เราสอบ IEITS UKVI ไปวันที่ 10 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมานะคะ
สรุปผลคะแนนก่อน คือ ได้ Band 7.5 นะคะ (Uที่เล็งไว้require 7 รอดๆ)
แบบตามskillก็ตามนี้
Listening 9
Reading 8
Writing 6
Speaking 6 จริงๆอยากปรับปรุงpartนี้ --"
ก่อนอื่นต้องบอกว่า
• เราสมัครออนไลน์เองค่ะโดยค่าสอบตอนนี้ 10,400 บาท ว้ายย แพงมากกกกกก ครั้งเดียวฉันต้องผ่านนนนจ้า
• พื้นฐานเป็นคนชอบภาษาอังกฤษค่ะ แต่เรียนที่เมืองไทยตลอดนะคะ
• IELTS อ่านเองค่ะ ใช้เวลา 2 เดือน แต่เคยสอบTOEFLตอนปี 2 ปัจจุบันทำงานมา 2 ปีค่ะ
อันนี้จะเรียงเป็นPartให้เข้าใจง่ายๆเลยนะคะ
Listening practice
• ตื่นเช้ามาเปิดทีวี แล้วฟังBBC อย่างเดียวเลยค่ะ ถ้าฟังไม่ออกก็ไม่เป็นไรนะคะ ฟังไปเรื่อยๆจะดีขึ้นค่ะ
• ลุยทำแบบฝึกหัดและข้อสอบเก่าๆแบบจริงจังนะคะ
• ดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษแบบปิดSubtitleค่ะ ส่วนตัวเราชอบดูหนังฝรั่งอยู่แล้วด้วย
Reading practice
• เราฝึกอ่านโดยการทำข้อสอบแบบลุยมากกก เพราะได้ยินคำร่ำลือว่ายาก โหด ทำไม่ทัน โดยข้อสอบจะมี 40 ข้อแยกเป็น 3 passages เวลาทั้งหมด 60 นาที เทคนิคของเราคือ ช่วงแรกๆของการทำข้อสอบ จะจับเวลาเป็นpassageไป passageละ 20 นาทีค่ะ ทำแบบนี้ไปซักพักเราจะรู้ว่าtopicไหนที่เราอ่อน และtopicไหนเราอ่านเร็ว ของเราคือเราอ่านแนว การตลาด สังคม ประวัติศาสตร์เร็ว และที่แปลกคือ อ่านเรื่องวิทยาศาสตร์ การทดลอง ดาราศาสตร์เร็วเหมือนกันค่ะ งงมาก 555 ที่ช้าจะเป็นภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ เราก็จะหาข่าวtopicแนวนี้อ่านเพิ่มค่ะ จะช่วยให้อ่านได้เร็วขึ้นมาก พอนานๆไปให้เปลี่ยนเป็นจับเวลา 60 นาที 3 passages
• เวลาฝึกทำแนะนำให้ทำให้เสร็จภายใน 50 นาทีค่ะ เพราะในห้องสอบจริงไม่รู้ว่าตื่นเต้นหรืออะไร แต่จะทำช้าลง
• อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเยอะๆค่ะ topicที่ไม่ถนัดแนะนำให้หามาอ่านนะคะ อ่านในInternetเอาก็ได้ค่ะ
• อ่านหนังสือพิมพ์เยอะๆค่ะ เราอ่านแค่ 2 ฉบับ คือ Wallstreet Journalและ Financial Times ค่ะ แนะนำให้ซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านดีกว่าอ่านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไอแพดนะคะ อาจจะเพราะเราติดการขีดๆเขียนๆด้วย แต่เราว่ามันดีกว่ามาก เพราะได้ฝึกหาข้อความสำคัญ ขีดเส้นใต้
• ท่องศัพท์ค่ะ เราอ่านจากหนังสือเล่มเดียวของCollins (เดี๋ยวจะบอกแบบละเอียดในรีวิวหนังสือที่เราใช้ทั้งหมดนะคะ) จะบอกว่า ตอนแรกท่องเพื่อทำPart WritingกับSpeaking ค่ะ แต่เอาจริงมันส่งผลต่อReadingมากกว่า ทำให้เราอ่านpassageได้ง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
Writing practice
• ยอมรับแต่โดยดีว่าขี้เกียจซ้อมเขียนค่ะ แต่เราใช้วิธีวางpatternไว้ก่อนเลยว่าจะเขียนคำตอบเป็นประมาณนี้ๆ ใช้คำศัพท์แนวนี้ๆ จะช่วยย่นเวลาในการเขียนในห้องสอบเยอะค่ะ เพราะแค่คิดideaแล้วเขียนเลย
• สุดท้ายก็ลองเก็งๆข้อสอบจากข้อสอบเก่า แต่ไม่ช่วยเท่าไหร่ค่ะ
Speaking practice
• เป็นPartที่เราประมาทค่ะ คือไม่ค่อยฝึกพูด แต่จะเก็งข้อสอบและคำตอบเตรียมไว้หมดค่ะ
• เราใช้วิธีอัดเสียงแล้วฟังว่าสำเนียงโอเคมั้ย แกรมม่าถูกต้องมั้ย
ETC.
• เพื่อนเราเป็นหมอแนะนำกาแฟเซเว่นค่ะ บอกว่ากินละตาตั้งชัวร์ เราก็ลองเลยค่ะ ผลลัพธ์คือจริงค่ะ!!! นอนไม่หลับ คือมันดีมากถ้าวันไหนอยากฟิตอ่านหนังสือ แต่อย่ากินช่วงบ่ายของวันก่อนสอบเด็ดขาด เพราะกลางคืนจะนอนไม่หลับ!! (เรากินค่ะ ตาตั้งเลยย กว่าจะนอนคือตีสอง 5555)
ในที่สุดเราก็มาถึงวันสอบจริง
เย่ๆ คือดีใจมาก เพราะหลังจากวันนี้จะได้พักแล้วว
• เราไปถึงLandmark Hotel ตอนประมาณ 7.30 น ค่ะ เดินทางโดยขับรถไปค่ะ และไปสอบคนเดียว พอไปถึงเจอคนมาสอบเป็นกลุ่มๆเลย บางคนก็มีครอบครัวมาให้กำลังใจด้วย แอบเหงาเลยเรา 555 ปัญหาแรกค่ะ หาชื่อตัวเองไม่เจอ เพราะไปผิดชั้น!!! ตกใจแปป แต่โชคดีที่ไปเร็วเลยหลงไปหลงมาก็เจอสนามสอบที่ถูกต้องค่ะ
• ก่อนเข้าห้องสอบจะมีการตรวจสอบID check และฝากสัมภาระ ซึ่งสิ่งเดียวที่สามารถนำเข้าไปในห้องสอบได้คือ ID หรือ Passportที่เราใช้สมัครสอบนั่นเอง และแท็กที่เราได้ตอนฝากกระเป๋าค่ะ ถ้าผ่านจุดID checkไปแล้วจะไม่สามารถออกมาเข้าห้องน้ำได้แล้วนะคะ ดังนั้นต้องเข้าห้องน้ำก่อน ไม่ปวดก็เข้าค่ะ ไม่งั้นทรมานตอนทำข้อสอบ
• หลังเช็คชื่อและหน้าว่าตรงกับID จะเป็นการถ่ายรูป และสแกนลายนิ้วมือ จากนั้นจะมีstaffพาไปนั่งในห้องสอบค่ะ ในห้องสอบจะมีกล้องตั้งไว้รอบๆห้องให้อารมณ์เหมือนบ้านAF กันเราโกง เป็นเหตุผลที่ค่าสอบแพงขึ้นง่ะ
• ที่โต๊ะสอบจะมีดินสอเปลี่ยนไส้ให้ 2 แท่ง ยางลบ 1 ก้อน และกระดาษสติกเกอร์ที่มีIDเรา เลขที่นั่ง และเวลาสอบSpeakingพิมพ์เอาไว้ เวลาสอบWritingเสร็จให้ดึงสติกเกอร์นี้ออกมาด้วยนะคะ แต่อย่าแปะไว้ที่ID cardหรือPassportเราเพราะช่วงบ่ายจะถูกดึงออกอยู่ดี ให้ถือออกมาแปะไว้ในสมุดหรือกระดาษอย่างอื่นที่เราเตรียมมาดีกว่าค่ะ
• ห้องสอบหนาวมากกก เตรียมเสื้อกันหนาวไปได้นะคะ
• ถ้าเข้าห้องสอบเร็ว จะมีเวลาให้ลองฟังข้อสอบlisteningและปรับเสียงให้พอใจเราค่ะ ถ้าอยากฝึกฟังก่อนเริ่มสอบก็ใส่หูฟังไว้ตลอดได้เลย เสียงlisteningดังมากค่ะ เราได้ยินจากหูฟังคนข้างๆยังชัดมากๆเลย แต่เราไม่ได้ฝึกฟังตรงนี้นะคะ รอฟังของจริงทีเดียว อิอิ
• พอใกล้ถึงเวลา จะมีคุณฝรั่งมาต้อนรับและอธิบายกติกาในการสอบคร่าวๆค่ะ
Listening
• 40 ข้อ 30 นาที และมีเวลาให้เขียนคำตอบ 10 นาทีค่ะ ขอบอกว่าอย่าตื่นเต้น และต้องระวังศัพท์ง่ายๆที่คิดไม่ถึงว่าจะออกมาให้เติม อารมณ์ง่ายจนเขียนผิดอะค่ะ เราเจอมาแล้ว 55
• Trickของเราคือ เราเรียนรู้ระหว่างทำข้อสอบเก่าๆว่า ในเวลาที่เขาให้ก่อนเริ่มฟังแต่ละpart เราอ่านpart 3, part 4ไม่ทันเลยค่ะ ดังนั้นพอเริ่มlistening test เราจะรีบพลิกมาอ่านข้อสอบPartหลังๆก่อนเลย เพราะpartแรกๆโดยเฉพาะPart 1 จะง่ายค่ะ
• ฟังจบจะมีเวลาให้เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ 10 นาที สบายๆคะ
Reading
• เราถนัดการทำข้อสอบแบบทำเสร็จเป็นpassageไปเรื่อยๆโดยจะไม่เว้นไว้กลับมาเติมค่ะ โดยจะอ่านpassageเร็วๆก่อนใช้เวลาประมาณ 3 นาที แล้วมาดูคำถามค่ะ วิธีนี้ได้ผลกับเรา เพราะเรากลัวลืมเติม แล้วหมดเวลาก่อน เพราะหลังๆพอเวลาเริ่มหมดจะตื่นเต้นมากค่ะ แต่เพื่อนเราจะเลือกทำpassageที่ตัวเองถนัดก่อน ก็แล้วแต่เทคนิคเลยค่ะ
• ครั้งนี้เราได้อ่านเกี่ยวกับ การท่องเที่ยวแบบecotourism, การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เพื่อป้องกันการศูนย์พันธุ์ของต้นไม้ และ ประมาณว่า พัฒนาการทางสมองของเด็ก ค่ะอันนี้ไม่แน่ใจจำได้ลางๆ
Writing
• เวลา 60 นาที ต้องทำเวลาให้ดีมากๆค่ะ และต้องเขียนให้ครบที่เขาrequireไว้ไม่งั้นจะถูกตัดคะแนนนะคะ Part 1 ต้องเขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ Part 2 ไม่ต่ำกว่า 250 คำ เราใช้วิธีนับคำตอนที่ฝึกเขียนที่บ้านค่ะ ว่า 1 บรรทัดเขียนไปกี่คำ เช่นเราเขียน 10 คำต่อบรรทัด ในข้อสอบเราก็จะเขียน 17 บรรทัดในPartแรกค่ะ
• เราได้เขียนPie Chartเกี่ยวกับการใช้น้ำในindustryต่างๆ และ agree/disagree เกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุขของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนค่ะ อันนี้ศัพท์ที่ท่องมาลืมหมด ณ เวลานั้นคือต้องรีบเขียนให้ทันค่ะ พอใจละ 555
Speaking
• ตามที่บอกไปค่ะ เวลาที่เราจะได้สอบspeakingจะแปะอยู่บนโต๊ะ ทีนี้เราได้เวลา 18.30 คือเลทมากกกกกค่ะ แต่!!! จำได้ว่าเพื่อนเราบอกว่าถ้าไปลงทะเบียนเร็วกว่าเวลาจะได้สอบเร็วขึ้นค่ะ ดังนั้นหลังจากสอบwritingเสร็จเรามานั่งกินข้าวและอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยแถวเพลินจิต พอบ่าย3 เราก็กลับไปLandmarkอีกรอบค่ะ สรุปเราได้สอบตอน 15.30 ค่ะ ดีใจ
• ก่อนเข้าห้องสอบ จะต้องฝากกระเป๋า ถ่ายรูปและสแกนลายนิ้วมือเหมือนช่วงเช้า โดยสามารถนำID/passportเข้าห้องสอบได้เท่านั้นค่ะ แล้วเราก็จะถูกพาไปนั่งรอหน้าห้องสอบ เหมือนรอพบคุณหมอ โดยห้องสอบจะมีหลายห้องค่ะ แล้วแต่ว่าเราจะได้ไปห้องไหน
• นั่งรอซักพักจะมีครูฝรั่งเชิญเข้าไปสอบค่ะ แรกๆจะเป็นคำถามชิวๆเกี่ยวกับบ้านเกิดเรา เกี่ยวกับเพื่อนค่ะ ต่อมาcardคำภามที่เราได้คือ ให้พูดถึงของที่เรายืมมาแล้วมีประโยชน์ต่อเราที่สุด
จากนั้น ให้รอผลอย่างตื่นเต้ลๆ 13 วันค่ะ จะสามารถดูผลคะแนนได้จากwebsiteของBritish Councilเวลา 13.00 น.เป็นต้นไปค่ะ
ของเราก็คือวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม นั่งรีเฟรชตั้งแต่เที่ยงครึ่งค่ะ เพราะเพื่อนที่เคยสอบบอกว่าคะแนนมันpostตั้งแต่เที่ยงกว่าๆ 55555
ส่วนResult Paper จริง รอต่ออีก 3-4 วันค่ะ
หลังจากรู้ผลonlineกันไปแล้ว ผลสอบเพิ่งส่งถึงบ้านวันนี้เลยค่ะ
พี่ๆเพื่อนๆมีเทกนิคspeaking หรือ writingดีๆก็แชร์ให้เรารู้หน่อยน้าา เผื่อในอนาคตต้องสอบอีก 555
สุดท้ายเราว่าอยู่ที่ความตั้งใจล้วนๆนะ จริงๆเราก็ห่างจากการสอบมานาน 5555 สำหรับใครที่กำลังจะสอบIELTSก็สู้ๆค่ะ
ส่วนหนังสือที่ใช้มาต่อในคอมเม้นนะคะ
แชร์ประสบการณ์และเทคนิค ภารกิจสอบIELTS ครั้งเดียวได้Band 7.5 แบบลุยอ่านหนังสือเอง
สรุปผลคะแนนก่อน คือ ได้ Band 7.5 นะคะ (Uที่เล็งไว้require 7 รอดๆ)
แบบตามskillก็ตามนี้
Listening 9
Reading 8
Writing 6
Speaking 6 จริงๆอยากปรับปรุงpartนี้ --"
ก่อนอื่นต้องบอกว่า
• เราสมัครออนไลน์เองค่ะโดยค่าสอบตอนนี้ 10,400 บาท ว้ายย แพงมากกกกกก ครั้งเดียวฉันต้องผ่านนนนจ้า
• พื้นฐานเป็นคนชอบภาษาอังกฤษค่ะ แต่เรียนที่เมืองไทยตลอดนะคะ
• IELTS อ่านเองค่ะ ใช้เวลา 2 เดือน แต่เคยสอบTOEFLตอนปี 2 ปัจจุบันทำงานมา 2 ปีค่ะ
อันนี้จะเรียงเป็นPartให้เข้าใจง่ายๆเลยนะคะ
Listening practice
• ตื่นเช้ามาเปิดทีวี แล้วฟังBBC อย่างเดียวเลยค่ะ ถ้าฟังไม่ออกก็ไม่เป็นไรนะคะ ฟังไปเรื่อยๆจะดีขึ้นค่ะ
• ลุยทำแบบฝึกหัดและข้อสอบเก่าๆแบบจริงจังนะคะ
• ดูภาพยนตร์ภาษาอังกฤษแบบปิดSubtitleค่ะ ส่วนตัวเราชอบดูหนังฝรั่งอยู่แล้วด้วย
Reading practice
• เราฝึกอ่านโดยการทำข้อสอบแบบลุยมากกก เพราะได้ยินคำร่ำลือว่ายาก โหด ทำไม่ทัน โดยข้อสอบจะมี 40 ข้อแยกเป็น 3 passages เวลาทั้งหมด 60 นาที เทคนิคของเราคือ ช่วงแรกๆของการทำข้อสอบ จะจับเวลาเป็นpassageไป passageละ 20 นาทีค่ะ ทำแบบนี้ไปซักพักเราจะรู้ว่าtopicไหนที่เราอ่อน และtopicไหนเราอ่านเร็ว ของเราคือเราอ่านแนว การตลาด สังคม ประวัติศาสตร์เร็ว และที่แปลกคือ อ่านเรื่องวิทยาศาสตร์ การทดลอง ดาราศาสตร์เร็วเหมือนกันค่ะ งงมาก 555 ที่ช้าจะเป็นภูมิศาสตร์ สิ่งแวดล้อม เศรษฐศาสตร์ เราก็จะหาข่าวtopicแนวนี้อ่านเพิ่มค่ะ จะช่วยให้อ่านได้เร็วขึ้นมาก พอนานๆไปให้เปลี่ยนเป็นจับเวลา 60 นาที 3 passages
• เวลาฝึกทำแนะนำให้ทำให้เสร็จภายใน 50 นาทีค่ะ เพราะในห้องสอบจริงไม่รู้ว่าตื่นเต้นหรืออะไร แต่จะทำช้าลง
• อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเยอะๆค่ะ topicที่ไม่ถนัดแนะนำให้หามาอ่านนะคะ อ่านในInternetเอาก็ได้ค่ะ
• อ่านหนังสือพิมพ์เยอะๆค่ะ เราอ่านแค่ 2 ฉบับ คือ Wallstreet Journalและ Financial Times ค่ะ แนะนำให้ซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านดีกว่าอ่านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือไอแพดนะคะ อาจจะเพราะเราติดการขีดๆเขียนๆด้วย แต่เราว่ามันดีกว่ามาก เพราะได้ฝึกหาข้อความสำคัญ ขีดเส้นใต้
• ท่องศัพท์ค่ะ เราอ่านจากหนังสือเล่มเดียวของCollins (เดี๋ยวจะบอกแบบละเอียดในรีวิวหนังสือที่เราใช้ทั้งหมดนะคะ) จะบอกว่า ตอนแรกท่องเพื่อทำPart WritingกับSpeaking ค่ะ แต่เอาจริงมันส่งผลต่อReadingมากกว่า ทำให้เราอ่านpassageได้ง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
Writing practice
• ยอมรับแต่โดยดีว่าขี้เกียจซ้อมเขียนค่ะ แต่เราใช้วิธีวางpatternไว้ก่อนเลยว่าจะเขียนคำตอบเป็นประมาณนี้ๆ ใช้คำศัพท์แนวนี้ๆ จะช่วยย่นเวลาในการเขียนในห้องสอบเยอะค่ะ เพราะแค่คิดideaแล้วเขียนเลย
• สุดท้ายก็ลองเก็งๆข้อสอบจากข้อสอบเก่า แต่ไม่ช่วยเท่าไหร่ค่ะ
Speaking practice
• เป็นPartที่เราประมาทค่ะ คือไม่ค่อยฝึกพูด แต่จะเก็งข้อสอบและคำตอบเตรียมไว้หมดค่ะ
• เราใช้วิธีอัดเสียงแล้วฟังว่าสำเนียงโอเคมั้ย แกรมม่าถูกต้องมั้ย
ETC.
• เพื่อนเราเป็นหมอแนะนำกาแฟเซเว่นค่ะ บอกว่ากินละตาตั้งชัวร์ เราก็ลองเลยค่ะ ผลลัพธ์คือจริงค่ะ!!! นอนไม่หลับ คือมันดีมากถ้าวันไหนอยากฟิตอ่านหนังสือ แต่อย่ากินช่วงบ่ายของวันก่อนสอบเด็ดขาด เพราะกลางคืนจะนอนไม่หลับ!! (เรากินค่ะ ตาตั้งเลยย กว่าจะนอนคือตีสอง 5555)
ในที่สุดเราก็มาถึงวันสอบจริง
เย่ๆ คือดีใจมาก เพราะหลังจากวันนี้จะได้พักแล้วว
• เราไปถึงLandmark Hotel ตอนประมาณ 7.30 น ค่ะ เดินทางโดยขับรถไปค่ะ และไปสอบคนเดียว พอไปถึงเจอคนมาสอบเป็นกลุ่มๆเลย บางคนก็มีครอบครัวมาให้กำลังใจด้วย แอบเหงาเลยเรา 555 ปัญหาแรกค่ะ หาชื่อตัวเองไม่เจอ เพราะไปผิดชั้น!!! ตกใจแปป แต่โชคดีที่ไปเร็วเลยหลงไปหลงมาก็เจอสนามสอบที่ถูกต้องค่ะ
• ก่อนเข้าห้องสอบจะมีการตรวจสอบID check และฝากสัมภาระ ซึ่งสิ่งเดียวที่สามารถนำเข้าไปในห้องสอบได้คือ ID หรือ Passportที่เราใช้สมัครสอบนั่นเอง และแท็กที่เราได้ตอนฝากกระเป๋าค่ะ ถ้าผ่านจุดID checkไปแล้วจะไม่สามารถออกมาเข้าห้องน้ำได้แล้วนะคะ ดังนั้นต้องเข้าห้องน้ำก่อน ไม่ปวดก็เข้าค่ะ ไม่งั้นทรมานตอนทำข้อสอบ
• หลังเช็คชื่อและหน้าว่าตรงกับID จะเป็นการถ่ายรูป และสแกนลายนิ้วมือ จากนั้นจะมีstaffพาไปนั่งในห้องสอบค่ะ ในห้องสอบจะมีกล้องตั้งไว้รอบๆห้องให้อารมณ์เหมือนบ้านAF กันเราโกง เป็นเหตุผลที่ค่าสอบแพงขึ้นง่ะ
• ที่โต๊ะสอบจะมีดินสอเปลี่ยนไส้ให้ 2 แท่ง ยางลบ 1 ก้อน และกระดาษสติกเกอร์ที่มีIDเรา เลขที่นั่ง และเวลาสอบSpeakingพิมพ์เอาไว้ เวลาสอบWritingเสร็จให้ดึงสติกเกอร์นี้ออกมาด้วยนะคะ แต่อย่าแปะไว้ที่ID cardหรือPassportเราเพราะช่วงบ่ายจะถูกดึงออกอยู่ดี ให้ถือออกมาแปะไว้ในสมุดหรือกระดาษอย่างอื่นที่เราเตรียมมาดีกว่าค่ะ
• ห้องสอบหนาวมากกก เตรียมเสื้อกันหนาวไปได้นะคะ
• ถ้าเข้าห้องสอบเร็ว จะมีเวลาให้ลองฟังข้อสอบlisteningและปรับเสียงให้พอใจเราค่ะ ถ้าอยากฝึกฟังก่อนเริ่มสอบก็ใส่หูฟังไว้ตลอดได้เลย เสียงlisteningดังมากค่ะ เราได้ยินจากหูฟังคนข้างๆยังชัดมากๆเลย แต่เราไม่ได้ฝึกฟังตรงนี้นะคะ รอฟังของจริงทีเดียว อิอิ
• พอใกล้ถึงเวลา จะมีคุณฝรั่งมาต้อนรับและอธิบายกติกาในการสอบคร่าวๆค่ะ
Listening
• 40 ข้อ 30 นาที และมีเวลาให้เขียนคำตอบ 10 นาทีค่ะ ขอบอกว่าอย่าตื่นเต้น และต้องระวังศัพท์ง่ายๆที่คิดไม่ถึงว่าจะออกมาให้เติม อารมณ์ง่ายจนเขียนผิดอะค่ะ เราเจอมาแล้ว 55
• Trickของเราคือ เราเรียนรู้ระหว่างทำข้อสอบเก่าๆว่า ในเวลาที่เขาให้ก่อนเริ่มฟังแต่ละpart เราอ่านpart 3, part 4ไม่ทันเลยค่ะ ดังนั้นพอเริ่มlistening test เราจะรีบพลิกมาอ่านข้อสอบPartหลังๆก่อนเลย เพราะpartแรกๆโดยเฉพาะPart 1 จะง่ายค่ะ
• ฟังจบจะมีเวลาให้เขียนคำตอบในกระดาษคำตอบ 10 นาที สบายๆคะ
Reading
• เราถนัดการทำข้อสอบแบบทำเสร็จเป็นpassageไปเรื่อยๆโดยจะไม่เว้นไว้กลับมาเติมค่ะ โดยจะอ่านpassageเร็วๆก่อนใช้เวลาประมาณ 3 นาที แล้วมาดูคำถามค่ะ วิธีนี้ได้ผลกับเรา เพราะเรากลัวลืมเติม แล้วหมดเวลาก่อน เพราะหลังๆพอเวลาเริ่มหมดจะตื่นเต้นมากค่ะ แต่เพื่อนเราจะเลือกทำpassageที่ตัวเองถนัดก่อน ก็แล้วแต่เทคนิคเลยค่ะ
• ครั้งนี้เราได้อ่านเกี่ยวกับ การท่องเที่ยวแบบecotourism, การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์เพื่อป้องกันการศูนย์พันธุ์ของต้นไม้ และ ประมาณว่า พัฒนาการทางสมองของเด็ก ค่ะอันนี้ไม่แน่ใจจำได้ลางๆ
Writing
• เวลา 60 นาที ต้องทำเวลาให้ดีมากๆค่ะ และต้องเขียนให้ครบที่เขาrequireไว้ไม่งั้นจะถูกตัดคะแนนนะคะ Part 1 ต้องเขียนไม่ต่ำกว่า 150 คำ Part 2 ไม่ต่ำกว่า 250 คำ เราใช้วิธีนับคำตอนที่ฝึกเขียนที่บ้านค่ะ ว่า 1 บรรทัดเขียนไปกี่คำ เช่นเราเขียน 10 คำต่อบรรทัด ในข้อสอบเราก็จะเขียน 17 บรรทัดในPartแรกค่ะ
• เราได้เขียนPie Chartเกี่ยวกับการใช้น้ำในindustryต่างๆ และ agree/disagree เกี่ยวกับนโยบายสาธารณสุขของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพของประชาชนค่ะ อันนี้ศัพท์ที่ท่องมาลืมหมด ณ เวลานั้นคือต้องรีบเขียนให้ทันค่ะ พอใจละ 555
Speaking
• ตามที่บอกไปค่ะ เวลาที่เราจะได้สอบspeakingจะแปะอยู่บนโต๊ะ ทีนี้เราได้เวลา 18.30 คือเลทมากกกกกค่ะ แต่!!! จำได้ว่าเพื่อนเราบอกว่าถ้าไปลงทะเบียนเร็วกว่าเวลาจะได้สอบเร็วขึ้นค่ะ ดังนั้นหลังจากสอบwritingเสร็จเรามานั่งกินข้าวและอ่านอะไรเรื่อยเปื่อยแถวเพลินจิต พอบ่าย3 เราก็กลับไปLandmarkอีกรอบค่ะ สรุปเราได้สอบตอน 15.30 ค่ะ ดีใจ
• ก่อนเข้าห้องสอบ จะต้องฝากกระเป๋า ถ่ายรูปและสแกนลายนิ้วมือเหมือนช่วงเช้า โดยสามารถนำID/passportเข้าห้องสอบได้เท่านั้นค่ะ แล้วเราก็จะถูกพาไปนั่งรอหน้าห้องสอบ เหมือนรอพบคุณหมอ โดยห้องสอบจะมีหลายห้องค่ะ แล้วแต่ว่าเราจะได้ไปห้องไหน
• นั่งรอซักพักจะมีครูฝรั่งเชิญเข้าไปสอบค่ะ แรกๆจะเป็นคำถามชิวๆเกี่ยวกับบ้านเกิดเรา เกี่ยวกับเพื่อนค่ะ ต่อมาcardคำภามที่เราได้คือ ให้พูดถึงของที่เรายืมมาแล้วมีประโยชน์ต่อเราที่สุด
จากนั้น ให้รอผลอย่างตื่นเต้ลๆ 13 วันค่ะ จะสามารถดูผลคะแนนได้จากwebsiteของBritish Councilเวลา 13.00 น.เป็นต้นไปค่ะ
ของเราก็คือวันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม นั่งรีเฟรชตั้งแต่เที่ยงครึ่งค่ะ เพราะเพื่อนที่เคยสอบบอกว่าคะแนนมันpostตั้งแต่เที่ยงกว่าๆ 55555
ส่วนResult Paper จริง รอต่ออีก 3-4 วันค่ะ
หลังจากรู้ผลonlineกันไปแล้ว ผลสอบเพิ่งส่งถึงบ้านวันนี้เลยค่ะ
พี่ๆเพื่อนๆมีเทกนิคspeaking หรือ writingดีๆก็แชร์ให้เรารู้หน่อยน้าา เผื่อในอนาคตต้องสอบอีก 555
สุดท้ายเราว่าอยู่ที่ความตั้งใจล้วนๆนะ จริงๆเราก็ห่างจากการสอบมานาน 5555 สำหรับใครที่กำลังจะสอบIELTSก็สู้ๆค่ะ
ส่วนหนังสือที่ใช้มาต่อในคอมเม้นนะคะ