สวัสดีคร้าบบบบบ รีวิวนี้เป็นรีวิวแรกของผมเองเลย ยังไงก็ขอฝากตัวด้วยนะขอรับ
มาเริ่มกันเลย อันว่าด้วยการอยู่ในเมืองกรุงนั้นแสนอึดอัด ชีวิตเช้าคือรถติด ชีวิตเย็นคือรถติด โอยยยยย-..-* มีอะไรจรรโลงใจกว่านี้บ้างหม่ายยยยพี่บ่าววว นึกไปก็บ่นไปขณะที่มือนึงก็นั่งเปิดรีวิวที่คนเขาไปเที่ยวกัน อ่านไปที่นึงก็ลุกไปเปิดแผนที่ที่ดูว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลกว้า ในนี่เต้นทีก็เที่ยว เต้นที่นี่ก็เที่ยว โอยไม่ไหวหลาววววววว จัดการเข้าไปในกลุ่มเฟสบุคหาคนเที่ยว ไปสะดุอยู่โพสนึง “หาเพื่อนไปปีนภูสอยดาว 22-25/10/58” หึยยยยยยย หนึ่งในแผน ว่าแล้วก็เปิดตารางเรียนนับวันที่ขาดเรียนบวกลบคูณหารวันที่โดดต่อได้อีก(ทักษะการคำนวณวันโดดเรียน) 5555+ เอาวะ ไปก็ไป กับใครก็ช่างไม่ไหวแล่ววว ว่าแล้วก็ขอพี่เขาร่วมทริป สรุปทริปนี้ไก้มา 20 กว่าคน นัดๆกันในเฟซทั้งนั้นไม่มีใครร็จักกันเป็นการส่วนตัว 555+ เออๆดีชอบ ข้อสรุปของทริปนี้คือเราจะนั่งรถไฟครับ เอร้ยยย รถไฟครั้งแรกเลยอ่ะ เจ๋งงง
กลับมาต่อ เริ่มจากสถานี บางซื่อ รอบ21.15 น. มุ่งหน้าสู่สถานีพิษณุโลก 03.15 น. แล้วเราจะเหมาสองแถวทั้งหมดสองคัน ไปแวะที่อำเภอชาติตระการเพื่อซื่อสเบียงบรรยากาศยามเช้าที่นี่สบายๆครับเป็นอำเภอน่ารักๆแห่งนึง ช่วงที่พวกผมมาก็มีนักท่องเที่ยวที่จะไปปีนภูกระดึงแวะซื้อสเบียงเตรียมที่จะขึ้นไปเหมือนกันประมาณซัก3-4กลุ่มด้วยกัน
พอได้สเบียงครบแล้วเราก็บึ่งไปยัง อช.ภูสอยดาว อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
บรรยากาศเมื่อเริ่มเช้า รถสองแถววิ่งออกมาจากอำเภอชาติตระการ หลังส่งให้กลุ่มเราจัดการกวาดล้างของกินได้กันมาร่วมๆ 2 ตัน แอร๊ยยยย ไม่ใช่ๆ 2 กระสอบพอ พอออกสู่ชานเมืองถนนก็เริ่มลัดเลาะตามภูเขาเข้าสู่เขตอำเภอน้ำปาด บรรยากาศนี่ไม่ต้องพูด คือแค่ภาพมันยังไม่เท่าของจริงเลยนะคุณครับบบ
หลังจากนั่งรถกันมานานสามชั่วยามระยะทางร่วมร้อยกว่าโลพร้อมสร้างวีรกรรมไว้ข้างทาง5555+ เราก็เดินทางมาถึงที่ทำการ อช.ภูสอยดาว เฮ้ฮ้ฮ้!!!!
ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเข้าคิวลงทะเบียนกับอุทยานให้เรียนร้อย เช๊คอินเสร็จปุ๊บใครประสงค์จะโหลดกระเป๋าส่งขึ้นไปบนภูรวมระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ก็ต่อคิวรับลูกหาบกันต่อไป ส่วนอุปกรณ์การตั้งแคมป์ทั้งหลายให้เช่าจากที่นี่ไปได้เลยนะครับผม ค่าเสียหายที่นี่จะมีค่าเข้า อช. จขกท.จำไม่ได้ละว่าเท่าไหร่ แล้วก็ค่ากางเต๊นส์ 40 บาทต่อคืน ค่าเช่าเต๊นส์ ค่าแผ่นปูรองนอน ค่าถุงนอน ของพวกนี้ต้องแบกขึ้นไปเองนะจ่ะ(วันที่จขกท.ไปนะ ไม่แน่ในว่าช่วงอื่นน่าจะมีสำรองอยู่ข้างบน) ส่วนปัจจุบันต้องแบกกันไปเองจ้า ส่วนใครแบกไม่ไหวก็โหลดลงลูกหาบอย่างเดียวเลยครัชผม ส่วนตัว จขกท.แบกขึ้นไปเองทั้งหมดเลย ยอมลำบากเอา (ที่จริงขรี้งก) 555555+ ร่วมๆแล้วก็12 กิโลกว่า โอย สบม. หึหึหึ
จากนี้เราต้องขึ้นรถที่ทาง อช. จัดให้ไปปล่อยเราไว้ที่จุดปล่อยตัว ช่วงที่พวกผมไปก็ประมาณ10โมงกว่าๆแล้วเนื่องจากสมาชิกเรามีจำนวนมากพอควรเลยเสียเวลาไปกับการโหลดกระเป๋าซักพัก
ตรงนี้จะมีน้ำตกภูสอยดาวที่เย็นฉ่ำรอต้อนรับผู้ที่จะมาพิชิตระยะทาง 6.5 กิโล
ขอโม้ไว้ก่อนเลยว่า จขกท.เคยไปภูกระดึงมาถึงสองครั้งแล้ว ระยะทาง 9 กิโลกว่าๆ พอมาเทียบกับ 6.5 ของภูสอยดาวในใจนี่แบบ จิ๊บๆ แค่นี้เบมาอะ จะแค่ไหนเชียว ว่าแล้วก็รัดสายกระเป๋าพร้อม มีหน้าต่อให้พี่เขาขึ้นไปก่อนด้วยน่ะครับ 5555+
พอเดินไประยะแรกเป็นทางเดินเลาะธารน้ำตกภสอยดาวไปเรื่อยๆ กิโลกว่า ตัวนี่เหมือนไปอาบน้ำมา ช่วงแรกๆผมนำพี่ๆที่ต่อให้มาก่อนละ เดินมาอีกซักนิดเจอพี่ที่เป็นแฟนกันที่มาพร้อมผม(มารู้ทีหลังพี่ผู้ชายชื่อมิน) เลยขออาศัยเดินกับพวกพี่เขามา พอมาเจอเนินส่งญาติเท่านั้นแหละ ยืนอึ้งไปพักนึก นึกถึงภูกระดึงขึ้นมาเลย (ชิบหา*ละ จะไหวไหมเอ้ยย) ปล.เส้นทางภูสอยดาวตลอดระยะทาง 6.5 กิโลจะไม่มีร้านค้าสะดวกซื้อใดๆเปิดอยู่ข้างทางเหมือภูกระดึงนะครับ ย้ำว่าต้องแบกไปกินเอง ย้ำ*** แบกไปเอง ตายๆๆ ยังไม่ครึ่งทางเลยพ่อคุ๊ณณณณณ
ทางเดินของเนินส่งญาติจะเป็นป่าไผ่ครับ จขกท.ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมัวแต่ปีนไผ่อยู่ ลักษณะก็เป็นการปีนไหล่เขาขึ้นไประยะทางก็พอสมควร 660 เมตร เล่นเอาลิ้นห้อยกันเลยทีเดียวเพราะมันเป็นทางชันประมาณ75องศา 55555+ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ครับ ยกแรกแค่นี้ยกต่อไปจะแค่ไหนนึกแล้วยังเข็ดอยู่เลย ว่าแล้วก็จ้ำๆฝีเท้าครับ เพราะผมคุยกับพี่มินไว้แล้วว่าจะใช้เวลาไปกางเต๊นส์บนลานสนไม่เกินเกินบ่าย3 ทางเดินหลังจากเนินส่งญาติก็จะเป็นทางปีนไหล่เขาขึ้นมาเรื่อยๆครับ พอเดินมาได้ซักพักเราก็จะมาเจอกันเนินปราบเซียน ชื่ออ่านดูก็น่าจะปราบจริงๆ ขนาดเนินส่งญาตินี่ก็เล่นเอาปวดไปพักนึงเลย
เนินปราบเซียนนี่ก็น้องๆเนินส่งญาติครับผมว่า มันเป็นรอยต่อระหว่างเขาสองลูก แต่ไม่ชันเท่าเนินส่งญาติแต่ระยะทางนี่ให้เป็นพี่เนินส่งญาติเลยครับ 780 เมตรเอาเรื่องอยู่ ตามเคยบ่นตลอดทาง 5555+ ในรูปเป็นรูปพี่มินกับแฟนพี่เขาครับ
เราเดินต่อมาเรื่อยๆอีกครับ เดินมันอย่างเดินจ้ำๆ เหนื่อยก็พักจิบน้ำที่แบกติดตัวประทังชีวิต ทางต่อมานี่ค่อยข้างสบายหน่อยเป็นทางราบสลับขึ้นเขาบ้างแต่พอทนครับ ทำเวลาในช่วงนี้พอสมควร
ต่อจากนี้เราจะเจอเนินเสือโคร่งครับ ที่ชื่อเสือโคร่งนี่ไม่ใช่ว่ามีเสือนะครับ แต่มันเป็นเนินที่มีสมุนไพรที่ชื่อว่าต้นพญาเสือโคร่งขึ้นปกคลุมอยู่เยอะ จะมีอยู่ช่วงนึงที่เป็นทางปีนไปเขาลูกสุดท้ายที่จะต่อไปเนินที่จะส่งไปลาดสนอีกที เล่นเอาตะคริวกินกันไปหลายเจ้าเหมือนกัน เดินต่อมาเรื่อยๆครับเราก็หยุดพักรวมกับกลุ่มที่เดินมาก่อนหน้า ผมก็สงสัยว่าเขาทำไมหยุดพักกันเยอะจังตรงนี้ พอมองขึ้นไปยอดเขาข้างหน้าก็เห็นคนต่อเรียงแถวเดินอยู่บนเนินข้างหน้านู้นนนนน เรียกว่าแทบขาอ่อนเลยเพราะมันชันมากกกก ดูจากรูปข้างล่างได้เลย เห็นคนตัวเท่ามันแล้วมันไม่มีต้นไม้ให้เกาะเลยนะครับมันเป็นเนินขึ้นเขาโล้นๆมีป่าหญ้ากับไผ่ต้นเล็กๆขึ้นแล้วก็มีทางเดินเป็นเลนส์เดี่ยวขึ้นไป ทำเอานั่งทำใจไปพักใหญ่เลยทีเดียว ว่าแล้วก็หยิบน้ำขึ้นมาจิบ ส่วนพี่มินกับแฟนก็หยิบข้าวเหนียวไก่ย่างขึ้นมาอัดพลังก่อนขึ้นเขา ผมเลยขอฝากท้องช่วงชิงไก่ย่างพี่เขามากินด้วย 5555+ โอ้ยบยยหร่อยแรงงง พลางหยิบมันข้าวเหนียวที่มันเอวขึ้นมากิน พออิ่มเสร็จปุ๊บก็ ป่ะ!!!` เริ่มเลยครับ
เห็นคนอยู่บนยอดนู้นนนนไหมครับ
เนินสุดท้ายนี้ชื่อว่า เนินมรณะครับ ความยากนี่พอสมควรเพราะเป็นเนินที่ชันเอาเรื่อง บางช่วงเป็นทางเลียบหน้าผาก็ต้องใช้ความระมักระวังกันให้ดี แต่ถ้าพูดถึงวิวนี่สสวยมากครับ ทำเอาต้องหยุดถ่ายรูปกันเป็นพักๆเลย อดใจเดินไปโดยไม่ถ่ายไม่ได้จริงๆ
ส่วนทางเดินก็ประมาณนี้ครับ
พ้นตรงจุดนี้เราก็สู่ทางที่จะไปลานสนกันละครับ ถือว่า 6.5 กิโลเมตรที่เดินมาด้านบนนี่บรรยากาศถือว่าโอเคมากครับ เป็นที่ราบป่าสน บรรยากาศเย็น
สบาย แต่ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากเพราะช่วงที่เราขึ้นมาก็สายแล้ว ผม พี่มินแล้วก็แฟนพี่เขารีบจ้ำบึ่งไปหาที่กางเต๊นส์กันอย่างเดียวเลย เสียดายไม่ได้แวะถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิต กะไว้ค่อยมาถ่ายก่อนลง ถึงบนลานสน ก็ประมาณบ่ายกว่าละครับ เลยเข้าไปหาทำเลจีบจองที่กางเต๊นส์รอพี่ๆที่เหลือขึ้นมาสมทบอีกทีจะได้ทำกับข้าวกินกัน เพราะเราต้องเอาสเบียงที่เราขนมาทำกินกันเอง
วันแรกก็ไม่มีอะไรมากครับ มัวแต่กางเต๊นส์ ก่อไฟทำกับข้าวกินกันก็ปาไปซะเย็น พออิ่มหนำกับข้าวที่พี่ๆทำให้ทาน
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา เอาแต่ซัดกันอย่างเมามันด้วยความหิว เผลออีกทีพระจันทร์ก็ขึ้นซะแล้ว ท้องฟ้าคืนนี้ใสมากครับ ดาวเต็มฟ้าประกอบกับเป็นช่วงข้างขึ้นเลยจัดออกไปถ่ายรูปมากับพี่อีกคนชื่อพี่เต้ย ก็ไปซัดรูปกันมาคนละสองสามรูปซักพักเริ่มมีอาการง่วงเลยพากันกลับมาที่เต๊นส์แยกย้ายกันนอน ส่วนพี่ๆที่เหลือก็จับวงเฮฮากันอยู่หน้าเต๊นส์อบอุ่นดีมากเลยครับ
ปิดท้ายคืนแรกด้วยภาพบรรยากาศยามคำ่คืนครับ
ปล.แก้ไขและเขียนใหม่ 28/10/58
[CR] "ภูสอยดาว" เบื้องหลังระยะทาง 6.5 กิโลเมตร บนความสูง 1,633 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล
มาเริ่มกันเลย อันว่าด้วยการอยู่ในเมืองกรุงนั้นแสนอึดอัด ชีวิตเช้าคือรถติด ชีวิตเย็นคือรถติด โอยยยยย-..-* มีอะไรจรรโลงใจกว่านี้บ้างหม่ายยยยพี่บ่าววว นึกไปก็บ่นไปขณะที่มือนึงก็นั่งเปิดรีวิวที่คนเขาไปเที่ยวกัน อ่านไปที่นึงก็ลุกไปเปิดแผนที่ที่ดูว่ามันอยู่ส่วนไหนของโลกว้า ในนี่เต้นทีก็เที่ยว เต้นที่นี่ก็เที่ยว โอยไม่ไหวหลาววววววว จัดการเข้าไปในกลุ่มเฟสบุคหาคนเที่ยว ไปสะดุอยู่โพสนึง “หาเพื่อนไปปีนภูสอยดาว 22-25/10/58” หึยยยยยยย หนึ่งในแผน ว่าแล้วก็เปิดตารางเรียนนับวันที่ขาดเรียนบวกลบคูณหารวันที่โดดต่อได้อีก(ทักษะการคำนวณวันโดดเรียน) 5555+ เอาวะ ไปก็ไป กับใครก็ช่างไม่ไหวแล่ววว ว่าแล้วก็ขอพี่เขาร่วมทริป สรุปทริปนี้ไก้มา 20 กว่าคน นัดๆกันในเฟซทั้งนั้นไม่มีใครร็จักกันเป็นการส่วนตัว 555+ เออๆดีชอบ ข้อสรุปของทริปนี้คือเราจะนั่งรถไฟครับ เอร้ยยย รถไฟครั้งแรกเลยอ่ะ เจ๋งงง
กลับมาต่อ เริ่มจากสถานี บางซื่อ รอบ21.15 น. มุ่งหน้าสู่สถานีพิษณุโลก 03.15 น. แล้วเราจะเหมาสองแถวทั้งหมดสองคัน ไปแวะที่อำเภอชาติตระการเพื่อซื่อสเบียงบรรยากาศยามเช้าที่นี่สบายๆครับเป็นอำเภอน่ารักๆแห่งนึง ช่วงที่พวกผมมาก็มีนักท่องเที่ยวที่จะไปปีนภูกระดึงแวะซื้อสเบียงเตรียมที่จะขึ้นไปเหมือนกันประมาณซัก3-4กลุ่มด้วยกัน
พอได้สเบียงครบแล้วเราก็บึ่งไปยัง อช.ภูสอยดาว อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์
บรรยากาศเมื่อเริ่มเช้า รถสองแถววิ่งออกมาจากอำเภอชาติตระการ หลังส่งให้กลุ่มเราจัดการกวาดล้างของกินได้กันมาร่วมๆ 2 ตัน แอร๊ยยยย ไม่ใช่ๆ 2 กระสอบพอ พอออกสู่ชานเมืองถนนก็เริ่มลัดเลาะตามภูเขาเข้าสู่เขตอำเภอน้ำปาด บรรยากาศนี่ไม่ต้องพูด คือแค่ภาพมันยังไม่เท่าของจริงเลยนะคุณครับบบ
หลังจากนั่งรถกันมานานสามชั่วยามระยะทางร่วมร้อยกว่าโลพร้อมสร้างวีรกรรมไว้ข้างทาง5555+ เราก็เดินทางมาถึงที่ทำการ อช.ภูสอยดาว เฮ้ฮ้ฮ้!!!!
ว่าแล้วก็ไม่รอช้าเข้าคิวลงทะเบียนกับอุทยานให้เรียนร้อย เช๊คอินเสร็จปุ๊บใครประสงค์จะโหลดกระเป๋าส่งขึ้นไปบนภูรวมระยะทาง 6.5 กิโลเมตร ก็ต่อคิวรับลูกหาบกันต่อไป ส่วนอุปกรณ์การตั้งแคมป์ทั้งหลายให้เช่าจากที่นี่ไปได้เลยนะครับผม ค่าเสียหายที่นี่จะมีค่าเข้า อช. จขกท.จำไม่ได้ละว่าเท่าไหร่ แล้วก็ค่ากางเต๊นส์ 40 บาทต่อคืน ค่าเช่าเต๊นส์ ค่าแผ่นปูรองนอน ค่าถุงนอน ของพวกนี้ต้องแบกขึ้นไปเองนะจ่ะ(วันที่จขกท.ไปนะ ไม่แน่ในว่าช่วงอื่นน่าจะมีสำรองอยู่ข้างบน) ส่วนปัจจุบันต้องแบกกันไปเองจ้า ส่วนใครแบกไม่ไหวก็โหลดลงลูกหาบอย่างเดียวเลยครัชผม ส่วนตัว จขกท.แบกขึ้นไปเองทั้งหมดเลย ยอมลำบากเอา (ที่จริงขรี้งก) 555555+ ร่วมๆแล้วก็12 กิโลกว่า โอย สบม. หึหึหึ
จากนี้เราต้องขึ้นรถที่ทาง อช. จัดให้ไปปล่อยเราไว้ที่จุดปล่อยตัว ช่วงที่พวกผมไปก็ประมาณ10โมงกว่าๆแล้วเนื่องจากสมาชิกเรามีจำนวนมากพอควรเลยเสียเวลาไปกับการโหลดกระเป๋าซักพัก
ตรงนี้จะมีน้ำตกภูสอยดาวที่เย็นฉ่ำรอต้อนรับผู้ที่จะมาพิชิตระยะทาง 6.5 กิโล
ขอโม้ไว้ก่อนเลยว่า จขกท.เคยไปภูกระดึงมาถึงสองครั้งแล้ว ระยะทาง 9 กิโลกว่าๆ พอมาเทียบกับ 6.5 ของภูสอยดาวในใจนี่แบบ จิ๊บๆ แค่นี้เบมาอะ จะแค่ไหนเชียว ว่าแล้วก็รัดสายกระเป๋าพร้อม มีหน้าต่อให้พี่เขาขึ้นไปก่อนด้วยน่ะครับ 5555+
พอเดินไประยะแรกเป็นทางเดินเลาะธารน้ำตกภสอยดาวไปเรื่อยๆ กิโลกว่า ตัวนี่เหมือนไปอาบน้ำมา ช่วงแรกๆผมนำพี่ๆที่ต่อให้มาก่อนละ เดินมาอีกซักนิดเจอพี่ที่เป็นแฟนกันที่มาพร้อมผม(มารู้ทีหลังพี่ผู้ชายชื่อมิน) เลยขออาศัยเดินกับพวกพี่เขามา พอมาเจอเนินส่งญาติเท่านั้นแหละ ยืนอึ้งไปพักนึก นึกถึงภูกระดึงขึ้นมาเลย (ชิบหา*ละ จะไหวไหมเอ้ยย) ปล.เส้นทางภูสอยดาวตลอดระยะทาง 6.5 กิโลจะไม่มีร้านค้าสะดวกซื้อใดๆเปิดอยู่ข้างทางเหมือภูกระดึงนะครับ ย้ำว่าต้องแบกไปกินเอง ย้ำ*** แบกไปเอง ตายๆๆ ยังไม่ครึ่งทางเลยพ่อคุ๊ณณณณณ
ทางเดินของเนินส่งญาติจะเป็นป่าไผ่ครับ จขกท.ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะมัวแต่ปีนไผ่อยู่ ลักษณะก็เป็นการปีนไหล่เขาขึ้นไประยะทางก็พอสมควร 660 เมตร เล่นเอาลิ้นห้อยกันเลยทีเดียวเพราะมันเป็นทางชันประมาณ75องศา 55555+ แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ครับ ยกแรกแค่นี้ยกต่อไปจะแค่ไหนนึกแล้วยังเข็ดอยู่เลย ว่าแล้วก็จ้ำๆฝีเท้าครับ เพราะผมคุยกับพี่มินไว้แล้วว่าจะใช้เวลาไปกางเต๊นส์บนลานสนไม่เกินเกินบ่าย3 ทางเดินหลังจากเนินส่งญาติก็จะเป็นทางปีนไหล่เขาขึ้นมาเรื่อยๆครับ พอเดินมาได้ซักพักเราก็จะมาเจอกันเนินปราบเซียน ชื่ออ่านดูก็น่าจะปราบจริงๆ ขนาดเนินส่งญาตินี่ก็เล่นเอาปวดไปพักนึงเลย
เนินปราบเซียนนี่ก็น้องๆเนินส่งญาติครับผมว่า มันเป็นรอยต่อระหว่างเขาสองลูก แต่ไม่ชันเท่าเนินส่งญาติแต่ระยะทางนี่ให้เป็นพี่เนินส่งญาติเลยครับ 780 เมตรเอาเรื่องอยู่ ตามเคยบ่นตลอดทาง 5555+ ในรูปเป็นรูปพี่มินกับแฟนพี่เขาครับ
เราเดินต่อมาเรื่อยๆอีกครับ เดินมันอย่างเดินจ้ำๆ เหนื่อยก็พักจิบน้ำที่แบกติดตัวประทังชีวิต ทางต่อมานี่ค่อยข้างสบายหน่อยเป็นทางราบสลับขึ้นเขาบ้างแต่พอทนครับ ทำเวลาในช่วงนี้พอสมควร
ต่อจากนี้เราจะเจอเนินเสือโคร่งครับ ที่ชื่อเสือโคร่งนี่ไม่ใช่ว่ามีเสือนะครับ แต่มันเป็นเนินที่มีสมุนไพรที่ชื่อว่าต้นพญาเสือโคร่งขึ้นปกคลุมอยู่เยอะ จะมีอยู่ช่วงนึงที่เป็นทางปีนไปเขาลูกสุดท้ายที่จะต่อไปเนินที่จะส่งไปลาดสนอีกที เล่นเอาตะคริวกินกันไปหลายเจ้าเหมือนกัน เดินต่อมาเรื่อยๆครับเราก็หยุดพักรวมกับกลุ่มที่เดินมาก่อนหน้า ผมก็สงสัยว่าเขาทำไมหยุดพักกันเยอะจังตรงนี้ พอมองขึ้นไปยอดเขาข้างหน้าก็เห็นคนต่อเรียงแถวเดินอยู่บนเนินข้างหน้านู้นนนนน เรียกว่าแทบขาอ่อนเลยเพราะมันชันมากกกก ดูจากรูปข้างล่างได้เลย เห็นคนตัวเท่ามันแล้วมันไม่มีต้นไม้ให้เกาะเลยนะครับมันเป็นเนินขึ้นเขาโล้นๆมีป่าหญ้ากับไผ่ต้นเล็กๆขึ้นแล้วก็มีทางเดินเป็นเลนส์เดี่ยวขึ้นไป ทำเอานั่งทำใจไปพักใหญ่เลยทีเดียว ว่าแล้วก็หยิบน้ำขึ้นมาจิบ ส่วนพี่มินกับแฟนก็หยิบข้าวเหนียวไก่ย่างขึ้นมาอัดพลังก่อนขึ้นเขา ผมเลยขอฝากท้องช่วงชิงไก่ย่างพี่เขามากินด้วย 5555+ โอ้ยบยยหร่อยแรงงง พลางหยิบมันข้าวเหนียวที่มันเอวขึ้นมากิน พออิ่มเสร็จปุ๊บก็ ป่ะ!!!` เริ่มเลยครับ
เห็นคนอยู่บนยอดนู้นนนนไหมครับ
เนินสุดท้ายนี้ชื่อว่า เนินมรณะครับ ความยากนี่พอสมควรเพราะเป็นเนินที่ชันเอาเรื่อง บางช่วงเป็นทางเลียบหน้าผาก็ต้องใช้ความระมักระวังกันให้ดี แต่ถ้าพูดถึงวิวนี่สสวยมากครับ ทำเอาต้องหยุดถ่ายรูปกันเป็นพักๆเลย อดใจเดินไปโดยไม่ถ่ายไม่ได้จริงๆ
ส่วนทางเดินก็ประมาณนี้ครับ
พ้นตรงจุดนี้เราก็สู่ทางที่จะไปลานสนกันละครับ ถือว่า 6.5 กิโลเมตรที่เดินมาด้านบนนี่บรรยากาศถือว่าโอเคมากครับ เป็นที่ราบป่าสน บรรยากาศเย็น
สบาย แต่ไม่พูดพร่ำทำเพลงมากเพราะช่วงที่เราขึ้นมาก็สายแล้ว ผม พี่มินแล้วก็แฟนพี่เขารีบจ้ำบึ่งไปหาที่กางเต๊นส์กันอย่างเดียวเลย เสียดายไม่ได้แวะถ่ายรูปกับป้ายผู้พิชิต กะไว้ค่อยมาถ่ายก่อนลง ถึงบนลานสน ก็ประมาณบ่ายกว่าละครับ เลยเข้าไปหาทำเลจีบจองที่กางเต๊นส์รอพี่ๆที่เหลือขึ้นมาสมทบอีกทีจะได้ทำกับข้าวกินกัน เพราะเราต้องเอาสเบียงที่เราขนมาทำกินกันเอง
วันแรกก็ไม่มีอะไรมากครับ มัวแต่กางเต๊นส์ ก่อไฟทำกับข้าวกินกันก็ปาไปซะเย็น พออิ่มหนำกับข้าวที่พี่ๆทำให้ทาน
เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา เอาแต่ซัดกันอย่างเมามันด้วยความหิว เผลออีกทีพระจันทร์ก็ขึ้นซะแล้ว ท้องฟ้าคืนนี้ใสมากครับ ดาวเต็มฟ้าประกอบกับเป็นช่วงข้างขึ้นเลยจัดออกไปถ่ายรูปมากับพี่อีกคนชื่อพี่เต้ย ก็ไปซัดรูปกันมาคนละสองสามรูปซักพักเริ่มมีอาการง่วงเลยพากันกลับมาที่เต๊นส์แยกย้ายกันนอน ส่วนพี่ๆที่เหลือก็จับวงเฮฮากันอยู่หน้าเต๊นส์อบอุ่นดีมากเลยครับ
ปิดท้ายคืนแรกด้วยภาพบรรยากาศยามคำ่คืนครับ
ปล.แก้ไขและเขียนใหม่ 28/10/58
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น