SPECTRE ถึงมันอาจจะไม่ใช่หนังที่ดีนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็คือหนังบอนด์



นับเป็นเวลา 13 ปีแล้ว ตั้งแต่ที่ Die Another Day หรือพยัคฆ์ร้ายท้ามรณะ เข้าฉายเมื่อปี 2002
ตั้งแต่เมื่อครั้งที่เพียร์ซ บรอสแนน รับบทเป็นเจมส์ บอนด์ 007 หลังจากนั้นแดเนียล เคร็ก ก็ได้ขึ้นเรือเปิดตัวมารับหน้าที่ต่อเมื่อปี 2005
หลังจากนั้นเป็นต้นมาใน Casino Royale (2006), Quantum of Solace (2008) และ Skyfall (2012) บอนด์ก็ต้องเผชิญชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอด
เริ่มจากการที่หนังพากลับไปรีสตาร์ทชีวิตสายลับใหม่ตั้งแต่ได้รับรหัส 00 พากลับไปเจอบ้านหลังเก่า วิ่งผ่านหลุมศพพ่อแอนดรูว์และแม่โมนีค
หนังทั้ง 3 เรื่องที่ผ่านมา ได้ทำหน้าที่พาคนดูหนังย้อนไปหาอะไรหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้หลายคนแทบจะไม่รู้จักอะไรเกี่ยวกับบอนด์เลย

และอีกสิ่งหนึ่งที่หนังได้ทำคือการลบภาพหนังบอนด์ตลอด 20 เรื่องก่อนหน้าไปเกือบหมดสิ้น
ขนบธรรมเนียมทุกอย่างเกี่ยวกับหนังบอนด์แทบหายไปทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ฉาก Gun Barrel ที่ถูกย้ายไปอยู่ก่อนเพลงเปิดบ้าง ไปอยู่ตอนจบเรื่องบ้าง
ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาคือผลตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากคนดูหนังในยุคนี้ที่ต้องการเห็นความจริงจัง เข้มข้น ความซับซ้อน ฯลฯ
จนในที่สุด SPECTRE ก็ได้มาทำลายภาพความคาดหวังของคนดูหนังในยุคนี้ไปแบบหมดสิ้น
นักวิจารณ์ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น รุมประนาม SPECTRE กันแบบไม่มีชิ้นดี ด้วยความที่บทอ่อนยวบยาบ หนังดูง่ายเกินไป ฯลฯ
ซึ่งไม่ผิดครับที่ SPECTRE จะโดนอย่างนั้น เพราะถ้าเรามองมันในฐานะหนังเรื่องหนึ่ง มันคือหนังที่แบนราบ ดูง่ายไปซะทุกอย่าง

ผมเป็นคนหนึ่งที่เข้าข่ายคนดูหนังสมัยนี้ ชอบดูหนังที่คิดเยอะๆ หักมุมหลายตลบได้ยิ่งดี แต่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นคนรักหนังบอนด์ด้วยเช่นกัน
SPECTRE สำหรับคนที่เข้าข่ายคนดูหนังสมัยนี้ อาจเป็นหนังที่ถูกรังเกียจ แต่สำหรับคนรักหนังบอนด์ยุคก่อนแดเนียล เคร็ก มันคือความสวยงาม
หากจะบอกข้อเสียของหนังเรื่องนี้คงไม่รู้จะยกตรงไหนมาพูดดี เพราะมันมีเยอะแยะไปหมด และหลายกระทู้ก็ได้พูดกันไปบ้างแล้ว
แต่ถ้ามองมันในฐานะหนังบอนด์เรื่องหนึ่งแล้ว มันก็มีหลายอย่างเช่นกัน

SPECTRE คือหนังบอนด์ที่มาถูกที่ถูกเวลาสำหรับคนรุ่นเก่า คนรักหนังบอนด์ยุคก่อนแดเนียล เคร็ก
หนังเรื่องนี้ช่วยกระตุกความทรงจำของคนเหล่านั้นกลับมาให้คิดถึงและระลึกได้ว่าหนังบอนด์ที่เคยรู้จักกันมันเป็นอย่างไร
หนังเรื่องนี้ได้นำฉาก Gun Barrel กลับมาไว้ในจุดที่มันควรจะอยู่ และตามด้วยฉากแอ็คชั่นที่ระทึกใจกับการต่อสู้กันบนเฮลิคอปเตอร์
เพลงและฉากประกอบเพลงที่ดูขึงขัง ลึกลับ และทรงพลัง พร้อมกับเล่าถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องไปพร้อมๆ กัน
รวมไปถึงการดำเนินเรื่องตามสูตรสำเร็จหนังบอนด์ ที่แม้แต่คนรักหนังบอนด์ยังแทบจะลืมไปแล้วว่ามันเป็นอย่างไร
แถมด้วยการนำองค์กรที่เป็นคู่รักคู่แค้นกับบอนด์มายาวนานที่สุดกลับมา พร้อมกับเสนอความเป็นมาแบบใหม่ให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม แนวทางหนังทุกวันนี้แทบจะครอบงำความคิดคนดูไปในแนวทางเดียวกัน
คือแม้แต่ในตอนจบผมยังเผลอลุ้นว่านางเอกจะตายหรือมีหักมุมอะไรอีกมั้ย
ทั้งที่โลกของหนังมันไม่จำเป็นจะต้องเลวร้ายอย่างในความคิดคนเราสมัยนี้เสมอไป
SPECTRE ช่วยกระตุกความคิดผมกลับมาว่านี่มันหนังบอนด์นะ แค่ธรรมะชนะอธรรมก็พอแล้ว ทุกคนจบแบบมีความสุขก็พอแล้ว

หนังบอนด์แนวที่ผมชอบคือแนวอาชญากรรมที่มีอยู่จริงในยุค 80 อย่าง Licence To Kill ซึ่งเล่าเรื่องปัญหายาเสพติด การคอร์รัปชั่น
ผมจึงเชื่อว่าในวันข้างหน้า SPECTRE คงไม่ใช่หนังบอนด์ที่ผมจะหยิบขึ้นมาดูบ่อยนัก
แต่วันนี้ผมรัก SPECTRE ผมไปดูรอบแรกผมรู้สึกสนุกและยิ้มไปกับมัน รอบที่สองผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม
ถ้าไม่ติดว่าตั๋วหนังสมัยนี้มันแพงเหลือเกิน ผมก็คงจะไปดูอีกซักรอบ (อาจจะเว้นไปซักสัปดาห์และไปรอดูวันพุธ)
ด้วยความที่มันเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน มานั่งคุยกันเรื่องเก่าๆ ที่เคยมีความสุขกับมัน แค่นี้ก็รู้สึกว่า SPECTRE ให้ผมมากพอแล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่