ่ะ) สรุปดีกว่า Sushi Zanmai แต่ก็ไม่ได้ wow อะไรมากมาย
พอออกมาจากร้าน ก็เลยเดินเข้าไปสถานี JR Ueno แวะใน super market เห็นองุ่นลูกใหญ่ๆ เหมือนเคยอ่านว่าองุ่นขึ้นชื่อของญี่ปุ่นเป็นพันธุ์
เคียวโฮ(Kyoho) เลยเดาเอาเองว่าต้องเป็นอันนี้แน่ๆ (ป้ายมีแต่ภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออก)
ราคาก็แพงเอาเรื่อง พวกนึง 1,382 เยน (ในขณะที่องุ่นสีเขียวลูกใหญ่ 800 กว่าเยน) พอกลับมากินคำแรก มันฉ่ำมาก น้ำเยอะ ไม่มีเม็ด
แต่มันเสียรึเปล่า??? เพราะรสชาติแปลกๆ คล้ายกับองุ่นเกือบเสีย+ลูกไหน แต่คิดว่าญี่ปุ่นมาตรฐานสูง คงไม่เอาของเสียมาขาย เลยกินต่อ
[CR] ประสบการณ์เที่ยวญี่ปุ่นแบบครอบครัวมีลูกเล็ก (4ขวบ) กับความรู้สึกเฉยๆ หรือผมพลาดอะไรไป?
1. เพื่อแชร์ประสบการณ์การไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งที่2 น่ะครับ ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ กับทริปนี้ ซึ่งอาจตรงกันข้ามกับหลายๆ ท่านที่ไปเที่ยวมา
ก็อย่าว่ากันน่ะครับ แค่อยากแชร์บันทึกการเดินทาง เผื่อจะมีท่านอื่นๆ แนะนำว่าผมพลาดอะไรไป เผื่อจะได้กลับไปแก้ตัว
2. เพื่อแชร์ข้อมูลการเดินทาง + ร้านอาหารที่หาและกินมา โดยดูจาก Review Pantip + Google + Tabelog
(เวปของญี่ปุ่นที่ให้คนเข้ามาให้คะแนนกัน) ที่มีคะแนน 3.5 ขึ้นไป
ทริปนี้ไปกัน 3 คน พ่อแม่ลูก (เกือบจะ 4 ขวบ) ตั้งแต่ 22-26 ตุลาคมครับ มีการจองโรงแรม และหาข้อมูลอย่างละเอียดทั้งจาก Pantip, Google,
Google Map (อันนี้มีประโยชน์มาก เพราะเห็นภาพจริงตั้งแต่ยังไปไม่ถึงเลย), Hyperdia (ข้อมูลการขึ้นรถไฟ เวลาที่ใช้ หมายเลขชานชาลา)
ล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน ซึ่งทำให้ไม่มีหลงทาง หรือขึ้นรถไฟผิดเลย (อันนี้แอบดีใจมากๆ ที่ไม่หลง เพราะผมเป็นคนนำเที่ยว ส่วนแฟนเน้นดูแลลูก)
รูปถ่ายทั้งหมดจากกล้องมือถือน่ะครับ ไม่ได้เอากล้องใหญ่ไป เพราะรู้สึกหนัก และเป็นภาระ
Schedule คร่าวๆ ก็ประมาณนี้ครับ
22Oct ถึงนาริตะ เดินทางด้วย Keisei Skyliner (ราคาปกติคนละ 2,470 เยน แต่ถ้าซื้อบนเครื่อง Air Asia จะได้ 2,200 เยน
แต่ต้องใช้ภายในวันที่ซื้อ) เข้าที่พัก Ueno Touganeya Hotel (พักที่นี่ 4 คืนเลย) ถึงโรงแรมเกือบสามทุ่ม
23Oct เที่ยว YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE
24Oct ไปทะเลสาป Kawaguchiko ดู Mt.Fuji โดยซื้อบัตร Mt.Fuji Round Trip Ticket (คนละ 5,600 เยน)
25Oct เที่ยว Shinjuku, Ikebukuro, Ueno (สุดท้ายเหลือแค่ Ueno)
26Oct กลับเที่ยวบินตอนเช้า
เริ่มวันแรกที่ไปถึง Ueno ซึ่งเกือบสามทุ่มแล้ว เลยจะไปกินตาม Map ที่ทำไว้
สุดท้ายเลือกไปกินข้าวมื้อค่ำกันที่ Sushi Zanmai Ueno
ซึ่งตอนแรกดูในเวปของเค้า เห็นมีเมนูพวกข้าว+Tempura ด้วย (ยังไม่เคยให้ลูกกินพวกของดิบๆ เลยตั้งใจให้กินพวกข้าวหน้าเทมปุระ)
เลยเหมาเอาเองว่าทุกสาขามีเมนูเหมือนกันหมด สรุปว่าที่นี่ไม่มี มีแต่พวกซูชิเป็นหลัก แต่ยังดีที่มีปลาย่าง ลูกก็เลยได้กินปลาย่าง
กับข้าวเปรี้ยวๆ ใน Donburi เมนูที่สั่งเป็น set premium และ Donburi หน้ารวมมากิน ซึ่งตอนแรกที่เห็นหน้าตา
แบบว่า ”สุดยอด สวยงามมาก” คือมันสวยงามน่ากินมาก มีทั้ง Otoro, Uni, กุ้ง, ปลาไหลอย่างยาว เหมือนใน review ต่างๆ เป๊ะเลย
แต่พอกินเข้าไปแล้ว รู้สึกว่าข้าวเปรี้ยวมาก (ไม่รู้เป็นรสชาติเฉพาะของ Sushi Zanmai รึเปล่า) แล้วพวกปลาต่างๆ มันก็สดน่ะ
แต่รู้สึกจืดๆ (ไม่รู้ลิ้นผมเป็นอะไรรึเปล่า) ส่วน Otoro ก็ไม่เห็นละลายในปากแบบที่เค้าว่ากัน + ชิ้นมันบางๆ (แต่ยาวดี)
เอาเป็นสรุปว่ากินเหลือ และไม่ค่อยประทับใจกับมื้อแรกในญี่ปุ่นสักเท่าไร (เทียบกับร้าน Sushi Premium ที่เปิดกันคึกคักในบ้านเราแล้ว
รู้สึกว่าบ้านเราอร่อยกว่าแฮะ) มื้อนี้หมดไป 5,476 เยน
จากนั้นกลับมาที่โรงแรมส่งแฟนกับลูกเข้านอน ซึ่งทริปนี้ผมตั้งใจมากิน กิน และก็กินครับ ส่วนใหญ่ร้านดังๆ จะต้องยืนรอคิวนาน ผมก็จะไม่ได้กิน
เพราะไม่สะดวกเมื่อมีลูกมาด้วย ผมเลยออกมาตอนห้าทุ่ม เพื่อกิน Ichiran Ramen เพราะร้านเปิด 24ชั่วโมง ขนาดไปห้าทุ่มยังมีคนยืนรออยู่ 5 คนเลย
ครับ (แสดงว่าต้องอร่อยจริง) จริงๆ ผมอิ่มแล้วน่ะ แต่ในเมื่อกินตอนอื่นไม่ได้ ก็ต้องกินตอนนี้แหละครับ เลยจัดไป 1ชาม 790เยน สรุปอร่อยครับ
กินเกลี้ยง แต่ว่าชาชูชิ้นบางมากๆๆๆ แต่น้ำซุปกระดูกหมูอร่อย กลมกล่อมดี กินเสร็จกลับโรงแรมนอน (มื้อนี้ประทับใจ)
ต่อวันที่2 ครับจุดหมายคือ YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE
วันนี้ไปที่นี่เพื่อลูกเลยครับ เห็นว่าเป็น Aquarium ที่ใหญ่เป็นอันดับ2 ของญี่ปุ่น เดินทางโดยใช้ JR Keihin-Tohoku/Negishi Lineจาก Ueno
ไป Shin-Sugita ใช้เวลาประมาณ 60 นาที จากนั้นไปต่อรถไฟ Seaside Line จาก Shin-Sugita ไป Hakkeijima อีก 17 นาที โดยออกเดินทาง
ประมาณ 7 โมงกว่าๆ
อาหารเช้าที่ JR Ueno เลยครับ มีให้เลือกหลายร้าน ซึ่งผมดูจาก Tabelog ไปจบที่ร้านนี้ Kokusannihachi Sobakyouka ได้คะแนน 3.54
อยู่ในสถานี JR ชั้น3 เป็นร้านขายพวกโซบะ+เทมปุระ ที่นั่งเป็นแบบเคาน์เตอร์ โดยต้องหยอดเหรียญหน้าร้าน (มีรูปให้ดู)
แล้วเอาคูปองเข้าไปให้ในร้าน สั่งมา 2 อย่างเป็นโซบะร้อน+กุ้งเทมปุระ กับ โซบะเย็น+ผักชุปแป้งทอด กุ้งตัวใหญ่ดี ลูกกินหมดเลย
เส้นก็จืดๆ ไม่เละหรือแข็งไป ส่วนน้ำซุปอร่อย แต่ผักรวมทอด พอกินไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเลี่ยนๆ มื้อนี้เฉยๆ น่ะ ไม่ Fail สรุปว่าผ่าน
พอออกจากร้าน เดินอีกนิดเดียว ลงบันไดมา ก็ถึงชานชาลาที่จะไป Shin-Sugita เลย
ถึง YOKOHAMA HAKKEIJIMA SEA PARADISE คนไม่เยอะมาก (เสาร์ อาทิตย์น่าจะเยอะกว่านี้) ส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนมาทัศนะศึกษา
ผมซื้อบัตรแบบ 4 Aquarium Pass (ไม่รวมเครื่องเล่น) ราคาคนละ 3,000 เยน สามารถเข้าได้คือ
1. Aqua museum เป็น Aquarium แสดงสัตว์น้ำหลักๆ ของที่นี่ มีแสดงโชว์ปลาโลมา (คล้ายๆ ซาฟารีเวิร์ลบ้านเรา แต่บ้านเราคนพากย์สนุกมาก
มุกเยอะ ส่วนของญี่ปุ่นฟังไม่ออกครับ แต่เดาว่ามุกไม่เท่าบ้านเรา สังเกตจากคนญี่ปุ่นเองก็ไม่ค่อยขำสักเท่าไร ส่วนใหญ่เน้นปรบมือตาม)
ส่วน Highlight น่าจะอยู่ที่ฉลามวาฬขนาดใหญ่ ส่วนลูกผมชอบนกเพ็นกวินกับปลาโลมา
2. Umi Farm เป็นส่วนที่ยื่นไปในทะเล เน้นกิจกรรมต่างๆ เช่น ตกปลา จากนั้นเอามาทำอาหารกินกันเลย (มีทั้งย่างและทอด) หรือจะลงไปจับปลา
ซึ่งเค้าทำเป็นโซนตื้นๆ ให้ลงไปลุยจับในน้ำได้เลย (ขึ้นมาก็มีที่ล้างเท้าให้เรียบร้อย) หรือแบบเบาๆ ก็ให้อาหารปลา (เค้าจะมีตู้ให้หยอดเหรียญ)
3. Fureai Lagoon เป็นโซนที่ให้ใกล้ชิดกับปลาโลมา ให้สัมผัสปลาโลมาได้ (เป็นครั้งแรกที่ได้จับปลาโลมา ผิวมันลื่นๆ แข็งๆ แต่ก็หยุ่นๆ
ซึ่งลูกผมไม่กล้าจับ) และมีโชว์ปลาโลมาระบายสี คล้ายๆ กับช้างวาดรูปบ้านเรา แต่บ้านเราเก่งกว่า คือวาดเป็นรูปเลย ส่วนปลาโลมามันแค่ป้ายๆ
ไม่เป็นรูป
4. Dolphin Fantasy เป็นอุโมงค์ปลาโลมา แบบว่าสั้นมากๆ เข้าไปนิดเดียว แล้ววนออกเลย!!!
ส่วนรายละเอียดแต่ละจุด สามารถ download ได้จาก http://www.seaparadise.co.jp/english/
อ้อ... แล้วที่นี่ยังมี zone สวนสนุกอีกน่ะครับ มีทั้งหวาดเสียวและไม่หวาดเสียว
สรุปว่าที่นี่สามารถใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวันเลย
ส่วนอาหารกลางวัน ผมทานชั้น2 เดินออกจาก Aqua museum มาหน่อยก็เจอ (ก่อนลงบันไดไปชั้น1) ซึ่งชั้น1 ก็มี Food Court เหมือนกันน่ะครับ
อาหารที่สั่งก็มีชุดทงคัตสึ กับชุดเด็ก อาหารอร่อยตามมาตรฐาน แต่น้ำราดทงคัตสึเปรี้ยวไปหน่อย จากนั้นเดินลงมากิน Soft Cream ที่ Food Court
(มาญี่ปุ่นทุกที่ต้องมี Soft Cream เหมือนเป็นขนมประจำชาติไปแล้ว)
กว่าจะกลับก็เกือบเย็นแล้ว เดินกันเมื่อยมาก เหนื่อยด้วย เพราะเอารถเข็นไป บางทีลูกก็ไม่ย่อมนั่ง สรุปต้องจูงลูกด้วย แบกรถเข็นด้วย - -"
กลับมา Ueno ก็ไม่มีแสงแดดแล้ว เนื่องจากอากาศเริ่มเย็น มืดเร็ว ทุกคนอยากกลับโรงแรม ก็เลยซื้อข้าว ไก่ทอด ปลาทอดจาก Lawson
ใกล้ๆ โรงแรมมากๆ เข้ามากิน แต่ที่งงคือยื่นกล่องข้าวให้คนขาย แล้วบอกเค้าว่า “Microwave” เค้าไม่เข้าใจ งงๆ กันอยู่พักนึง ก็เลยเดินเข้าไปชี้
และทำท่าใส่เข้าไป เค้าถึงเข้าใจว่าเราจะให้อุ่นให้ สรุปมื้อนี้ก็จบไป ลูกกินได้เยอะ เพราะเป็นคนชอบข้าวกับพวกปลาทอดมาก
เนื่องจากยังคาใจ Sushi Zanmai เมื่อวาน คืนนี้พอแฟนกับลูกหลับ ก็เลยออกตามหา sushi อีกเจ้า ตามแผนที่ข้างบน (ทั้งๆ ที่อิ่มอยู่) นั่นก็คือ
ซูชิหน้ายักษ์ Miuramisaki นั่นเอง ขนาดไปสามทุ่มยังมีคนต่อคิวอยู่เลย แต่ไม่มาก และเนื่องจากผมไปคนเดียวเลยได้เข้าไปเร็ว เค้าคงเห็นเราไม่ใช่คน
ญี่ปุ่นแน่นอน เลยเอาเมนูมาให้ จะได้สั่งได้ง่ายๆ หน่อย (นอกเหนือจากในสายพาน) ผมเลยจัด Uni, Otoro และอีก 2 อย่างอะไรก็ไม่รู้หยิบมามั่วๆ
รสชาติของข้าวร้านนี้ดี ไม่เปรี้ยวเหมือน Sushi Zanmai ส่วน Uni มันก็เค็มๆ มันๆ แต่ก็เฉยๆ ส่วน Otoro ดีกว่า Sushi Zanmai แต่ก็ไม่ขนาดละลาย
ในปากน่ะ (คือละลายในปาก หมายถึงไม่ต้องเคี้ยวเลยใช่มั้ย คือมันไม่ใช่อ่ะ) สรุปดีกว่า Sushi Zanmai แต่ก็ไม่ได้ wow อะไรมากมาย
พอออกมาจากร้าน ก็เลยเดินเข้าไปสถานี JR Ueno แวะใน super market เห็นองุ่นลูกใหญ่ๆ เหมือนเคยอ่านว่าองุ่นขึ้นชื่อของญี่ปุ่นเป็นพันธุ์
เคียวโฮ(Kyoho) เลยเดาเอาเองว่าต้องเป็นอันนี้แน่ๆ (ป้ายมีแต่ภาษาญี่ปุ่น อ่านไม่ออก)
ราคาก็แพงเอาเรื่อง พวกนึง 1,382 เยน (ในขณะที่องุ่นสีเขียวลูกใหญ่ 800 กว่าเยน) พอกลับมากินคำแรก มันฉ่ำมาก น้ำเยอะ ไม่มีเม็ด
แต่มันเสียรึเปล่า??? เพราะรสชาติแปลกๆ คล้ายกับองุ่นเกือบเสีย+ลูกไหน แต่คิดว่าญี่ปุ่นมาตรฐานสูง คงไม่เอาของเสียมาขาย เลยกินต่อ