หลังจากรายการสปริงรีพอร์ต ได้นำเสนอเรื่องราวเหตุการณ์ตอนซ้อมพลทหารใหม่
ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ ๒๗ เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๑๐ น.เป็นต้นไป ทางช่องสปริงนิวส์ ไปแล้วนั้น
สามารถกดชมโปรโมทไตเติ้ลรายการสปริงรีพอร์ต ตอน ซ้อมทรมานพลทหารใหม่ ได้จาก
ลิงก์
https://www.facebook.com/577088152399483/videos/861365303971765/ นี้
และสามารถชมเทปเต็มของรายการสปริงรีพอร์ต ตอน ซ้อมทรมานพลทหารใหม่ ได้จาก
ลิงก์
http://www.springnews.co.th/program/documentary/springreport/249093 นี้
ซึ่งยังสามารถรับชมติดตามชมรีรันในวันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคมนี้ เวลา ๒๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.
และวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายนนี้ เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ทางสถานีข่าวสปริงนิวส์ ดิจิตอลทีวีช่อง ๑๙
รวมถึงสามารถทราบข้อเท็จจริงรายละเอียดได้ปรากฎในรายการคุยกับแพะ ตอน ทารุณกรรมในค่ายทหาร
ออกอากาศเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ระหว่างช่วงเวลา ๒๑.๓๐ - ๒๒.๓๐ น. ตามลิงก์
http://youtu.be/PuW4RZShmg0 นี้
กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการนำเสนอและแชร์ข้อเท็จจริงความรุนแรงในค่ายทหารอีกด้านหนึ่งที่ถูกปกปิดซ่อนเล้นอยู่
ให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก
เพราะหากตราบใดที่ประชาชนยังไม่รู้สิทธิในเรื่องนี้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้ก็ยังคงที่จะเกิดขึ้นได้อีกเสมอ
โดยวัตถุประสงค์ของการขอนำเสนอไม่ได้ต้องการโจมตีหรือทำให้หน่วยงานของรัฐเสื่อมเสียงชื่อเสียงแต่ประการใด
แต่เพื่อให้ประชาชนในสังคมไทยได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเป็นกรณีตัวอย่างให้กับผู้ที่ถูกละเมิด
หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนเองต่อไป
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องการให้สังคมมีส่วนรู้เห็น เพื่อมีส่วนร่วมในการป้องกันเหตุการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยได้อีก
โดยนำเสนอข่าวเพื่อสะท้อนให้กับสังคมได้ทราบถึงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น
เพื่อให้ประชาชนในสังคมช่วยกันเป็นหูเป็นตา
เพราะตราบใดที่สังคม โดยเฉพาะบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นทหารกองประจำการ ผลัดต่างๆ
ของแต่ละประจำปียังไม่ทราบสิทธิของตน ที่ทางต้นสังกัด คือ
กองทัพบก
มีคำสั่งออกเป็นหนังสือระบุชัดเจน
อีกทั้งมีคำสั่งหนังสือเรื่องการฝึกทหารใหม่ แต่ละรุ่นปีแต่ละผลัด ระบุไว้ชัดเจนว่า
ห้ามปรับปรุงทหารใหม่จนเกินกว่าเหตุ ห้ามถูกเนื้อต้องตัวทหาร ห้ามทำร้ายร่างกาย ห้ามถือไม้เรียวโดยเด็ดขาด
เน้นกำลังให้ฝึกตามระเบียบของหน่อยเหนืออย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนจะลงโทษสถานหนัก
เพราะเป็นการผ่าฝืนนโยบายของผู้บังคับบัญชา
รวมทั้งให้ดูแลทหารใหม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มาโดยตลอดเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้อีก
แม้แต่กรณีของพลทหารวิเชียร เผือกสมแม้จะมีคำสั่งเข้มงวดเรื่องการฝึกทหารใหม่ข้างต้นแล้วก็ตาม
แต่สุดท้ายก็ยังเกิดการลงโทษของครูฝึกทหารใหม่ที่ซ้อมทรมานพลทหารเกณฑ์จนเสียชีวิตเกิดขึ้น
และบัดนี้ก็เป็นเวลา ๔ ปีกว่าแล้วที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังคงต้องต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรม
ให้กับคนในครอบครัวที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับลำแข้งของครูฝึกทหารร่วม ๑๐ นาย
ในกรณีที่พลทหารวิเชียร เผือกสม ทหารเกณฑ์ สังกัดกองพลพัฒนาที่ ๔ ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง
จังหวัดนราธิวาส ผู้มีศักดิ์เป็นน้าชาย ซึ่งถูกรุมทำร้ายร่างกาย โดยครูฝึกทหารใหม่จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔
เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
หน้ำซ้ำครูฝึกทหารใหม่ที่กระทำต่อพลทหารวิเชียร เผือกสม ยังคงลอยนวลไม่ถูกลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำ
บางนายยังคงเป็นครูฝึกทหารใหม่ บางนายปลดประจำการแล้ว และบางนายได้เรียนยศที่สูงขึ้น
**เพราะยังต้องรอกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายไทย**
ทั้งนี้จึงตั้งกระทู้ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องสิทธิให้กับคนอื่น โดยไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
เพราะการลงโทษโดยทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการทารุณโหดร้าย นอกจากจะเป็นความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งแล้ว
ยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๔๐ มาตรา ๓๒
ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล และละเมิดอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติ
หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีและมีพันธกรณีให้ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯดังกล่าวด้วย
ข้อเท็จจริงตามเอกสารหนังสือรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกองทัพภาคที่ ๔ ที่
กห ๐๔๔๘/๒๔๖๓ ฉบับลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีดังนี้
พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้ลาสิขาบทมาเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔
และได้สมัครเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ ๑/๕๔ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔
แต่ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ พลทหารวิเชียร เผือกสม
กลับถูกครูฝึกทหารลงโทษรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
สาเหตุเพราะหลบหนีจากหน่วยฝึก ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และได้ตัวกลับมาในวันเดียวกัน
ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทางหน่วยฝึกได้ไปรับตัวกลับหน่วยเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
ก่อนเที่ยง ร้อยตรีให้การว่าได้ตบหน้าพลทหารวิเชียรฯ ๒ ครั้ง เพื่อเตือนสติให้สำนึกที่หลบหนี
ให้กินพริกสดจำนวน ๓-๔ เม็ด เพื่อทำโทษและให้กินข้าวเปล่าจำนวน ๑ จาน
ประมาณ ๑๒.๔๐ น. ได้สั่งให้พลทหารผู้ช่วยครูฝึก ๒ นาย นำพลทหารวิเชียรฯ
ไปบริเวณหลังหน่วยฝึกหน้าห้องน้ำเพื่อปรับปรุงวินัย โดยให้ออกกำลังท่ากายบริหาร เช่น ท่ากระโดดกบ แองการู ท่ายุบสะโพก ฯลฯ
โดยในครั้งแรกให้สวมใส่ชุดทหารใหม่และต่อมาให้ถอดเสื้อผ้าออกคงเหลือกางเกงในเพียงตัวเดียว โดยมีร้อยตรีนั่งกำกับอยู่ด้วย
จากนั้นได้พาไปพบร้อยโทผู้ฝึกที่หน้าหน่วยฝึก ร้อยโทผู้ฝึกได้มีการว่ากล่าวพลทหารวิเชียรฯ
และได้สั่งให้พาไปด้านหลังหน่วยฝึกเพื่อปรับปรุงวินัยต่อ
มีผู้ให้การหลายรายยืนยันว่า ได้เห็นพลทหารผู้ช่วยครู จับขาพลวิเชียรฯ
คนละข้างลากไปกับพื้นปูนบริเวณที่รวมพลหน้าหน่วยฝึกประมาณ ๒-๓ เมตร พลทหารวิเชียรฯ ได้ร้องด้วยความเจ็บปวด
ต่อจากนั้นได้พาไปปรับปรุงวินัยที่เดิม
ซึ่งขณะนั้นร้อยตรีอีกนายได้เข้ามาพบเห็นพลทหารผู้ช่วยครูได้รุมกัน
ใช้เท้าเตะกระทืบที่ขาและลำตัวของพลทหารวิเชียรฯ ซึ่งขณะนั้นร้อยตรีที่ถูกกล่าวหาได้กำกับอยู่
โดยสั่งให้ตัดกำลังขาอย่าไปทำอะไรส่วนบน
ต่อจากนั้นได้ใช้เกลือทาบริเวณแผลและใช้เท้าเหยียบขึ้นไปที่หน้าอก
หลังจากใช้เวลาซ่อมประมาณ ๒ ชั่วโมง ได้นำตัวพลทหารวิเชียรฯ ไปอาบน้ำและพาไปที่ห้องพยาบาล
เพื่อทายารอยแผลขีดข่วนและให้นอนพักบนเตียงผ้าใบในห้องพยาบาล
ขณะนั้นมีครูทหารใหม่และผู้ช่วยครูหลายนาย ซึ่งที่ห้องพยาบาลนั้นจ่าสิบเอกให้การว่า
เห็นพลวิเชียรวิเชียรฯ ถูก สิบเอก ๓ นาย และสิบโท ๒ นายสลับกันรุมเตะด้วยหัวรองเท้าคอมแบค
โดยมีร้อยตรีผู้ช่วยผู้ฝึก นั่งอยู่ที่เตียงพยาบาล
เวลาประมาณ ๑๗.๔๕ น. สิบเอกได้เรียกรวมพลทั้งหมดเพื่อไปรับประทานอาหารเย็น
โดยสิบเอกอีกนายได้เรียกทหารใหม่ประมาณ ๕-๖ นาย ให้แบกพลทหารวิเชียรฯจากห้องพยาบาลไปยังโรงเลี้ยง
โดยใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแต่ใบหน้าพร้อมมัดตราสังข์ในลักษณะเหมือนศพ
พร้อมตั้งขบวนแห่และพูดไว้อาลัยเหมือนกับการแห่ศพ และที่โรงเลี้ยงมีพยานยืนยันว่า
เห็นพลทหารวิเชียรฯ ถูกสั่งให้นั่งกินข้าวบนก้อนน้ำแข็งประมาณ ๑๐ นาที
โดยให้นั่งท่าขัดสมาธิ ก้นสัมผัสผิวน้ำแข็งประมาณ ๑ ใน ๓ และสวมกางเกงในตัวเดียว
และร้อยโทผู้ฝึกได้เดินมาที่พลทหารวิเชียรฯ ร้อยตรีผู้ช่วยครูฝึกได้บอกให้เอาน้ำแข็งประคบ
เพื่อบาดแผลจะได้หายเร็วขึ้นและได้ให้รับประทานกระเทียมประมาณ ๓–๔ กลีบ
ต่อมาสิบเอกได้นำกำลังพลชุดเดิมแบกพลทหารวิเชียรฯ
กลับมาวางด้านหน้าหน่วยฝึกและมีก้อนน้ำแข็งวางทับบนหน้าอก ที่หน้าหน่วยฝึก
เวลาประมาณ ๑๘.๔๕ น. สิบเอกได้สั่งให้พลทหารวิเชียรฯ หมอบ-ลุก เมื่อเห็นว่า
ทำช้าไม่เป็นที่พอใจจึงได้ไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วชี้ตีที่บริเวณลำตัว แผ่นหลัง ก้น ขาจนถึงปลายเท้า
และใช้เท้าเตะบริเวณชายโครง หน้าอก และกระทืบไปที่ท้ายทอยเป็นเหตุ ให้คางกระทบกับพื้นเป็นแผลแตกขนาดปลายนิ้วก้อย
ใช้เท้าเตะไปที่บริเวณใบหน้าเป็นเหตุให้มีเลือดออกจากปากแล้วพลทหารวิเชียรฯ
ได้ก้มลงกราบพร้อมร้องบอกว่า "ผมเจ็บและจะไม่ทำอีกแล้ว" แต่สิบเอกก็ยังไม่หยุดกระทำ
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับการถูกเตะ และกระทืบดังมากจนทำให้ร้อยโทผู้ฝึกได้ชะโงกมาจากชั้นบนของอาคารหน่วยฝึก
พร้อมสั่งให้ร้อยตรีผู้ช่วยผู้ฝึกอย่าทำให้แรงเกินไปนัก สิบเอกจึงได้ย้ายสถานที่ซ่อมไปด้านข้างของแถว
ยังคงใช้ไม้ตีสลับกับการเตะเหมือนเดิมจนกระทั่งร้อยตรีอีกนายได้เข้ามาแย่งไม้ในมือสิบเอกทิ้งอีกครั้ง
สิบเอกได้พูดว่า "ไม่มีไม้ใช้มือใช้เท้าแทนก็ได้"
และได้ประกาศท้าทายให้ไปฟ้อง ผบ.ทบ.ต่อหน้ากำลังทหารใหม่ประมาน ๒๐๐ นาย
จนเวลา ๒๓.๐๐ น. ร้อยตรีได้พาพลทหารวิเชียรฯ ไปคุยต่อจนถึงเวลา ๐๑.๐๐ น.เศษ
ได้สั่งให้พลทหารวิเชียรฯ ขึ้นโรงนอน ต่อมาวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๔
มีพยานหลายคนเห็น พลทหารวิเชียรฯ นอนพักอยู่ในห้องพยาบาลบริเวณร่างกาย
และขามีรอยช้ำบวมหลายแห่งใต้คางมีแผลลึกมีน้ำเหลืองไหลย้อยรอบปากปรากฏคราบเลือด
พยานบางคนได้ถามอาการเจ็บป่วยได้รับคำตอบว่า เจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
ได้ร้องขอให้นำตัวไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากทนความเจ็บปวดไม่ไหว
ถึงขั้นมีการสั่งเสียกับเพื่อนพลทหารด้วยกันว่า หากเสียชีวิตลงให้ช่วยแจ้งกับมารดาด้วย แต่ไม่มีผู้ใดสนใจและดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
กระทั่งวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ จึงได้ส่งตัวไปโรงพยาบาลเจาะไอร้อง
ทางโรงพยาบาลเห็นพลทหารวิเชียรฯ มีอาการหนักเกินขีดความสามารถของแพทย์ที่จะรักษาเยียวยาได้
จึงส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ต่อทันที
และหน่วยได้สั่งให้ร้อยตรีที่ไม่ได้ร่วมกระทำไปดูอาการของพลทหารวิเชียรฯ
ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ เห็นพลทหารวิเชียรฯ อยู่ในห้องไอซียูพร้อมญาติ
บริเวณทั่วทั้งลำตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามีแต่บาดแผลและรอยช้ำบวม
สอบถามแพทย์ได้รับคำตอบว่า ชีพจรต่ำมาก การตอบสนองของร่างกายไม่มี อาการอยู่ในขั้นโคม่า
ท้ายสุดเมื่อวันที่ ๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๒๓.๐๕ น.
ณ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส
พลทหารวิเชียร เผือกสม ต้องจบชีวิตด้วยวัยเพียง ๒๖ ปีเท่านั้น
โดยที่สาเหตุการตายมาจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
จากการถูกรุมซ้อมทำรายร่างกายโดยฝีมือของครูฝึกในหน่วยฝึกของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ในสังกัด ร.๑๕๑ พัน.๓ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
สภาพศพของพลทหารวิเชียร เผือกสม ถ่ายเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๒๑.๕๐ น.
หลังเสียชีวิตเพียง ๒๓ ชั่วโมง ซึ่งถูกครูฝึกทหารใหม่จำนวน ๑๐ นาย ตั้งแต่ยศร้อยโท ร้อยตรี จ่าสิบเอก สิบเอก
และพลทหารผู้ช่วยครูฝึกลงโทษซ้อมทรมานตามรายเอียดข้างต้นที่กล่าวไว้
เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๒๓.๑๕ น.
**ส่วนปี ค.ศ.ในภาพต้องเป็น ๒๐๑๑ ซึ่งคือ พ.ศ.๒๕๕๔ กล้องถ่ายรูปตั้งเวลาผิดค่ะ
ปล.ภาพศพที่โพสต์ลงไปอาจจะไม่เหมาะสม แต่เพื่อให้เป็นอุธาหรณ์ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีก
ทางครอบครัวพลทหารวิเชียร เผือกสม ยินยอมให้เปิดเผยสู่สาธารณะค่ะ
และเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับมอบหมายโดยชอบธรรมตามกฎหมายจากมารดาของพลทหารวิเชียรฯ ผู้มีศักดิ์เป็นยาย ให้เป็นผู้ดำเนินคดีการ
Credit หยุดดัดจริตประเทศไทย
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด เรื่องครูฝึกทหารใหม่รวม ๑๐ นาย ลงโทษซ้อมทรมานพลทหารเกณฑ์ป.โทจนเสียชีวิต
ซึ่งออกอากาศเมื่อวันอังคารที่ ๒๗ เดือนตุลาคม ๒๕๕๘ เวลา ๒๑.๑๐ น.เป็นต้นไป ทางช่องสปริงนิวส์ ไปแล้วนั้น
สามารถกดชมโปรโมทไตเติ้ลรายการสปริงรีพอร์ต ตอน ซ้อมทรมานพลทหารใหม่ ได้จาก
ลิงก์ https://www.facebook.com/577088152399483/videos/861365303971765/ นี้
และสามารถชมเทปเต็มของรายการสปริงรีพอร์ต ตอน ซ้อมทรมานพลทหารใหม่ ได้จาก
ลิงก์http://www.springnews.co.th/program/documentary/springreport/249093 นี้
ซึ่งยังสามารถรับชมติดตามชมรีรันในวันเสาร์ที่ ๓๑ ตุลาคมนี้ เวลา ๒๐.๐๐ - ๒๑.๐๐ น.
และวันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายนนี้ เวลา ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ทางสถานีข่าวสปริงนิวส์ ดิจิตอลทีวีช่อง ๑๙
รวมถึงสามารถทราบข้อเท็จจริงรายละเอียดได้ปรากฎในรายการคุยกับแพะ ตอน ทารุณกรรมในค่ายทหาร
ออกอากาศเมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ระหว่างช่วงเวลา ๒๑.๓๐ - ๒๒.๓๐ น. ตามลิงก์http://youtu.be/PuW4RZShmg0 นี้
กระทู้นี้ตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการนำเสนอและแชร์ข้อเท็จจริงความรุนแรงในค่ายทหารอีกด้านหนึ่งที่ถูกปกปิดซ่อนเล้นอยู่
ให้เกิดการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำขึ้นอีก
เพราะหากตราบใดที่ประชาชนยังไม่รู้สิทธิในเรื่องนี้ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้ก็ยังคงที่จะเกิดขึ้นได้อีกเสมอ
โดยวัตถุประสงค์ของการขอนำเสนอไม่ได้ต้องการโจมตีหรือทำให้หน่วยงานของรัฐเสื่อมเสียงชื่อเสียงแต่ประการใด
แต่เพื่อให้ประชาชนในสังคมไทยได้รับทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และเป็นกรณีตัวอย่างให้กับผู้ที่ถูกละเมิด
หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนเองต่อไป
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องการให้สังคมมีส่วนรู้เห็น เพื่อมีส่วนร่วมในการป้องกันเหตุการณ์ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำรอยได้อีก
โดยนำเสนอข่าวเพื่อสะท้อนให้กับสังคมได้ทราบถึงเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น
เพื่อให้ประชาชนในสังคมช่วยกันเป็นหูเป็นตา
เพราะตราบใดที่สังคม โดยเฉพาะบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นทหารกองประจำการ ผลัดต่างๆ
ของแต่ละประจำปียังไม่ทราบสิทธิของตน ที่ทางต้นสังกัด คือ กองทัพบก
มีคำสั่งออกเป็นหนังสือระบุชัดเจน
อีกทั้งมีคำสั่งหนังสือเรื่องการฝึกทหารใหม่ แต่ละรุ่นปีแต่ละผลัด ระบุไว้ชัดเจนว่า
ห้ามปรับปรุงทหารใหม่จนเกินกว่าเหตุ ห้ามถูกเนื้อต้องตัวทหาร ห้ามทำร้ายร่างกาย ห้ามถือไม้เรียวโดยเด็ดขาด
เน้นกำลังให้ฝึกตามระเบียบของหน่อยเหนืออย่างเคร่งครัด หากฝ่าฝืนจะลงโทษสถานหนัก
เพราะเป็นการผ่าฝืนนโยบายของผู้บังคับบัญชา
รวมทั้งให้ดูแลทหารใหม่ให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้มาโดยตลอดเหล่านี้ย่อมเกิดขึ้นได้อีก
แม้แต่กรณีของพลทหารวิเชียร เผือกสมแม้จะมีคำสั่งเข้มงวดเรื่องการฝึกทหารใหม่ข้างต้นแล้วก็ตาม
แต่สุดท้ายก็ยังเกิดการลงโทษของครูฝึกทหารใหม่ที่ซ้อมทรมานพลทหารเกณฑ์จนเสียชีวิตเกิดขึ้น
และบัดนี้ก็เป็นเวลา ๔ ปีกว่าแล้วที่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังคงต้องต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรม
ให้กับคนในครอบครัวที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับลำแข้งของครูฝึกทหารร่วม ๑๐ นาย
ในกรณีที่พลทหารวิเชียร เผือกสม ทหารเกณฑ์ สังกัดกองพลพัฒนาที่ ๔ ค่ายนราธิวาสราชนครินทร์ อำเภอเจาะไอร้อง
จังหวัดนราธิวาส ผู้มีศักดิ์เป็นน้าชาย ซึ่งถูกรุมทำร้ายร่างกาย โดยครูฝึกทหารใหม่จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔
เรื่องราวเหล่านี้ยังคงเด่นชัดอยู่ในความทรงจำของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
หน้ำซ้ำครูฝึกทหารใหม่ที่กระทำต่อพลทหารวิเชียร เผือกสม ยังคงลอยนวลไม่ถูกลงโทษตามความผิดที่ได้กระทำ
บางนายยังคงเป็นครูฝึกทหารใหม่ บางนายปลดประจำการแล้ว และบางนายได้เรียนยศที่สูงขึ้น
**เพราะยังต้องรอกระบวนการยุติธรรมตามขั้นตอนของกฎหมายไทย**
ทั้งนี้จึงตั้งกระทู้ขึ้นมาก็เพื่อปกป้องสิทธิให้กับคนอื่น โดยไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับใครอีก
เพราะการลงโทษโดยทำร้ายร่างกายด้วยวิธีการทารุณโหดร้าย นอกจากจะเป็นความผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่งแล้ว
ยังเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒๕๔๐ มาตรา ๓๒
ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของบุคคล และละเมิดอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติ
หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม
หรือย่ำยีศักดิ์ศรีที่ประเทศไทยเป็นรัฐภาคีและมีพันธกรณีให้ปฏิบัติตามอนุสัญญาฯดังกล่าวด้วย
ข้อเท็จจริงตามเอกสารหนังสือรายงานผลการสอบสวนข้อเท็จจริงกองทัพภาคที่ ๔ ที่
กห ๐๔๔๘/๒๔๖๓ ฉบับลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีดังนี้
พลทหารวิเชียร เผือกสม ได้ลาสิขาบทมาเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔
และได้สมัครเข้ารับราชการทหารกองประจำการ ผลัดที่ ๑/๕๔ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔
แต่ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ พลทหารวิเชียร เผือกสม
กลับถูกครูฝึกทหารลงโทษรุมทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
สาเหตุเพราะหลบหนีจากหน่วยฝึก ๒ ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และได้ตัวกลับมาในวันเดียวกัน
ครั้งที่ ๒ เมื่อ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทางหน่วยฝึกได้ไปรับตัวกลับหน่วยเมื่อ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
ก่อนเที่ยง ร้อยตรีให้การว่าได้ตบหน้าพลทหารวิเชียรฯ ๒ ครั้ง เพื่อเตือนสติให้สำนึกที่หลบหนี
ให้กินพริกสดจำนวน ๓-๔ เม็ด เพื่อทำโทษและให้กินข้าวเปล่าจำนวน ๑ จาน
ประมาณ ๑๒.๔๐ น. ได้สั่งให้พลทหารผู้ช่วยครูฝึก ๒ นาย นำพลทหารวิเชียรฯ
ไปบริเวณหลังหน่วยฝึกหน้าห้องน้ำเพื่อปรับปรุงวินัย โดยให้ออกกำลังท่ากายบริหาร เช่น ท่ากระโดดกบ แองการู ท่ายุบสะโพก ฯลฯ
โดยในครั้งแรกให้สวมใส่ชุดทหารใหม่และต่อมาให้ถอดเสื้อผ้าออกคงเหลือกางเกงในเพียงตัวเดียว โดยมีร้อยตรีนั่งกำกับอยู่ด้วย
จากนั้นได้พาไปพบร้อยโทผู้ฝึกที่หน้าหน่วยฝึก ร้อยโทผู้ฝึกได้มีการว่ากล่าวพลทหารวิเชียรฯ
และได้สั่งให้พาไปด้านหลังหน่วยฝึกเพื่อปรับปรุงวินัยต่อ
มีผู้ให้การหลายรายยืนยันว่า ได้เห็นพลทหารผู้ช่วยครู จับขาพลวิเชียรฯ
คนละข้างลากไปกับพื้นปูนบริเวณที่รวมพลหน้าหน่วยฝึกประมาณ ๒-๓ เมตร พลทหารวิเชียรฯ ได้ร้องด้วยความเจ็บปวด
ต่อจากนั้นได้พาไปปรับปรุงวินัยที่เดิม
ซึ่งขณะนั้นร้อยตรีอีกนายได้เข้ามาพบเห็นพลทหารผู้ช่วยครูได้รุมกัน
ใช้เท้าเตะกระทืบที่ขาและลำตัวของพลทหารวิเชียรฯ ซึ่งขณะนั้นร้อยตรีที่ถูกกล่าวหาได้กำกับอยู่
โดยสั่งให้ตัดกำลังขาอย่าไปทำอะไรส่วนบน
ต่อจากนั้นได้ใช้เกลือทาบริเวณแผลและใช้เท้าเหยียบขึ้นไปที่หน้าอก
หลังจากใช้เวลาซ่อมประมาณ ๒ ชั่วโมง ได้นำตัวพลทหารวิเชียรฯ ไปอาบน้ำและพาไปที่ห้องพยาบาล
เพื่อทายารอยแผลขีดข่วนและให้นอนพักบนเตียงผ้าใบในห้องพยาบาล
ขณะนั้นมีครูทหารใหม่และผู้ช่วยครูหลายนาย ซึ่งที่ห้องพยาบาลนั้นจ่าสิบเอกให้การว่า
เห็นพลวิเชียรวิเชียรฯ ถูก สิบเอก ๓ นาย และสิบโท ๒ นายสลับกันรุมเตะด้วยหัวรองเท้าคอมแบค
โดยมีร้อยตรีผู้ช่วยผู้ฝึก นั่งอยู่ที่เตียงพยาบาล
เวลาประมาณ ๑๗.๔๕ น. สิบเอกได้เรียกรวมพลทั้งหมดเพื่อไปรับประทานอาหารเย็น
โดยสิบเอกอีกนายได้เรียกทหารใหม่ประมาณ ๕-๖ นาย ให้แบกพลทหารวิเชียรฯจากห้องพยาบาลไปยังโรงเลี้ยง
โดยใช้ผ้าขาวห่อตัวเหลือแต่ใบหน้าพร้อมมัดตราสังข์ในลักษณะเหมือนศพ
พร้อมตั้งขบวนแห่และพูดไว้อาลัยเหมือนกับการแห่ศพ และที่โรงเลี้ยงมีพยานยืนยันว่า
เห็นพลทหารวิเชียรฯ ถูกสั่งให้นั่งกินข้าวบนก้อนน้ำแข็งประมาณ ๑๐ นาที
โดยให้นั่งท่าขัดสมาธิ ก้นสัมผัสผิวน้ำแข็งประมาณ ๑ ใน ๓ และสวมกางเกงในตัวเดียว
และร้อยโทผู้ฝึกได้เดินมาที่พลทหารวิเชียรฯ ร้อยตรีผู้ช่วยครูฝึกได้บอกให้เอาน้ำแข็งประคบ
เพื่อบาดแผลจะได้หายเร็วขึ้นและได้ให้รับประทานกระเทียมประมาณ ๓–๔ กลีบ
ต่อมาสิบเอกได้นำกำลังพลชุดเดิมแบกพลทหารวิเชียรฯ
กลับมาวางด้านหน้าหน่วยฝึกและมีก้อนน้ำแข็งวางทับบนหน้าอก ที่หน้าหน่วยฝึก
เวลาประมาณ ๑๘.๔๕ น. สิบเอกได้สั่งให้พลทหารวิเชียรฯ หมอบ-ลุก เมื่อเห็นว่า
ทำช้าไม่เป็นที่พอใจจึงได้ไม้ไผ่ขนาดเท่านิ้วชี้ตีที่บริเวณลำตัว แผ่นหลัง ก้น ขาจนถึงปลายเท้า
และใช้เท้าเตะบริเวณชายโครง หน้าอก และกระทืบไปที่ท้ายทอยเป็นเหตุ ให้คางกระทบกับพื้นเป็นแผลแตกขนาดปลายนิ้วก้อย
ใช้เท้าเตะไปที่บริเวณใบหน้าเป็นเหตุให้มีเลือดออกจากปากแล้วพลทหารวิเชียรฯ
ได้ก้มลงกราบพร้อมร้องบอกว่า "ผมเจ็บและจะไม่ทำอีกแล้ว" แต่สิบเอกก็ยังไม่หยุดกระทำ
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดสลับกับการถูกเตะ และกระทืบดังมากจนทำให้ร้อยโทผู้ฝึกได้ชะโงกมาจากชั้นบนของอาคารหน่วยฝึก
พร้อมสั่งให้ร้อยตรีผู้ช่วยผู้ฝึกอย่าทำให้แรงเกินไปนัก สิบเอกจึงได้ย้ายสถานที่ซ่อมไปด้านข้างของแถว
ยังคงใช้ไม้ตีสลับกับการเตะเหมือนเดิมจนกระทั่งร้อยตรีอีกนายได้เข้ามาแย่งไม้ในมือสิบเอกทิ้งอีกครั้ง
สิบเอกได้พูดว่า "ไม่มีไม้ใช้มือใช้เท้าแทนก็ได้" และได้ประกาศท้าทายให้ไปฟ้อง ผบ.ทบ.ต่อหน้ากำลังทหารใหม่ประมาน ๒๐๐ นาย
จนเวลา ๒๓.๐๐ น. ร้อยตรีได้พาพลทหารวิเชียรฯ ไปคุยต่อจนถึงเวลา ๐๑.๐๐ น.เศษ
ได้สั่งให้พลทหารวิเชียรฯ ขึ้นโรงนอน ต่อมาวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๔
มีพยานหลายคนเห็น พลทหารวิเชียรฯ นอนพักอยู่ในห้องพยาบาลบริเวณร่างกาย
และขามีรอยช้ำบวมหลายแห่งใต้คางมีแผลลึกมีน้ำเหลืองไหลย้อยรอบปากปรากฏคราบเลือด
พยานบางคนได้ถามอาการเจ็บป่วยได้รับคำตอบว่า เจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
ได้ร้องขอให้นำตัวไปส่งโรงพยาบาลเนื่องจากทนความเจ็บปวดไม่ไหว
ถึงขั้นมีการสั่งเสียกับเพื่อนพลทหารด้วยกันว่า หากเสียชีวิตลงให้ช่วยแจ้งกับมารดาด้วย แต่ไม่มีผู้ใดสนใจและดำเนินการใดๆ ทั้งสิ้น
กระทั่งวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๔ จึงได้ส่งตัวไปโรงพยาบาลเจาะไอร้อง
ทางโรงพยาบาลเห็นพลทหารวิเชียรฯ มีอาการหนักเกินขีดความสามารถของแพทย์ที่จะรักษาเยียวยาได้
จึงส่งตัวต่อไปยังโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ต่อทันที
และหน่วยได้สั่งให้ร้อยตรีที่ไม่ได้ร่วมกระทำไปดูอาการของพลทหารวิเชียรฯ
ในวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๔ เห็นพลทหารวิเชียรฯ อยู่ในห้องไอซียูพร้อมญาติ
บริเวณทั่วทั้งลำตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามีแต่บาดแผลและรอยช้ำบวม
สอบถามแพทย์ได้รับคำตอบว่า ชีพจรต่ำมาก การตอบสนองของร่างกายไม่มี อาการอยู่ในขั้นโคม่า
ท้ายสุดเมื่อวันที่ ๕ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๒๓.๐๕ น.
ณ โรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส
พลทหารวิเชียร เผือกสม ต้องจบชีวิตด้วยวัยเพียง ๒๖ ปีเท่านั้น
โดยที่สาเหตุการตายมาจากไตวายเฉียบพลันจากกล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง
จากการถูกรุมซ้อมทำรายร่างกายโดยฝีมือของครูฝึกในหน่วยฝึกของค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์
ในสังกัด ร.๑๕๑ พัน.๓ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส
สภาพศพของพลทหารวิเชียร เผือกสม ถ่ายเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลาประมาณ ๒๑.๕๐ น.
หลังเสียชีวิตเพียง ๒๓ ชั่วโมง ซึ่งถูกครูฝึกทหารใหม่จำนวน ๑๐ นาย ตั้งแต่ยศร้อยโท ร้อยตรี จ่าสิบเอก สิบเอก
และพลทหารผู้ช่วยครูฝึกลงโทษซ้อมทรมานตามรายเอียดข้างต้นที่กล่าวไว้
เสียชีวิตลงเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๔ เวลา ๒๓.๑๕ น.
**ส่วนปี ค.ศ.ในภาพต้องเป็น ๒๐๑๑ ซึ่งคือ พ.ศ.๒๕๕๔ กล้องถ่ายรูปตั้งเวลาผิดค่ะ
ปล.ภาพศพที่โพสต์ลงไปอาจจะไม่เหมาะสม แต่เพื่อให้เป็นอุธาหรณ์ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำขึ้นอีก
ทางครอบครัวพลทหารวิเชียร เผือกสม ยินยอมให้เปิดเผยสู่สาธารณะค่ะ
และเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับมอบหมายโดยชอบธรรมตามกฎหมายจากมารดาของพลทหารวิเชียรฯ ผู้มีศักดิ์เป็นยาย ให้เป็นผู้ดำเนินคดีการ
Credit หยุดดัดจริตประเทศไทย