เราเป็นนักเดินทาง ขึ้นอีสาน ล่องใต้ต้องนั่งเครื่องบิน บินตรงจากภูเก็ต มา อุดรฯ เป็นประจำ ครั้งล่าสุดไฟลท์เมื่อเดือนที่แล้ว
ที่นั่งของเราอยู่แถว H (ริมทางเดิน) ส่วนที่นั่งข้างๆติดหน้าต่างเป็นของคุณแม่สาวสวยกับลูกสาวแสนซนวัยสองขวบกว่า
ที่นี้เจ้าน้องเด็กผู้หญิงน่ะ ซนจริงๆนะซนยิ่งกว่าลิงและก็เอาแต่ใจน่าดู ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ไม่ฟัง นางดื้อมากดื้อเกินใครในสยามประเทศ
ถึงตอนที่เครื่องจะออก นางก็ไม่ยอมนั่งนิ่งๆรัดเข็มขัดเหมือนเด็กคนอื่นเค้า แม้ผู้เป็นแม่จะพูดยังไง ทั้งปลอบ ทั้งดุ ทั้งบังคับขู่เข็ญยังไง
นางก็ไม่ฟัง ยังคงปีนป่ายเบาะที่นั่งเล่นไม่สนใจใคร คนเป็นแม่เลยตีแขนทีหนึ่งเต็มแรงอย่างเหลืออด ทีนี้น้องก็คงทั้งเจ็บและเงิบมั๊ง
ทำหน้าเหรอหราอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแหกปากร้องไห้เสียงดังลั่น แล้วก็ทำตัวอ่อนแบบมนุษย์ไม่มีกระดูกมุดลงไปนอนอยู่กับพื้นไม่ยอมขึ้น
มานั่งบนที่นั่งและรัดเข็มขัดตามที่คุณแม่แสนสวยสั่ง
เราเองก็อดรนทนนิ่งเฉยเสียไม่ได้ เลยพูดแกมดุนิดๆกับน้องแถมติดสินบนด้วยว่า ถ้าน้องนั่งนิ่งๆรัดเข็มขัดกับที่แล้ว หลังจากเครื่องบินขึ้น
ถ้าเค้ามาขายขนมพี่จะซื้อให้ โห... พี่เลยรึ (ฮา)
มันได้ผลค่ะท่านผู้ชม ... น้องหยุดร้องและยอมนั่งนิ่งๆให้รัดเข็มขัดแต่โดยดี !!
ทีนี้กรรมหนักมันก็มาตกอยู่ที่ตัวอิชั้นสิคะ น้องจอมซนยึดถือเอาเราเป็นที่พึ่งทางใจ นางก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เค้าจะมาขายขนมเสียที
ส่วนสาวผู้เป็นคุณแม่แสนสวย เธอก็นั่งไขว่ห้างเหม่อมองนอกหน้าต่างกินลมชมวิวเมฆหมอก แสงแดดและสายรุ้ง ประดุจนางเอก MV
ชีกำลังตกอยู่ในภวังค์อย่างดื่มด่ำ ปล่อยให้นังแนนนี่สู้รบตบมือกับยัยแสนซนตามลำพังป่ะ
พอเครื่องบินลอยลำเข้าสู่เพดานบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พนักงานต้อนรับก็มาขายอาหารเครื่องดื่มให้ผู้โดยสารตามปกติ
พอเห็นดังนั้น ยัยแสนซนก็กรี๊ดดังลั่น พร้อมกับละทิ้งที่นั่ง วิ่งออกไปที่ทางเดินไปขวางทางรถเข็นของพนักงาน พร้อมทั้ง
ปีนป่ายจะหาขนมแบบที่นางปรารถนา พอคว้าได้แล้วก็วิ่งๆๆๆ วิ่งไปวิ่งมาบนทางเดินของเครื่องนั่นล่ะ ตั้งแต่หัวเครื่อง
ยันท้ายเครื่อง มิวายที่พนักงานจะห้ามปราม พอเค้าถามหาผู้ปกครอง ก็แม่ของหล่อนนั่นล่ะ นางก็ชี้มายังเรา อ้าว เวรละ!
สจ๊วตพายัยแสนซนมาส่งที่เรา เพราะเค้าคิดว่าเราคือแม่ของเด็กพร้อมกับเก็บค่าขนม โอเค เราก็จ่ายให้เพราะเราบอกไปแล้ว
แต่มันไม่จบแค่นั้น ยัยจ๋อก็ยังเดินหน้าก่อวีรกรรม พอคล้อยหลังสจ๊วต ยัยจ๋อก็ออกไปวิ่งๆ เต้นๆ อยู่กลางลำอีก พร้อมแหกปากทั้งร้อง
ทั้งกรี๊ด แล้วไปมุดเข้ามุดออกในแถวผู้โดยสารอื่นๆ ซึ่งผู้โดยสารคนอื่นเค้าก็มองมาที่เราเป็นตาเดียว ประหนึ่งว่า
“เฮ้ย ! ทำไมคุณเมิงไม่มาดูแลลูกฟะ ปล่อยให้สร้างความรำคาญกับคนอื่นอยู่ได้”
ไอ้เราก็กระอักกระอ่วน พยายามบอกผู้โดยสารคนอื่นว่า เราไม่ใช่คุณแม่ของยัยจ๋อนะ นู่น คุณแม่ของยัยจ๋อคือคนที่นั่งทำ MV
อยู่ข้างหน้าต่างนู่น และชีก็มิได้นำพาลูกสาวแสนซนของชีเล๊ย ให้ตายเหอะ
แล้วช่วงไฮไลท์ก็มาถึง เมื่อกัปตันประกาศบอกให้ผู้โดยสารทุกคนนั่งประจำที่และรัดเข็มขัด เพราะขณะนี้ เครื่องบินของเรา
กำลังเข้าสู่สภาวะอากาศที่กำลังแปรปรวน ...
แย่แล้ว ยัยจ๋อของบ่าวหายไปไหน ! เอาล่ะสิ แล้วเราก็หันไปบอกคุณแม่แสนสวยว่า ยัยจ๋อหายไป คุณแม่เธอก็ละสายตาจาก
นอกหน้าต่างมาชะเง้อคอมองหายัยจ๋อ เมื่อไม่เห็นเธอก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวพนักงานเค้าคงจะพามาส่งเองแหละ
ว่าแล้วเธอก็หันหน้าไปมองเหม่อนอกหน้าต่างตามเดิม ...
“เอ่อ คุณพี่ครับกรุณาดูแลเด็กในความดูแลหน่อยนะครับ ปล่อยให้ไปวิ่งเล่นแบบนี้บนเครื่อง อันตรายนะครับ ต้องรบกวนด้วย”
สจ๊วตคนนั้นเดินจูงมือยัยจ๋อพามาส่งให้ดิฉันและพูดเสียงค่อนข้างห้วนและดังได้ยินกันไปทั่ว พร้อมกับสายตาของผู้โดยสาร
เป็นร้อยที่จ้องมองมาที่เราอย่างตำหนิเหยียดหยาม เรานี่ได้แต่จุกพูดไรไม่ออก ตากระพริบปริบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียง
ออกมาอย่างกึกก้องแต่หากผ่านริมฝีปากเบาๆว่า
“ขอโทษค่ะ”
* * * * * เมื่อเราต้องเป็น คุณแม่จำเป็น * * * * *
ที่นั่งของเราอยู่แถว H (ริมทางเดิน) ส่วนที่นั่งข้างๆติดหน้าต่างเป็นของคุณแม่สาวสวยกับลูกสาวแสนซนวัยสองขวบกว่า
ที่นี้เจ้าน้องเด็กผู้หญิงน่ะ ซนจริงๆนะซนยิ่งกว่าลิงและก็เอาแต่ใจน่าดู ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ไม่ฟัง นางดื้อมากดื้อเกินใครในสยามประเทศ
ถึงตอนที่เครื่องจะออก นางก็ไม่ยอมนั่งนิ่งๆรัดเข็มขัดเหมือนเด็กคนอื่นเค้า แม้ผู้เป็นแม่จะพูดยังไง ทั้งปลอบ ทั้งดุ ทั้งบังคับขู่เข็ญยังไง
นางก็ไม่ฟัง ยังคงปีนป่ายเบาะที่นั่งเล่นไม่สนใจใคร คนเป็นแม่เลยตีแขนทีหนึ่งเต็มแรงอย่างเหลืออด ทีนี้น้องก็คงทั้งเจ็บและเงิบมั๊ง
ทำหน้าเหรอหราอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแหกปากร้องไห้เสียงดังลั่น แล้วก็ทำตัวอ่อนแบบมนุษย์ไม่มีกระดูกมุดลงไปนอนอยู่กับพื้นไม่ยอมขึ้น
มานั่งบนที่นั่งและรัดเข็มขัดตามที่คุณแม่แสนสวยสั่ง
เราเองก็อดรนทนนิ่งเฉยเสียไม่ได้ เลยพูดแกมดุนิดๆกับน้องแถมติดสินบนด้วยว่า ถ้าน้องนั่งนิ่งๆรัดเข็มขัดกับที่แล้ว หลังจากเครื่องบินขึ้น
ถ้าเค้ามาขายขนมพี่จะซื้อให้ โห... พี่เลยรึ (ฮา)
มันได้ผลค่ะท่านผู้ชม ... น้องหยุดร้องและยอมนั่งนิ่งๆให้รัดเข็มขัดแต่โดยดี !!
ทีนี้กรรมหนักมันก็มาตกอยู่ที่ตัวอิชั้นสิคะ น้องจอมซนยึดถือเอาเราเป็นที่พึ่งทางใจ นางก็เฝ้ารอว่าเมื่อไหร่เค้าจะมาขายขนมเสียที
ส่วนสาวผู้เป็นคุณแม่แสนสวย เธอก็นั่งไขว่ห้างเหม่อมองนอกหน้าต่างกินลมชมวิวเมฆหมอก แสงแดดและสายรุ้ง ประดุจนางเอก MV
ชีกำลังตกอยู่ในภวังค์อย่างดื่มด่ำ ปล่อยให้นังแนนนี่สู้รบตบมือกับยัยแสนซนตามลำพังป่ะ
พอเครื่องบินลอยลำเข้าสู่เพดานบินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พนักงานต้อนรับก็มาขายอาหารเครื่องดื่มให้ผู้โดยสารตามปกติ
พอเห็นดังนั้น ยัยแสนซนก็กรี๊ดดังลั่น พร้อมกับละทิ้งที่นั่ง วิ่งออกไปที่ทางเดินไปขวางทางรถเข็นของพนักงาน พร้อมทั้ง
ปีนป่ายจะหาขนมแบบที่นางปรารถนา พอคว้าได้แล้วก็วิ่งๆๆๆ วิ่งไปวิ่งมาบนทางเดินของเครื่องนั่นล่ะ ตั้งแต่หัวเครื่อง
ยันท้ายเครื่อง มิวายที่พนักงานจะห้ามปราม พอเค้าถามหาผู้ปกครอง ก็แม่ของหล่อนนั่นล่ะ นางก็ชี้มายังเรา อ้าว เวรละ!
สจ๊วตพายัยแสนซนมาส่งที่เรา เพราะเค้าคิดว่าเราคือแม่ของเด็กพร้อมกับเก็บค่าขนม โอเค เราก็จ่ายให้เพราะเราบอกไปแล้ว
แต่มันไม่จบแค่นั้น ยัยจ๋อก็ยังเดินหน้าก่อวีรกรรม พอคล้อยหลังสจ๊วต ยัยจ๋อก็ออกไปวิ่งๆ เต้นๆ อยู่กลางลำอีก พร้อมแหกปากทั้งร้อง
ทั้งกรี๊ด แล้วไปมุดเข้ามุดออกในแถวผู้โดยสารอื่นๆ ซึ่งผู้โดยสารคนอื่นเค้าก็มองมาที่เราเป็นตาเดียว ประหนึ่งว่า
“เฮ้ย ! ทำไมคุณเมิงไม่มาดูแลลูกฟะ ปล่อยให้สร้างความรำคาญกับคนอื่นอยู่ได้”
ไอ้เราก็กระอักกระอ่วน พยายามบอกผู้โดยสารคนอื่นว่า เราไม่ใช่คุณแม่ของยัยจ๋อนะ นู่น คุณแม่ของยัยจ๋อคือคนที่นั่งทำ MV
อยู่ข้างหน้าต่างนู่น และชีก็มิได้นำพาลูกสาวแสนซนของชีเล๊ย ให้ตายเหอะ
แล้วช่วงไฮไลท์ก็มาถึง เมื่อกัปตันประกาศบอกให้ผู้โดยสารทุกคนนั่งประจำที่และรัดเข็มขัด เพราะขณะนี้ เครื่องบินของเรา
กำลังเข้าสู่สภาวะอากาศที่กำลังแปรปรวน ...
แย่แล้ว ยัยจ๋อของบ่าวหายไปไหน ! เอาล่ะสิ แล้วเราก็หันไปบอกคุณแม่แสนสวยว่า ยัยจ๋อหายไป คุณแม่เธอก็ละสายตาจาก
นอกหน้าต่างมาชะเง้อคอมองหายัยจ๋อ เมื่อไม่เห็นเธอก็บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวพนักงานเค้าคงจะพามาส่งเองแหละ
ว่าแล้วเธอก็หันหน้าไปมองเหม่อนอกหน้าต่างตามเดิม ...
“เอ่อ คุณพี่ครับกรุณาดูแลเด็กในความดูแลหน่อยนะครับ ปล่อยให้ไปวิ่งเล่นแบบนี้บนเครื่อง อันตรายนะครับ ต้องรบกวนด้วย”
สจ๊วตคนนั้นเดินจูงมือยัยจ๋อพามาส่งให้ดิฉันและพูดเสียงค่อนข้างห้วนและดังได้ยินกันไปทั่ว พร้อมกับสายตาของผู้โดยสาร
เป็นร้อยที่จ้องมองมาที่เราอย่างตำหนิเหยียดหยาม เรานี่ได้แต่จุกพูดไรไม่ออก ตากระพริบปริบๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียง
ออกมาอย่างกึกก้องแต่หากผ่านริมฝีปากเบาๆว่า
“ขอโทษค่ะ”