ไปคนเดียว เที่ยวรถไฟฟรี มีโบกรถ...สถานีสุดท้ายเชียงใหม่!!!

เพี้ยนออกทริปรถไฟฟรี สู่จุดสูงสุดประเทศไทย...สถานีสุดท้ายเชียงใหม่!!!เพี้ยนแช๊ะ
ไปคนเดียว เที่ยวรถไฟฟรี มีโบกรถ วันที่ 21-24 ตค. 58




ทริปนี้ตั้งใจจะอำลารถไฟฟรี แต่เห็นว่ากำลังจะต่ออายุ ถ้าเป็นจริงก็กระโดด ตีเกลียวสามรอบเลยครับ ดีใจมาก
รอบนี้ไม่ได้มารีวิวนะ แต่จะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังครับ ^^


นานาเดินทาง...ทิ้งท้ายรถไฟฟรีไปให้ไกลที่สุด...สถานีสุดท้ายเชียงใหม่...นานาเดินทาง


รถไฟฟรีเริ่มวิ่งมาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ฟรียาวนานถึง 7 ปี จนถึงบัดนี้ อาจจะลงในสิ้นตุลาคม พ.ศ. 2558 นี้
ผมว่ารถไฟฟรีมันเข้าถึงคนที่รายได้น้อยจริงๆ ถ้าได้ต่ออายุ "ฟรี" ต่อไปก็คงดี และเป็นพาหนะที่คลาสสิคในการเดินทางสำหรับผมมาก
ไปเรื่อยๆ ชมวิวข้างทาง เพลินมาก ได้ดูคนนู้นคนนี้ ทำกิจกรรมต่างๆ บนรถไฟ ได้มองเห็นสิ่งรอบตัวมากกว่าพาหนะอื่น อย่างรถทัวร์ หรือเครื่องบิน
ผมใช้บริการรถไฟฟรี ไปมาก็หลายที่อย่าง ชัยภูมิ-ทุ่งดอกกระเจียว ครั้งแรกที่ผมเริ่มเดินทางคนเดียว อยุธยาอีก 2 ครั้ง ล่าสุดประจวบคีรีขันธ์
เริ่มแรกที่นั่งรถไฟคือตอนไปเรียนมหาลัย เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด ทุกเช้า เที่ยวละ 3 บาท อาจจะเป็นเพราะนั่งบ่อย เลยคุ้นเคย เคยชิน และก็ประทับใจ ไม่เคยเจอเหตุการณ์อะไรเลย

ตื่นเต้นสุดก็มีแค่คนมานั่งสวดอะไรข้างๆ แค่นั้น แต่คนนั้นเค้าก็พูดจากรู้เรื่องน่ะ เพราะเราได้คุยกันเล็กน้อย ก่อนเค้าจะเริ่มสวด...กรี๊สสสสสสส

พร่ำเพ้อถึงรถไฟฟรีมาพอสมควร ทริปต่อๆ ไป ก็นั่งรถไฟเสียตังกันต่อนะ (ถ้าเค้าไม่ต่ออายุอ่าน่ะ) มาเริ่มเดินทางกันดีกว่า...เพี้ยนลุยเพี้ยนลุยเพี้ยนลุย



อย่างที่ได้กล่าวในข้างต้นว่าจริงๆ เป้าหมายคือการนั่งรถไฟฟรี ไปให้ไกลสุด แต่ไหนๆ มาแล้ว
จะให้นั่งรถกลับเลยก็กะไรอยู่ หาสถานที่เที่ยวสักนิด ไหน ไหน ก็มาเยือนสถานีสุดท้ายไกลสุด
ก็ขอขึ้นจุดสูงสุดมันต่อเลยแล้วกัน บอกก่อนว่าผมขับมอไซต์ไม่เป็น ขับรถก็ไม่เป็น ปั่นได้แต่จักรยาน
เงินก็น้อยนิด มาคนเดียวจะให้เหมารถก็คงจะไม่ไหว ถ้าหลายคนก็ว่าไปอย่าง งานโบกรถ จึงต้องมา...

วันแรก 21-10-58 : ออกเดินทาง
13.45 รถไฟไทย ชั้น3 (ฟรี) กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ขบวนที่ 109 ตู้ 4 ที่นั่ง 26
รถไฟถ้าได้ตั๋วมีเลขที่นั่งจะไม่ค่อยน่ากลัว เพราะจะไม่มีคนมาเดินเพ่นพ่าน คนที่อยู่ในโบกี้คือ นั่งที่ของตัวเอง
ส่วนคนที่ไม่มีเลขที่นั่ง จะต้องไปอยู่โบกี้หลังๆ ประมาณโบกี้ 7 เป็นต้นไป อันนั้นจะน่ากลัวนิดนุง ต้องเล่นเก้าอี้ดนตรีพอควร
มีคนขึ้นมาขายของตลอดคืน ชุดนึงเปลี่ยน เดี๋ยวอีกชุดก็มา ไม่ต้องกลัวอดอยาก ตี3 ตี4 ก็ยังขายอยู่
เบาะมีน่ะ แต่อาจจะไม่ได้นุ่มอะไรมากมาย หรือต่อให้นุ่มมาก นั่งนานๆๆ ก็มีเมื่อยบ้าง แต่ไม่เป็นไรอีกแป๊ปเดียวก็ถึงแล้ว
อ่านรีวิว เค้าว่าจะถึงประมาณ 8 โมง แต่ผมนี่โชคดีเหลือเกิน มาถึงตรงเวลาตั้งแต่ตี 4.45 ฟ้ายังไม่สว่างเลยคุณพระ!! จะมีรถไปต่อไหมเนี่ย

วันที่สอง 22-10-58 : ครั้งแรกกับการ "โบกรถ"
4.45 ถึงตรงเวลาเป๊ะ สถานีรถไฟเชียงใหม่ นั่งรถแดง 40 บาท ส่งประตูเชียงใหม่ ไปถามที่รถแดงเลยว่าไปป่าว แล้วต่อราคาเอา สำหรับผมราคานี้รับได้
ก็ดีกว่าต้องเหมารถละน่ะ บางท่านอาจจะเคยนั่งถูกกว่านี้ และทำสำคัญผมแนะนำว่า หากมาถึงแล้วควรรีบไปขึ้นรถสองแถวเลย จะได้มีผู้โดยสารท่านอื่น
เผื่อจะได้หารๆ ค่ารถกัน หรือไปเยอะๆ มันจะได้ถูกลง ถ้ารอ (อย่างผม มัวหาปลั๊กชาร์ตแบต) อาจจะต้องเหมารถไปคนเดียวก็เป็นได้ โชคดีไม่ต้องเหมา
แต่บนรถก็มีผมคนเดียวน่ะ โชคดีพี่เค้าไม่คิดเงินเพิ่ม



6.00 รถเมล์ น้ำเงิน หรือที่เรียกกันว่ารถเมล์หวานเย็น ไปจอมทอง 34 บาท จริงๆ รอรถสองแถวสีเหลือง แต่เห็นว่ายังมีดอยู่นั่งคันนี้ไป จะได้สว่างพอดี ระหว่างทางเจอคุณน้าผู้หญิงบนรถหิ้วของหนักจะขึ้นรถ เลยไปช่วยเค้า ปรากฏก็เลยได้คุยกัน น้าเค้าก็คุยดีมากเลยแต่ติดนิดเดียว เค้าอู้คำเมือง พยายามตั้งใจฟัง พอจับใจความได้ แต่รายละเอียดปลีกย่อยนี่บ่ฮู้เฮือง ได้น้าท่านนี้ล่ะครับชี้จุดลงให้ ไม่งั้นก็เลยไปจอมทอง ตรงตีนดอยไม่ค่อยมีจุดให้สังเกตุ แต่ประมาณเลยปั้ม ปตท.  ป้าย TOA จะเจอสามแยก ก็แยกนั้นเลย



7.30 โบกรถครั้งแรกในชีวิต โบกอยู่นานพอควร จนท้อใจ คิดผิดหรือคิดถูกที่มาโบก มีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป ในที่สุดก็มีรถแวะรับผม
ขอบคุณรถกระสีแดง น้องผู้ชายใจดี 2 คน แวะรับ ไปส่งจุดตรวจที่ 2 คือผมไม่รู้ว่าจุดตรวจที่สองมันคือตรงไหน จริงๆ ก็เห็นลานกางเต้นน่ะ
แต่ก็ไม่ชัวร์ 555+ ปรากฏเลยลานกางเต้นไป ต้องโบกรถย้อนกลับมา
9.00 โบก รถกระบะแต่ไม่จอด มอไซต์ข้างหลังจอดรับแทน เป็นคุณเจ้าหน้าที่ลงมาส่ง กระเป๋าเราหนักมาก นั่งมอไซต์เกร็งเลย กลัวจะหงายหลังตกรถ
แต่ก็รอดมาได้ จนที่ทำการอุทยานดอยอินทนนท์





9.30 จ่ายค่ากางเต้น 30 บาท แสตมป์เล่มอุทยานเรียบร้อย "ลานสน" เดินไปค่อนข้างไกล ประมาณเกือบ 1 กิโล
ตอนดูแผนที่ที่ทำการ ก็เหมือนเดินไม่ไกลน่ะ แต่พอเอาเข้าใจ ทำไมลานกางเต้นมันไกลว่าลานกางเต้นอุทยานอื่นๆ เยอะนักน่ะ
11.00 อาหารมื้อแรก 35 บาท ร้านชาวม้งข้างทางหลายร้าน ขายอาหาร หมูกะทะ น้ำแข็ง มินิมาร์ท บริเวณทางเดินก่อนถึงจุดกางเต้น ไม่มีอดอยาก
อาหารที่นี่ถือว่าถูกมาก ในกรณีที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขนาดนี้ จานละ 35 บาน ถูกกว่าผมกินที่กรุงเทพ แถมเยอะขนาดกินสองมื้อได้เลย รสชาติโอเคเลย




11.30 สถานีวิจัยโครงการหลวงดอยอินทนนท์ + น้ำตกสิริภูมิ ค่าเข้า 20 บาท มีที่พักในนี้นะครับเผื่อบางท่านมองหาบ้านพักค้นหาชื่อ สิริภูมิ ได้เลย







ตอนนี้กำลังลงดอกไม้ น่าจะต้อนรับนักท่องเที่ยวช่วงเดือนธันวาคม ใครไปช่วงธันวารับรองดอกไม้สวยแน่ๆ ครับ






น้ำตกสิริภูมิ เดินเข้าไปลึกสุดของสถานี ผ่านที่พักเข้าไปด้านหลัง จะเป็นป่าเฟิร์น และต้อนเดินผ่านป่าเฟิร์นเข้าไป


15.00 เริ่มจะไม่ไหน เมื่อยเหนื่อยล้า เลยแวะซื้อเสบียงเข้าเต้น 80 บาท เป็นข้าวมื้อเย็น น้ำอัดลม น้ำแข็ง ที่เหลือก็พักผ่อนตามอัธยาศัย
มีออกไปเดินเล่นรอบๆ ลานกางเต้น อากาศเย็นมาก ใส่เสื้อหนาวเดินได้เลย นี่สิถึงเรียกว่าฤดูหนาวของจริง ต้องไปชาร์ตแบตที่ศาลา เอาแบตสำรองไป
เสียบไว้ แวะไปดูบ้างเป็นครั้งคราว เลยได้คุยกันคุณป้า ที่มากับคุณลุงพาหลานๆ มาเที่ยว คุณกันนานเลย แบตเต็มพอดี คืนนี้ก็นอนหลับฝันดี zzZ
= รวมค่าใช้จ่ายวันแรก 239 บาท
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่