ผมเห็นคนที่ชอบสายกรรมฐาน จะมีนิสัย (อีโก้) หลงตัวเองนิดๆ ( จริงๆไม่นิด ) ว่าเรามีระดับ เราแน่เรารู้ลึกอะไรประมาณนี้ ของเราชัวร์เราถูกแน่นอน และพอเจอใครเห็นต่างส่วนใหญ่ที่ผมเจอก็จะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ยิ่งถ้ามาเจอคำถามจี้ใจดำที่หาเหตุผลมาหักล้างไม่ได้ เผลอๆน๊อตหลุด สาปแช่งใส่ร้ายด่าทอผมเจอมาเยอะ ผมนะ นั่งสมาธิไม่บ่อย จะนั่งเฉพาะ ตอนที่ทำใจให้สงบเองตามปกติไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ผมก็ใจเย็นกว่าพวกเขาเยอะ ปล่อยวางง่ายกว่าพวกเขาเยอะ ใจกว้างกว่าพวกเขาเยอะ ( นั่งตั้งนานทำไมยิ่งนั่งตัวตนยิ่งเยอะ ) ส่วนผมรับทุกความเห็น ที่แย้งกับสิ่งที่ผมเข้าใจมาพิจารณาทดลองว่าจริงไม่จริงอย่างไร แต่ผมเห็นเพื่อนที่นั่งสายกรรมฐาน ถ้าไปไม่เป็น จะด่าว่าเป็นมิจฉาทิฐิ แถมไม่อธิบายด้วยมิจฉาทิฐิยังไงทำได้แค่อ้างหนังสือ หรือไม่ก็เน้นแปะเยอะแบบ คุณ เฉลิมศักดิ์ ไม่รู้ยังเล่นอยู่ไหม หรือไม่ก็กล่าวหาว่าเป็นพวกทำลายศาสนา หรือ ขุดเรื่องอื่นที่ไม่ตรงประเด็นขึ้นมาด่า อย่างที่ท่านพุทธทาสโดนบ่อยๆ เช่น ไปว่าท่านเลี้ยงหมาเลี้ยงนก ( มันไม่เกี่ยวกับที่คุยเลย ) เรียกง่ายๆ คือ พยายามดิสเครดิต คนที่เห็นต่าง แทนที่จะอธิบายให้ตรงประเด็น อาการแบบนี้ ทาง จิตเวท เรียกว่ากลไกป้องกันตนเอง คือ ต้องการรักษาความเชื่อของตนไว้ ไม่เปิดใจรับความเห็นต่างมาพิจารณา ตั้งป้อมปิดประตูไว้ก่อน
ซึ่งมันคนละแนวกับพระพุทธเจ้า เวลาที่ท่านเจอความเห็นต่าง ท่านจะรับมาพิจารณาแล้วทำความเข้าใจ และก็อธิบายชี้ชัดลงในประเด็นนั้น ว่าถูกไม่ถูกอย่างไร เพราะอะไร แถม พระพุทธเจ้ายังสอนสาวกด้วยว่าเวลาใครวิจารณ์ ตถาคต ให้ทำใจให้สงบอย่าโกรธแล้วพิจารณาว่าสิ่งที่เขาว่า ถูกไม่ถูกอย่างไร
ทีนี้มาเข้าประเด็นของกระทู้ ผมจะรวมสิ่งที่ผมเจอคนสายนี้ชอบบิดเบือนพระธรรม
1. พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เพราะ สะสมบารมี ( ไม่ได้ตรัสรู้เพราะ ค้นพบทางสายกลาง ตามพุทธประวัติ )
2. ทางสายกลาง มีแบบทางโลก และ ทางธรรม บางคนหนักขนาด บอกว่า สายกลางเพี้ยน สายกลางไม่มีในพุทธ แต่พอให้อธิบายว่า
ต่างกันแบบไหน ส่วนใหญ่จะใบ้กิน หรือไม่ก็พาออกทะเล )
3. กาลามสูตร 10 สอนว่าอย่าปลงใจเชื่อ คนพวกนี้ก็จะบิดเบือนเป็น อย่าเพิ่งเชื่อ หรือ ให้เชื่อวิญญูชน
4. การถือศีล ทำให้เป็นคนมีระดับ ( จริงๆศีล แปลว่า ปกติ เป็นเครื่องมือช่วยให้ใจสงบ ไม่ได้เป็น ข้อห้าม ที่ใครถือเยอะยิ่งเก่งยิ่งแน่ ได้บุญเยอะ
แต่บางคน บอกถือศีล 200 กว่าข้อ แต่โกรธง่าย สงบใจไม่เป็น ไม่รู้จะถือทำไมยังงั้น )
5. จาก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน บิดเบือนเป็น คนเราต้องพึ่งบุญ เวลาเจอปัญหาโทษกรรมเก่า วิธีแก้ปัญหาทำบุญ ยกตัวอย่าง เช่นคนมี ปัญหา สามีไม่เข้าบ้าน เพื่อนฝูงไม่รัก วิธีแก้ปัญหาของคนสายนี้คือ เพราะอดีตชาติที่จำไม่ได้ คุณได้เคยไปหลอกคนอื่นไว้ วิธีแก้ คือทำบุญจบ โอยผมจะบ้าตาย เอาหลักอยู่กับปัจจุบัน ของพระพุทธเจ้าไปทิ้งไหน หลักอิทิปปัจยตาเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ไปเก็บไว้ไหน สามีไม่เข้าบ้าน ก็ต้องยอมรับความจริงทุกมุม ว่าเราเป็นคนเห็นแก้ตัว เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรือเปล่า ลูกๆกับสามีถึงต้องออกไปข้างนอก เพื่อนๆไม่รักเพราะ เราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยกลัวได้เปรียบเสียเปรียบมากไปหรือป่าว วิธีแก้ปัญหาแบบพุทธ เริ่มแรกคือยอมรับความจริง วิธีแก้คือปล่อยวางตัวตนที่ทำให้เกิดปัญหาเกิดทุกข์และสุดท้ายก็คือปล่อยวางผลลัพธ์
6. อันนี้หนักสุด คือ บิดเบือนว่า ความเข้าใจ หรือ ปัญญาจะเกิดได้ ตอนบรรลุอรหันต์ ตอนนี้ นั่งๆเพ่งๆไปก่อน อย่าไปสงสัย อย่าไปคิดพิจารณา ต้องนั่งหรือทำบุญ สะสมพลังงานเยอะๆ แล้วจะสำเร็จเอง ไม่สำเร็จชาตินี้ร้อยชาติก็สำเร็จ ( ถามจริงๆสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าสอนใครแบบนี้มั่งไหม ตัวพระพุทธเจ้า นั่งทรมานตัวเองมา 7 ปี พอเริ่มพิจารณา ครูสอนดนตรี สอนเรื่องสายกลาง ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม แต่ อนิจจัง คนสายนี้สอนให้นั่งอย่าไปสงสัย อย่าไปใช้ความคิด เดวเข้าใจเองตอนเป็น อรหันต์ ในพุทธประวัติ เห็นมีแต่พระพุทธเจ้า ใช้คำสอนให้คนคิดตามทำความเข้าใจทั้งนั้น มีสาวกคนไหนไหม ที่พระพุทธเจ้าไล่ไปนั่ง เพ็งๆนะ เห็นแสงนู้นนี่นั่น แล้ว ชาติหน้าจะดับทุกข์ )
7. ชีวิตจะมีความสุข เพราะ พลังของบุญ จะดลบันดาลให้สมหวัง ปัญหาต่างๆก็จะหลีกไกล ตายไปก็ได้ขึ้นสวรรค์ ชาติหน้าก็รวย ก็สวย ทั้งที่ความจริงพระพุทธเจ้า สอนว่าทุกอย่างเป็น กระแสแห่งเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด พิจารณาเป็นลำดับเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ เพราะชาติที่แล้วที่จำไม่ได้ ส่งผลให้ชาตินี้ วิธีแก้รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็สอนให้อยู่กับปัจจุบัน แต่คนสายนี้ วันๆก็ ชาติหน้า ชาติที่แล้วไปถึงยุค คลีเตเชียส เผลอไปเลยไปก่อนเกิด บิกแบงค์ (ไม่ได้โม้ เพราะคุยกันเป็น อสงไขย เป็นกัปเป็นกัลเนาะ)
จริงๆ ผมว่าเยอะกว่านี้ เดวนึกได้จะเอามาเติมให้ใหม่ ( ขนาด คนในแวดวง ยังออกทะเลขนาดนี้ ยังจะไปประกาศ ว่าจะเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ อย่าเลย บิดเบือนขนาดนี้ ไปทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมเปล่าๆ ใจจริงผมอยากให้ประเทศ เราประกาศไปเลยนะ ว่าเรากระแดะเป็นพุทธ ชาวโลกประเทศอื่นเขาจะได้มีโอกาสได้ลิ้มรสพระธรรมบ้าง เพราะ คนไม่มีศาสนาในโลกนี้ มีเป็นพันล้าน พวกเขาเหล่านี้ใช้เหตุผล เหมาะ กับ พุทธศาสนาเป็ฯที่สุด )
ขอคุยกับ เพื่อนที่เป็นสาย กรรมฐานหน่อยครับ ( อยากรู้ว่า ชอบบิดเบือนพระธรรมเหมือนกันทุกคนไหม )
ซึ่งมันคนละแนวกับพระพุทธเจ้า เวลาที่ท่านเจอความเห็นต่าง ท่านจะรับมาพิจารณาแล้วทำความเข้าใจ และก็อธิบายชี้ชัดลงในประเด็นนั้น ว่าถูกไม่ถูกอย่างไร เพราะอะไร แถม พระพุทธเจ้ายังสอนสาวกด้วยว่าเวลาใครวิจารณ์ ตถาคต ให้ทำใจให้สงบอย่าโกรธแล้วพิจารณาว่าสิ่งที่เขาว่า ถูกไม่ถูกอย่างไร
ทีนี้มาเข้าประเด็นของกระทู้ ผมจะรวมสิ่งที่ผมเจอคนสายนี้ชอบบิดเบือนพระธรรม
1. พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เพราะ สะสมบารมี ( ไม่ได้ตรัสรู้เพราะ ค้นพบทางสายกลาง ตามพุทธประวัติ )
2. ทางสายกลาง มีแบบทางโลก และ ทางธรรม บางคนหนักขนาด บอกว่า สายกลางเพี้ยน สายกลางไม่มีในพุทธ แต่พอให้อธิบายว่า
ต่างกันแบบไหน ส่วนใหญ่จะใบ้กิน หรือไม่ก็พาออกทะเล )
3. กาลามสูตร 10 สอนว่าอย่าปลงใจเชื่อ คนพวกนี้ก็จะบิดเบือนเป็น อย่าเพิ่งเชื่อ หรือ ให้เชื่อวิญญูชน
4. การถือศีล ทำให้เป็นคนมีระดับ ( จริงๆศีล แปลว่า ปกติ เป็นเครื่องมือช่วยให้ใจสงบ ไม่ได้เป็น ข้อห้าม ที่ใครถือเยอะยิ่งเก่งยิ่งแน่ ได้บุญเยอะ
แต่บางคน บอกถือศีล 200 กว่าข้อ แต่โกรธง่าย สงบใจไม่เป็น ไม่รู้จะถือทำไมยังงั้น )
5. จาก ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน บิดเบือนเป็น คนเราต้องพึ่งบุญ เวลาเจอปัญหาโทษกรรมเก่า วิธีแก้ปัญหาทำบุญ ยกตัวอย่าง เช่นคนมี ปัญหา สามีไม่เข้าบ้าน เพื่อนฝูงไม่รัก วิธีแก้ปัญหาของคนสายนี้คือ เพราะอดีตชาติที่จำไม่ได้ คุณได้เคยไปหลอกคนอื่นไว้ วิธีแก้ คือทำบุญจบ โอยผมจะบ้าตาย เอาหลักอยู่กับปัจจุบัน ของพระพุทธเจ้าไปทิ้งไหน หลักอิทิปปัจยตาเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี ไปเก็บไว้ไหน สามีไม่เข้าบ้าน ก็ต้องยอมรับความจริงทุกมุม ว่าเราเป็นคนเห็นแก้ตัว เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่หรือเปล่า ลูกๆกับสามีถึงต้องออกไปข้างนอก เพื่อนๆไม่รักเพราะ เราเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยกลัวได้เปรียบเสียเปรียบมากไปหรือป่าว วิธีแก้ปัญหาแบบพุทธ เริ่มแรกคือยอมรับความจริง วิธีแก้คือปล่อยวางตัวตนที่ทำให้เกิดปัญหาเกิดทุกข์และสุดท้ายก็คือปล่อยวางผลลัพธ์
6. อันนี้หนักสุด คือ บิดเบือนว่า ความเข้าใจ หรือ ปัญญาจะเกิดได้ ตอนบรรลุอรหันต์ ตอนนี้ นั่งๆเพ่งๆไปก่อน อย่าไปสงสัย อย่าไปคิดพิจารณา ต้องนั่งหรือทำบุญ สะสมพลังงานเยอะๆ แล้วจะสำเร็จเอง ไม่สำเร็จชาตินี้ร้อยชาติก็สำเร็จ ( ถามจริงๆสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าสอนใครแบบนี้มั่งไหม ตัวพระพุทธเจ้า นั่งทรมานตัวเองมา 7 ปี พอเริ่มพิจารณา ครูสอนดนตรี สอนเรื่องสายกลาง ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม แต่ อนิจจัง คนสายนี้สอนให้นั่งอย่าไปสงสัย อย่าไปใช้ความคิด เดวเข้าใจเองตอนเป็น อรหันต์ ในพุทธประวัติ เห็นมีแต่พระพุทธเจ้า ใช้คำสอนให้คนคิดตามทำความเข้าใจทั้งนั้น มีสาวกคนไหนไหม ที่พระพุทธเจ้าไล่ไปนั่ง เพ็งๆนะ เห็นแสงนู้นนี่นั่น แล้ว ชาติหน้าจะดับทุกข์ )
7. ชีวิตจะมีความสุข เพราะ พลังของบุญ จะดลบันดาลให้สมหวัง ปัญหาต่างๆก็จะหลีกไกล ตายไปก็ได้ขึ้นสวรรค์ ชาติหน้าก็รวย ก็สวย ทั้งที่ความจริงพระพุทธเจ้า สอนว่าทุกอย่างเป็น กระแสแห่งเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด พิจารณาเป็นลำดับเป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่ เพราะชาติที่แล้วที่จำไม่ได้ ส่งผลให้ชาตินี้ วิธีแก้รอชาติหน้าตอนบ่ายๆ ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าก็สอนให้อยู่กับปัจจุบัน แต่คนสายนี้ วันๆก็ ชาติหน้า ชาติที่แล้วไปถึงยุค คลีเตเชียส เผลอไปเลยไปก่อนเกิด บิกแบงค์ (ไม่ได้โม้ เพราะคุยกันเป็น อสงไขย เป็นกัปเป็นกัลเนาะ)
จริงๆ ผมว่าเยอะกว่านี้ เดวนึกได้จะเอามาเติมให้ใหม่ ( ขนาด คนในแวดวง ยังออกทะเลขนาดนี้ ยังจะไปประกาศ ว่าจะเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ อย่าเลย บิดเบือนขนาดนี้ ไปทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมเปล่าๆ ใจจริงผมอยากให้ประเทศ เราประกาศไปเลยนะ ว่าเรากระแดะเป็นพุทธ ชาวโลกประเทศอื่นเขาจะได้มีโอกาสได้ลิ้มรสพระธรรมบ้าง เพราะ คนไม่มีศาสนาในโลกนี้ มีเป็นพันล้าน พวกเขาเหล่านี้ใช้เหตุผล เหมาะ กับ พุทธศาสนาเป็ฯที่สุด )